“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”
ข้อความข้างบนนี้คือคำรำพึงรำพันของเทพแห่งกาลเวลา ผู้เป็นอมตะในทุกกาล คือไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ระดับที่ไม่มีใครในสามโลกจะต้านทานได้เลย
เป็นข้อความที่ปรากฏในโศลกแรกแห่งมหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองชนิดหนึ่ง และผลาญชีวิตผู้คนนับล้านๆ ในระยะเวลาอันยาวนาน อันเป็นผลเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติธรรมของมนุษย์
วันนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงระบอบทุนสามานย์ และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีกต่อไปแล้ว เพราะได้ตายไปแล้ว กลายเป็นรัฐบาลผีดิบ พรรคการเมืองผีดิบและผู้แทนราษฎรผีดิบที่กระหายเลือด รอวันที่จะลงหลุมและถูกกลบฝังไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น
ที่ต้องพูดถึงก็คือสถานการณ์ในบ้านเมืองวันนี้มีสภาพไม่ต่างอันใดกับสถานการณ์บางห้วงเวลาในประเทศเลบานอน ซึ่งเป็นสงครามกลางเมือง แต่ละวันมีแต่กลิ่นคาวเลือด เสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงร่ำไห้ระงม
ขณะนี้มันอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นยังคงเกิดขึ้นในเวลากลางคืน แต่หากไม่หยุดยั้งไว้ มันก็จะเกิดขึ้นทั้งวันทั้งคืนและจะขยายตัวลุกลามไปทั่วประเทศ
สถานการณ์ในวันนี้ ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ร่วม 20 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้คนในแทบทุกวงการไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลทรราชอีกต่อไปแล้ว การต่อต้าน การต่อสู้กำลังแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และถูกยกระดับแหลมคมขึ้นทุกที
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่มีผู้ปกครองหรือรัฐบาลใดจะยืนอยู่ได้ หากว่าประชาชนไม่ยอมรับการปกครองแล้ว อย่าว่าแต่จะมีปริมาณร่วม 20 ล้านคน เอากันแค่ไม่กี่แสนคนหรือล้านคน ก็ต้องพังพินาศย่อยยับไปแล้ว
การดันทุรังอยู่ในอำนาจท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความพินาศของบ้านเมืองนั้น เห็นได้ชัดในตัวว่ามิใช่อยู่เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม แต่เป็นการอยู่เพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องเท่านั้น ซึ่งไม่มีวันที่จะสงบสุขได้เลย
ไม่เห็นหรือว่าวันนี้ก็มีข่าวแล้วว่านายกรัฐมนตรีต้องส่งครอบครัวออกไปอยู่ยังต่างประเทศ เพราะเกรงว่าไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากกลัวว่าจะมีการปฏิวัติ
เป็นความไม่ปลอดภัยที่กำลังคุกคามพรรคร่วมรัฐบาล และผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนครอบครัวที่ไม่เป็นปกติสุขได้อีกต่อไปแล้ว ทุกคนกำลังถูกตราหน้าว่าเป็นทรราช เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด
ที่กลัวการปฏิวัติและเกรงไม่ปลอดภัยจากทหารนั้นเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่กว่าก็คือมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทุกหนทุกแห่งที่เปี่ยมด้วยความคับแค้นในจิตใจนั่นต่างหากที่น่ากลัวกว่า เพราะไม่มีใครที่จะหลุดรอดพ้นไปจากหูตาและน้ำมือของประชาชนได้เลย
อำนาจรัฐตำรวจก่ออาชญากรรมสังหารโหดและทำร้ายประชาชนจนล้มตายและบาดเจ็บเกือบ 500 คน ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าตำรวจได้ใช้อาวุธสงครามนานาชนิดเข้าล้างผลาญประชาชนที่บริสุทธิ์และมีแต่สองมือเปล่า
แต่ยังไม่หนำแก่ใจยังบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีว่าผู้ตายก็ดี คนเจ็บก็ดี เป็นผู้สร้างสถานการณ์ เป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นผู้ทำร้ายตำรวจ กระทั่งขว้างระเบิดใส่ตัวเอง
การกระทำเช่นนั้นสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจและคับแค้นใจอย่างสุดแสนที่จะพรรณนา ทั้งแก่ครอบครัวของผู้ตาย ทั้งแก่ผู้บาดเจ็บและญาติมิตร ตลอดจนประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งปวง เป็นพฤติกรรมไม่ต่างกับการฆ่าคนจนตายแล้วข่มขืนศพซ้ำอีก
ความเจ็บช้ำน้ำใจและความคับแค้นใจเช่นนี้แหละได้ทำลายความเชื่อในความอหิงสาและสันติจนหมดสิ้น ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยสงบสุขกลับลุกเป็นไฟ ก็ภายใต้เงื้อมมือของรัฐตำรวจในห้วงเวลาของการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด
มีการใช้อำนาจเถื่อนอุ้มฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นอิหม่าม กอเต็บ บิลัน หรือประชาชนทั่วไป เพียงแค่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ใช้ระบบศาลเตี้ยตัดสินประหารผลาญชีวิตผู้คนอย่างเหี้ยมโหดอำมหิต
ได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ประชาชนในพื้นที่นั้นจนสุดแสนจะทนทาน และยังไม่หนำแก่ใจ ยังมีการใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนหาว่าพี่น้องคนไทยมุสลิมเหล่านั้นเป็นผู้ค้ายาเสพติด เป็นอาชญากร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม
จากความโกรธแค้นก็เพิ่มเป็นความเคียดแค้นคับแค้นชิงชัง ทำลายวัตรปฏิบัติที่ทรงศีลและยึดมั่นอยู่ในหลักสันติธรรมแห่งอิสลามจนหมดสิ้น
พี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้และเข่นฆ่าตำรวจเหล่านั้น จนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาซุกหัวในกระดองที่กรุงเทพฯ
ในที่สุดกองทัพไทยก็ต้องเข้าไปแบกรับภาระอันหนักที่ถูกอำนาจรัฐตำรวจอำมหิตสร้างกรรมทำเข็ญไว้ ต้องเผชิญกับความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินนับไม่ถ้วนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนวันนี้ก็ยังไม่ยุติ
คณะตำรวจที่ก่อเหตุคราวนั้น วันนี้เติบใหญ่ในอำนาจและได้ใช้วิธีการเดียวกันในการปราบปรามและสังหารโหดประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลามหาวิปโยค และใช้วิธีการถนัด “ฆ่าและข่มขืนศพ” เช่นเดียวกับที่เคยกระทำมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะเหตุนั้น ความศรัทธาในสันติและอหิงสาที่ประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยึดมั่นตลอดมาจึงถูกทำลายลง
พี่น้องประชาชนจากภาคใต้ทุกจังหวัดได้ขึ้นมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก บาดเจ็บและพิการเป็นจำนวนมาก แล้วยังถูกกล่าวหาว่าพกพาระเบิดหรือทำร้ายตัวเองเสียอีก
เสียงซึ่งก้องกระหึ่มในวันนี้แต่รัฐบาลทรราชไม่ได้ยินก็คือ “กูไม่ยอมให้มึงฆ่าพวกกูข้างเดียวอีกแล้ว”
มันไม่ใช่เสียงจากพี่น้องชาวภาคใต้เท่านั้น แต่เป็นเสียงของพี่น้องประชาชนที่มาจากทุกแห่งหนทั่วประเทศด้วย
นี่คือสมุฏฐานและปฐมเหตุของสงครามกลางเมืองที่มีตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดแล้วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมันกำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา หากหยุดยั้งเอาไว้ไม่ได้
แล้วใครเล่าที่มีหน้าที่โดยตรงในการหยุดยั้งสงครามกลางเมือง ที่แน่นอนย่อมไม่ใช่อำนาจรัฐตำรวจ เนื่องจากได้กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาเช่นเดียวกับที่ได้เป็นต้นเหตุมาแล้วในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือกองทัพไทย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามรัฐธรรมนูญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาติ ในการปกป้องพิทักษ์รักษาประชาชน และพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์
จะอ้างความเป็นกลางหรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกแล้ว และต้องตระหนักให้ดีว่าในวันนี้ความเสื่อมได้คืบคลานเข้ามายังกองทัพไทยอย่างหนักหน่วงแล้ว
กองทัพไทยวางเฉยให้ตำรวจก่อกรรมสังหารและทำร้ายประชาชนใจกลางพระนคร และใกล้เขตพระราชฐาน เป็นการละเลยต่อหน้าที่ปกป้องประชาชน ทั้งๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเมตตาพระราชทานเงินและหน่วยแพทย์พยาบาลมาช่วยเหลือประชาชนให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
การอ้างความเป็นกลางแบบนี้ก็คือการวางเฉยให้ตำรวจที่ป่าเถื่อนเข่นฆ่าสังหารประชาชนไม่ใช่หรือ?
ความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานครที่เสื่อมสิ้นลงและกำลังมีสภาพเป็นสงครามกลางเมือง เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรอให้ใครมาขอให้ช่วย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือวางเฉยเป็นกลาง
เพราะคิดและทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ ทหารเขมรกระจอกๆ จึงข่มเหงรุกรานรุกล้ำและย่ำยีประเทศไทยไม่เว้นในแต่ละวัน กระทั่งออกข่าวว่านายทหารไทยไปยอมจำนนกราบกรานขอขมาลาโทษให้อับอายขายหน้าไปทั่วโลก
การที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองย่อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนประชาชน
เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพและเหล่าทหารที่ต้องจัดการแก้ไข และไม่อาจอ้างความเป็นกลางหรือวางเฉยได้อีกแล้ว
กองทัพจะต้องหยุดยั้งภัยแห่งสงครามกลางเมืองให้ทันท่วงที โดยกำจัดต้นเหตุแห่งความคับแค้นจิตใจของประชาชนเสียโดยเร็ว
ไม่ใช่เรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ แต่เป็นหน้าที่กองทัพที่จะต้องขจัดอาชญากรมือเปื้อนเลือดไม่ให้ใช้อำนาจเถื่อนล้างผลาญประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันสำคัญของชาติ
หากผู้ที่รับผิดชอบยังวางเฉยให้ตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลฆ่าประชาชน ปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมืองต่อไปโดยไม่สำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้ต่อหน้าพระพักตร์ก็ดี หรือต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลก็ดี ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในระดับรองๆ ลดหลั่นลงไป ที่ต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์ในบ้านเมือง
เพราะสงครามกลางเมืองนั้นหากเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจยับยั้งหรือทำให้ยุติได้ในเร็ววัน แค่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงวันนี้ก็ยังแก้ไม่ตก หากเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศเล่า ประเทศไทยของเราจะยืนอยู่ได้อย่างไร?
เราจะมีกองทัพไว้เพื่อประโยชน์อันใดอีก?
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”
ข้อความข้างบนนี้คือคำรำพึงรำพันของเทพแห่งกาลเวลา ผู้เป็นอมตะในทุกกาล คือไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งใหญ่ระดับที่ไม่มีใครในสามโลกจะต้านทานได้เลย
เป็นข้อความที่ปรากฏในโศลกแรกแห่งมหาภารตะยุทธ์ ซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองชนิดหนึ่ง และผลาญชีวิตผู้คนนับล้านๆ ในระยะเวลาอันยาวนาน อันเป็นผลเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติธรรมของมนุษย์
วันนี้ไม่จำเป็นต้องพูดถึงระบอบทุนสามานย์ และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีกต่อไปแล้ว เพราะได้ตายไปแล้ว กลายเป็นรัฐบาลผีดิบ พรรคการเมืองผีดิบและผู้แทนราษฎรผีดิบที่กระหายเลือด รอวันที่จะลงหลุมและถูกกลบฝังไว้ในประวัติศาสตร์เท่านั้น
ที่ต้องพูดถึงก็คือสถานการณ์ในบ้านเมืองวันนี้มีสภาพไม่ต่างอันใดกับสถานการณ์บางห้วงเวลาในประเทศเลบานอน ซึ่งเป็นสงครามกลางเมือง แต่ละวันมีแต่กลิ่นคาวเลือด เสียงปืน เสียงระเบิด และเสียงร่ำไห้ระงม
ขณะนี้มันอยู่ในระยะเพิ่งเริ่มต้น เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นยังคงเกิดขึ้นในเวลากลางคืน แต่หากไม่หยุดยั้งไว้ มันก็จะเกิดขึ้นทั้งวันทั้งคืนและจะขยายตัวลุกลามไปทั่วประเทศ
สถานการณ์ในวันนี้ ประชาชนผู้จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ร่วม 20 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้คนในแทบทุกวงการไม่ยอมรับการปกครองของรัฐบาลทรราชอีกต่อไปแล้ว การต่อต้าน การต่อสู้กำลังแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง และถูกยกระดับแหลมคมขึ้นทุกที
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่มีผู้ปกครองหรือรัฐบาลใดจะยืนอยู่ได้ หากว่าประชาชนไม่ยอมรับการปกครองแล้ว อย่าว่าแต่จะมีปริมาณร่วม 20 ล้านคน เอากันแค่ไม่กี่แสนคนหรือล้านคน ก็ต้องพังพินาศย่อยยับไปแล้ว
การดันทุรังอยู่ในอำนาจท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความพินาศของบ้านเมืองนั้น เห็นได้ชัดในตัวว่ามิใช่อยู่เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม แต่เป็นการอยู่เพื่อประโยชน์ตนและพวกพ้องเท่านั้น ซึ่งไม่มีวันที่จะสงบสุขได้เลย
ไม่เห็นหรือว่าวันนี้ก็มีข่าวแล้วว่านายกรัฐมนตรีต้องส่งครอบครัวออกไปอยู่ยังต่างประเทศ เพราะเกรงว่าไม่มีความปลอดภัย เนื่องจากกลัวว่าจะมีการปฏิวัติ
เป็นความไม่ปลอดภัยที่กำลังคุกคามพรรคร่วมรัฐบาล และผู้แทนราษฎรของพรรคร่วมรัฐบาล ตลอดจนครอบครัวที่ไม่เป็นปกติสุขได้อีกต่อไปแล้ว ทุกคนกำลังถูกตราหน้าว่าเป็นทรราช เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด
ที่กลัวการปฏิวัติและเกรงไม่ปลอดภัยจากทหารนั้นเป็นเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่กว่าก็คือมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทุกหนทุกแห่งที่เปี่ยมด้วยความคับแค้นในจิตใจนั่นต่างหากที่น่ากลัวกว่า เพราะไม่มีใครที่จะหลุดรอดพ้นไปจากหูตาและน้ำมือของประชาชนได้เลย
อำนาจรัฐตำรวจก่ออาชญากรรมสังหารโหดและทำร้ายประชาชนจนล้มตายและบาดเจ็บเกือบ 500 คน ความจริงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าตำรวจได้ใช้อาวุธสงครามนานาชนิดเข้าล้างผลาญประชาชนที่บริสุทธิ์และมีแต่สองมือเปล่า
แต่ยังไม่หนำแก่ใจยังบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีว่าผู้ตายก็ดี คนเจ็บก็ดี เป็นผู้สร้างสถานการณ์ เป็นผู้ก่อความไม่สงบ เป็นผู้ทำร้ายตำรวจ กระทั่งขว้างระเบิดใส่ตัวเอง
การกระทำเช่นนั้นสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจและคับแค้นใจอย่างสุดแสนที่จะพรรณนา ทั้งแก่ครอบครัวของผู้ตาย ทั้งแก่ผู้บาดเจ็บและญาติมิตร ตลอดจนประชาชนที่รักความเป็นธรรมทั้งปวง เป็นพฤติกรรมไม่ต่างกับการฆ่าคนจนตายแล้วข่มขืนศพซ้ำอีก
ความเจ็บช้ำน้ำใจและความคับแค้นใจเช่นนี้แหละได้ทำลายความเชื่อในความอหิงสาและสันติจนหมดสิ้น ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคยสงบสุขกลับลุกเป็นไฟ ก็ภายใต้เงื้อมมือของรัฐตำรวจในห้วงเวลาของการทำสงครามปราบปรามยาเสพติด
มีการใช้อำนาจเถื่อนอุ้มฆ่าประชาชนไม่เลือกหน้า ไม่ว่าจะเป็นอิหม่าม กอเต็บ บิลัน หรือประชาชนทั่วไป เพียงแค่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ใช้ระบบศาลเตี้ยตัดสินประหารผลาญชีวิตผู้คนอย่างเหี้ยมโหดอำมหิต
ได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ประชาชนในพื้นที่นั้นจนสุดแสนจะทนทาน และยังไม่หนำแก่ใจ ยังมีการใส่ร้ายป้ายสีบิดเบือนหาว่าพี่น้องคนไทยมุสลิมเหล่านั้นเป็นผู้ค้ายาเสพติด เป็นอาชญากร เป็นคนชั่วช้าเลวทราม
จากความโกรธแค้นก็เพิ่มเป็นความเคียดแค้นคับแค้นชิงชัง ทำลายวัตรปฏิบัติที่ทรงศีลและยึดมั่นอยู่ในหลักสันติธรรมแห่งอิสลามจนหมดสิ้น
พี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู้และเข่นฆ่าตำรวจเหล่านั้น จนต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาซุกหัวในกระดองที่กรุงเทพฯ
ในที่สุดกองทัพไทยก็ต้องเข้าไปแบกรับภาระอันหนักที่ถูกอำนาจรัฐตำรวจอำมหิตสร้างกรรมทำเข็ญไว้ ต้องเผชิญกับความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินนับไม่ถ้วนต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว จนวันนี้ก็ยังไม่ยุติ
คณะตำรวจที่ก่อเหตุคราวนั้น วันนี้เติบใหญ่ในอำนาจและได้ใช้วิธีการเดียวกันในการปราบปรามและสังหารโหดประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลามหาวิปโยค และใช้วิธีการถนัด “ฆ่าและข่มขืนศพ” เช่นเดียวกับที่เคยกระทำมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะเหตุนั้น ความศรัทธาในสันติและอหิงสาที่ประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยึดมั่นตลอดมาจึงถูกทำลายลง
พี่น้องประชาชนจากภาคใต้ทุกจังหวัดได้ขึ้นมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก บาดเจ็บและพิการเป็นจำนวนมาก แล้วยังถูกกล่าวหาว่าพกพาระเบิดหรือทำร้ายตัวเองเสียอีก
เสียงซึ่งก้องกระหึ่มในวันนี้แต่รัฐบาลทรราชไม่ได้ยินก็คือ “กูไม่ยอมให้มึงฆ่าพวกกูข้างเดียวอีกแล้ว”
มันไม่ใช่เสียงจากพี่น้องชาวภาคใต้เท่านั้น แต่เป็นเสียงของพี่น้องประชาชนที่มาจากทุกแห่งหนทั่วประเทศด้วย
นี่คือสมุฏฐานและปฐมเหตุของสงครามกลางเมืองที่มีตัวอย่างให้เห็นเด่นชัดแล้วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมันกำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา หากหยุดยั้งเอาไว้ไม่ได้
แล้วใครเล่าที่มีหน้าที่โดยตรงในการหยุดยั้งสงครามกลางเมือง ที่แน่นอนย่อมไม่ใช่อำนาจรัฐตำรวจ เนื่องจากได้กลายเป็นต้นเหตุของปัญหาเช่นเดียวกับที่ได้เป็นต้นเหตุมาแล้วในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือกองทัพไทย ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงตามรัฐธรรมนูญในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยแห่งชาติ ในการปกป้องพิทักษ์รักษาประชาชน และพิทักษ์รักษาพระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์
จะอ้างความเป็นกลางหรือทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกแล้ว และต้องตระหนักให้ดีว่าในวันนี้ความเสื่อมได้คืบคลานเข้ามายังกองทัพไทยอย่างหนักหน่วงแล้ว
กองทัพไทยวางเฉยให้ตำรวจก่อกรรมสังหารและทำร้ายประชาชนใจกลางพระนคร และใกล้เขตพระราชฐาน เป็นการละเลยต่อหน้าที่ปกป้องประชาชน ทั้งๆ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระเมตตาพระราชทานเงินและหน่วยแพทย์พยาบาลมาช่วยเหลือประชาชนให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว
การอ้างความเป็นกลางแบบนี้ก็คือการวางเฉยให้ตำรวจที่ป่าเถื่อนเข่นฆ่าสังหารประชาชนไม่ใช่หรือ?
ความมั่นคงภายในกรุงเทพมหานครที่เสื่อมสิ้นลงและกำลังมีสภาพเป็นสงครามกลางเมือง เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรอให้ใครมาขอให้ช่วย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือวางเฉยเป็นกลาง
เพราะคิดและทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ ทหารเขมรกระจอกๆ จึงข่มเหงรุกรานรุกล้ำและย่ำยีประเทศไทยไม่เว้นในแต่ละวัน กระทั่งออกข่าวว่านายทหารไทยไปยอมจำนนกราบกรานขอขมาลาโทษให้อับอายขายหน้าไปทั่วโลก
การที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองย่อมกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความปลอดภัยของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนประชาชน
เป็นหน้าที่โดยตรงของกองทัพและเหล่าทหารที่ต้องจัดการแก้ไข และไม่อาจอ้างความเป็นกลางหรือวางเฉยได้อีกแล้ว
กองทัพจะต้องหยุดยั้งภัยแห่งสงครามกลางเมืองให้ทันท่วงที โดยกำจัดต้นเหตุแห่งความคับแค้นจิตใจของประชาชนเสียโดยเร็ว
ไม่ใช่เรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ แต่เป็นหน้าที่กองทัพที่จะต้องขจัดอาชญากรมือเปื้อนเลือดไม่ให้ใช้อำนาจเถื่อนล้างผลาญประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันสำคัญของชาติ
หากผู้ที่รับผิดชอบยังวางเฉยให้ตำรวจและอันธพาลของรัฐบาลฆ่าประชาชน ปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมืองต่อไปโดยไม่สำนึกในคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายไว้ต่อหน้าพระพักตร์ก็ดี หรือต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลก็ดี ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบในระดับรองๆ ลดหลั่นลงไป ที่ต้องเข้ามากอบกู้สถานการณ์ในบ้านเมือง
เพราะสงครามกลางเมืองนั้นหากเกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจยับยั้งหรือทำให้ยุติได้ในเร็ววัน แค่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงวันนี้ก็ยังแก้ไม่ตก หากเกิดขึ้นทั่วทั้งประเทศเล่า ประเทศไทยของเราจะยืนอยู่ได้อย่างไร?
เราจะมีกองทัพไว้เพื่อประโยชน์อันใดอีก?