xs
xsm
sm
md
lg

นักลงทุนหมดความเชื่อมั่น ชี้ตร.ยิงม็อบทำต่างชาติหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ผู้บริหารกองทุนชี้ความรุนแรงทางการเมืองยิ่งซ้ำเดิมเศรษฐกิจไทย หลังจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ พร้อมเชื่อนักลงทุนรายย่อย-ใหญ่หมดความเชื่อมั่นในรัฐบาล และหวั่นวิตกตัวเลขจีดีพีปีนี้อาจต่ำกว่า 4% หากเมกะโปรเจกต์ไม่เดินหน้า เช่นเดียวกับดัชนีหุ้นที่อาจร่วงหนัก ชี้ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ลูกค้าป้องกันการเทขายหน่วยลงทุน ด้าน กบข.ไม่กล้าเสี่ยงลดการลงทุนในหุ้นเหลือเพียง12%จากทั้งหมด หันมาถือเงินสดเพิ่ม และมีแนวโน้มลดพอร์ตลงทุนต่อ นายแบงก์มองต่างชี้ปัจจัย ตปท.หนักกว่า

นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลชุดนี้ เพราะหลายๆ บริษัทได้มีการลดเป้าการลงทุนลงแล้วจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งย่ำแย่มาก ขณะเดียวกันนอกจากปัญหาในประเทศแล้วเรายังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศเสริมมาอีกด้วย ถือว่าได้รับผลกระทบทั้งสองทางมากกว่าประเทศอื่นๆ ส่งผลให้ตลาดหุ้นตกลงมามากสุด
"เศรษฐกิจทั่วโลกขณะนี้ได้ลามไปยังยุโรป และอังกฤษแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าการลงทุนในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาลดลงมาเยอะมาก และไทยเองยังได้รับผลกระทบนี้เช่นเดียวกัน บวกกับปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นด้วย เพราะจากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ เห็นได้ชัดว่าโบรกเกอร์ต่างเริ่มขาดความเชื่อมั่น และลดการลงทุนลงแล้ว" นางวรวรรณ กล่าว

**หวั่นจีดีพีปีนี้ต่ำกว่า4.5%**
ด้าน นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลเสียต่อประเทศไทย เนื่องมาจากปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับภาคสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกก็ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่แล้ว ดังนั้นการที่ประเทศไทยมีปัญหาการเมืองเข้ามาเป็นปัจจัยกดดันประกอบไปด้วยนั้นจึงยิ่งไม่ส่งผลดีต่อประเทศไทยเพิ่มขึ้น
"ตอนนี้การเงินโลกก็แย่อยู่แล้ว แต่ในส่วนของภาคเอกชนไทยยังนับได้ว่าแข็งแกร่ง และน่าจะสามารถเอาตัวรอดไปได้" นายมาริษ กล่าว
อย่างไรก็ตามถ้าแผนการใช้งบประมาณและโครงการลงทุนต่างๆของภาครัฐไม่สามารถทำได้อย่างที่วางไว้ อาจจะส่งกระทบต่อตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้ซึ่งอาจจะปรับตัวลดลงจากคาดการณ์ไว้ที่ระดับประมาณ 4 - 4.5%

**ดัชนีหุ้นมีโอกาส่รวงลงมากกว่านี้**
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในปีหน้า น่าจะอยู่ที่ 4-5% โดยมาจากเเรงผลักดันของสินค้าเกษตรที่มีโอกาสเติบโตเพราะมีความต้องการค่อนข้างสูง ในขณะที่ภาคการส่งออกคงไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการสถาบันการเงินของสหรัฐมากนัก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดรองที่ไทยส่งออก
สำหรับสถานการณ์การเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย ณ ขณะนี้ ภาวะการซื้อขายในช่วงนี้อาจจะได้รับผลกระทบในเเง่จิตวิทยามากที่สุด ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนไปก่อน ประกอบกับต่างชาติเทขายสุทธิเพื่อนำเงินกลับประเทศตนเอง
"ผมมองว่าดัชนี 600 กว่าจุดก็ถือว่าหนักพอดู เเต่ ณ วันนี้ดัชนีอยู่ที่ 550 กว่าจุด ซึ่งผมคาดว่าถ้าสถานการณ์การเมืองไม่คลี่คลายก็คงมีโอกาสได้เห็นดัชนีต่ำลงกว่านี้เเน่นอน ตรงกันข้ามถ้าสถานการณ์ดีขึ้นก็มีโอกาสได้เห็นดัชนีดีดกลับมาเช่นกัน"นายฉัตรรพี กล่าว

**เร่งเคลียร์ลูกค้า ป้องกันถอนเงินออก**
ด้านนายนที ดำรงกิจการ ผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า ได้มีการหารือกันระหว่างบริษัทจัดการลงทุนด้วยการกันเพื่อประเมินทิศทางของสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งอาจเกิดขึ้นในหลายกรณีทั้งไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงใดเกิดขึ้น หรืออาจเกิดเหตุร้ายแรงขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวกระทบต่อภาพรวมการลงทุนประเภทต่างๆแน่
"สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือการประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มลูกค้าได้รับทราบ รวมทั้งสอบถามในเหตุผลที่ต้องการไถ่ถอนเงินออกจากหน่วยลงทุนว่าเพราะอะไร และชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจถึงปัจจัยพื้นฐานในการลงทุนที่ยังดีอยู่ เพียงแต่สภาพคล่องปรับตัวลดลง"นายนที กล่าว
ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่า นักลงทุนต่างชาติจะชะลอการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวานนี้ นายนทีกล่าว เรื่องนี้น่าจะมาจากผลพวงของวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯมากกว่า เพราะประเมินว่าข่าวการประสบปัญหาของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ จะยังมีออกมาให้รับทราบเพิ่มเติมจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมากขึ้น เหมือนกับยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะเลวร้ายจริงแค่ไหน
"ตอนนี้นักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ขายสินทรัพย์เพื่อถือเป็นเงินสดแล้วนำเงินกลับประเทศของตนมากขึ้น ซึ่งเป็นไป

**กบข.ไม่กล้าเสี่ยงลดถือหุ้นเหลือ12%**
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศและปัจจัยภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวมีผลกระทบและส่งผลให้นักลงทุนกังวลและชะลอการลงทุนในช่วงนี้ออกไปก่อน แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่า SET Index จะปรับลดลงไปอีกนานแค่ไหน เนื่องจากไม่ได้ประเมินเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้
"ภาวะการเมืองมีผลกระทบกับความกังวล ซึ่งทำให้การลงทุนมันชะลอตัวลงไปสมมติว่าวันนี้เกิดมีข่าวดีในอเมริกา คนก็ยังลังเลการลงทุน เพราะไม่รู้ว่าในประเทศจะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นตัวกดดัน แต่ถ้าถามว่า SET Index มันจะไปถึงเท่าไรผมไม่ทราบ เพราะไม่เคยประเมินไว้"นายวิสิฐ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมากบข.มีการปรับพอร์ตการลงทุนในหุ้นเหลือต่ำกว่า12% จากปัจจุบันมีมูลค่าการลงทุนในหุ้น 12% ของพอร์ตการลงทุนรวมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และหันมาถือเงินสดมากขึ้น
โดย ปัจจุบันกบข.ถือเงินสด 1.2% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด และมีแนวโน้มจะถือเงินสดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังหันไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากวิกฤตการเงินโลก โดยกบข.มีความเป็นห่วงผลกระทบจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯมากกว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศ
สำหรับการลงทุนของ กบข.ในตราสารหนี้กับหุ้นกู้ในต่างประเทศช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จะมีปัจจัยลบเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวแต่ กบข.ไม่มีผลกระทบจากกรณีดังกล่าว เนื่องจากลงทุนอย่างระมัดระวัง และเลือกลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นกู้ที่มีเครดิตอยู่ในระดับที่ดีและสามารถสว็อปมาเป็นเงินบาทได้ จึงไม่มีปัญหาในเร่องดังกล่าว ส่วนการลงทุนในยุโรปก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน
โดยกบข.ยังคงสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรของไทย กว่า 65% ของมูลค่าพอร์ต ขณะที่ผลตอบแทนที่จะได้จากการลงทุนในปีนี้ เลขาธิการกบข.ยอมรับว่าประเมินลำบาก เพราะขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แต่ปีที่แล้วผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ 8% ต่อปี

***นายแบงก์ระบุปัญหา ตปท.หนักกว่า
นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BBL เปิดเผยว่า ปัญหาความวุ่นวายและความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่มองว่านักธุรกิจอาจจะให้น้ำหนักปัจจัยนี้น้อยกว่าปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินต่างประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากส่วนหนึ่งนักธุรกิจได้เริ่มรับรู้ปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม มองว่าภาคที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ภาคการท่องเที่ยว แต่ในภาคธุรกิจนั้นนักธุรกิจยังคงมีความระมัดระวัง อีกทั้งประชาชนก็ยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากอยู่แล้ว ซึ่งก็หวังว่าปัญหาดังกล่าวจะยุติได้โดยเร็ว
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร รองผู้จัดการใหญ่กลุ่มเทคโนโลยี ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) SCB กล่าวว่า สถานการณ์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบปัญหาเศรษฐกิจโลกมากกว่าปัญหาการเมืองในประเทศ ส่วนความวุ่นวายล่าสุดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ยังไม่อยากให้ความเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจหรือไม่ คงต้องรอว่าปัญหาจะยุติอย่างไร จึงจะสามารถประเมินได้

**ชี้ผลกระทบทางจิตวิทยาลงทุนล้วนๆ**
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง สถานการณ์ของการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยหลังจากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องของปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดการณ์ค่อนข้างยาก แต่ทางตลาดเองก็พยายามที่จะประคองตลาดอยู่
โดยสถานการณ์ของตลาดหุ้นของตลาดหุ้นที่ตกลดลงมานั้นเป็นไปตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้น ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นและกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นปรับตัวลดลงไป แต่อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์คลี่คลายได้ สภาพการลงทุนในตลาดหุ้นและกองทุนรวมก็จะเข้าสู่สถานการณ์ปกติได้
ส่วนหุ้นที่ตกลงมาอย่างมากในขณะนี้ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะลงทุนในระยะยาวได้ เพราะราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาอย่างมากแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น