xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดหุ้นไทยดิ่งเหว38จุด-ต่ำสุดรอบ5ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยดิ่งเหว นักลงทุนต่างประเทศทิ้งหุ้นขนเงินเสริมสภาพคล่อง หลังวิกฤตสถาบันการเงินลุกลามสู่ยุโรป และประเมินแผนกู้วิกฤตการเงินไม่สามารถยุติปัญหาได้หมด กดดัชนีหุ้นไทยรูดกว่า 38 จุด หรือกว่า 6.48% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี มาร์เกตแคปหดเหลือแค่ 4.38 ล้านล้านบาท ด้าน “ภัทรียา” เผยการเมืองร้อนซ้ำเติมตลาดหุ้นไทยวูบหนักกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ขณะที่โบรกเกอร์ ประสานเสียง 7 แสนล้านดอลลาร์ไม่ครอบคลุมมูลค่าความเสียหาย เพราะไม่สามารถประเมินปัญหาจะจบเมื่อใด พร้อมแนะนำให้ชะลอลงทุน หลังหาจุดแนวรับไม่เจอ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 ต.ค.) นักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า ซึ่งสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่าปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะยังคงลุกลามและขยายวงกว้างออกไปอีก แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะอนุมัติแผนบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทุกฝ่ายมั่นใจว่าวงเงินดังกล่าวไม่สามารถจะครอบคลุมความเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ เรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปะทุขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้จับกุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปแล้ว 2 คน ทำให้นักลงทุนต่างกังวลว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จึงได้เทขายหุ้นออกมา จนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย
โดยดัชนีตลาดหุ้นมีจุดสูงสุดที่ 579.42 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างหนักและรวดเร็วในช่วงบ่าย และปิดการซื้อขายที่จุดต่ำสุดที่ระดับ 551.80 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้าถึง 38.25 จุด หรือคิดเป็น 6.48% มูลค่าการซื้อขายรวม 14,408.45 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ลดเหลือ 4.38 ล้านล้านบาท และพี/อี ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 8.39 เท่า และดัชนีได้ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี นักจากวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 560.74 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิมากถึง 2,221.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายุสุทธิ 1,087.72 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิกว่า 3,309.70 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 202 บาท ลดลง 24 บาท หรือ 10.62% มูลค่าการซื้อขาย 1,888.74 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 110 บาท ลดลง 14 บาท หรือ 11.29% มูลค่า 1,717.87 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 59 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 7.09% มูลค่า 975.05 ล้านบาท

***วิกฤตการเงินลามสู่ยุโรปฉุดตลาดหุ้นไทย
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงเป็นไปตามตลาดหุ้นภูมิภาค และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป จากได้รับผลกระทบทางด้านจิตวิทยาจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามไปในยุโรป ทำให้ตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวลดลงประมาณ 5%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแรงในช่วงท้ายตลาด หลังจากตลาดหุ้นยุโรปเปิดมีการปรับตัวลดลง บวกกับนักลงทุนอาจมีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมืองภายในประเทศ อาจจะไม่นิ่งจากที่ พล.ตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกควบคุมตัว ทำให้ตลาดหุ้นไทยปิดลดลง 6% ซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ 1-1.5%
นางภัทรียา กล่าวว่า วิกฤตปัญหาสถาบันการเงินขณะนี้ยังประเมินได้ยาก ต้องติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทางสหรัฐฯ ได้มีการผ่านแผนกอบกู้วิกฤติสถาบันการเงินแล้ว แต่ต้องรอดูผลกระทบของธนาคารพาณิชย์ในยุโรปก่อน ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และเอเชีย ไม่ได้เกิดเฉพาะตลาดหุ้นไทย ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวแก้ไขได้เร็ว จะทำให้ปัญหาจบได้เร็วและไม่ยืดเยื้อ
“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 5% แต่ในช่วงท้ายปรับตัวลดลงแรงทำให้ปรับตัวลงมา 6% จากที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเปิดและแนวโน้มปรับตัวลดลง และจากความกังวลทางด้านการเมืองที่ไม่นิ่ง ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาดหุ้นอื่น ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ปรับตัวลงประมาณ 4-5%”
สำหรับปัญหาการถูกบังค้บขาย (ฟอร์ซเซลล์) และการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากนั้น นางภัทรียา กล่าวว่า จากการตรวจสอบทั้งในส่วนการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) พบมีการปล่อยมาร์จิ้นมีไม่มาก เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายโดยรวม เพราะในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเราขึ้นไม่มาก ทำให้นักลงทุนไม่ได้แห่เข้ามาขอมาร์จินเพื่อซื้อเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนที่ลงทุนโดยใช้เงินสด และสามารถที่จะถือลงทุนได้นานนั้นก็ไม่ควรตกใจขายหุ้นออกมา ควรที่จะถือเพื่อรับเงินปันผล เพราะผลตอบแทนเงินปันผลของหุ้นหลายบริษัทให้ผลตอบแทนถึง 7-8% หรือเฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 4% ซึ่งดีกว่าตกใจขายหุ้นออกมา
นางภัทรียา กล่าวว่า วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ร่วมเดินทางไปกับกระทรวงการคลังอาเซียน เพื่อเข้าประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ที่ดูไบ ซึ่งจากการประชุมในครั้งนี้ มีช่วงที่ให้แต่ละประเทศพูดในเรื่องการลงทุนของแต่ละประเทศ ซึ่งการไปประชุมครั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะได้พบกับนักลงทุนของดูไบเพื่อที่จะชวนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย และกองทุนแมทชิ่งฟันด์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จัดตั้ง
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะชวนให้นักลงทุนดูไบเข้ามาลงทุนดัชนีชารีอะห์ จากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะจัดทำดัชนีดังกล่าว โดยให้ทางฟุ้ตซีเป็นผู้ดำเนินการ โดยขณะนี้มีบริษัทจดทะเบียนไทย จำนวน 14 บริษัท หรือคิดเป็น 31% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ที่เข้าเกณฑ์การลงทุนชารีอะห์

***รมว.คลังเผยหุ้นตกตามตลาดโลก
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่เกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ในยุโรป ที่เกิดผลกระทบทำให้สินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลง แต่กรณีสินทรัพย์ในไทยยังถือว่ายังลงไม่มาก ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้ จะใช้มาตรการอะไรไปช่วยมากไม่ได้ ส่วนมาตรการเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้กับเงินลงทุนในกองทุน LTF และ RMF นั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียด ต้องรอให้รัฐบาลได้แถลงนโยบายก่อน
นายสุชาติกล่าวว่า จะเตรียมออกมาตรการเป็นแพ็คเกจดูแล SME เพราะจะเป็นผู้ประกอบการกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติการเงินโลกซึ่งทำให้การขอสินเชื่อทำได้ยากขึ้น เบื้องต้นได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาแนวทางการหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาทดแทนวงเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ไม่สามารถปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับสถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อต่อได้ โดยมีวงเงินเดิม 5-6 หมื่นล้านบาท
"ขณะนี้สภาพคล่องในระบบการเงินของไทยยังไม่มีปัญหา กระทรวงการคลังจะประสานดูแลให้สภาพคล่องมีเพียงพอต่อระบบเศรษฐกิจ" รมว.คลังกล่าวและว่า ภาครัฐมีมาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประชาชนในระดับรากหญ้าผ่านกลไกของทั้ง 3 ด้าน คือ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง คณะกรรมการโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชน (SML) และคณะกรรมการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)

***กสิกรฯชี้ต่างชาติทิ้งหุ้นไทยต่อเนื่อง
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง เกิดจากวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ ที่ได้ลุกลามไปยังสถาบันทางการเงินของยุโรป จากการที่รัฐบาลเยอรมนีร่วมกับธนาคารและบริษัทประกันในประเทศจัดทำแผนช่วยเหลือฉุกเฉินไฮโปเรียลเอสเต็ทโฮลดิ้งเอจีมูลค่า 50 พันล้านยูโร หรือประมาณ 68 พันล้านเหรียญสหรัฐ และบีเอ็นพีพาร์บาส์เอสเอ จะซื้อกิจการธุรกิจของฟอร์ตีส ในเบลเยี่ยมและลักเซมเบิร์ก เนื่องจากแผนช่วยเหลือธนาคารดังกล่าวของรัฐบาลก่อนหน้านี้ไม่ สามารถรักษาเสถียรภาพของสถาบันการเงินแห่งนี้ได้
สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองภายในประเทศนั้น ประเมินว่ามีผลกดดันต่อตลาดหุ้นไม่มากนัก ให้น้ำหนักประมาณ 20% ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนต่างชาติมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ขายไปเพียง 1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น ยังมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขายได้อีก โดยในช่วงนี้มองว่าตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมาก ซึ่งในขณะนี้ไม่แนะนำให้ลงทุน ควรจะถือเงินสดไว้ โดยน่าจะรอให้ดัชนีปรับลดลงถึงจุดต่ำสุดก่อน คาดว่าใช้เวลา 3-6 เดือน ซึ่งประเมินแนวรับที่ 533 จุด และแนวต้านอยุ่ที่ 560 จุด

***7แสนล้านดอลล์ไม่เพียงพอ***
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนมองว่าแผนบรรเทาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจะไม่เพียงพอต่อปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังคงเปราะบาง บวกกับช่วงบ่ายได้เกิดกระแสข่าวสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังได้รับปัจจัยด้านการเมืองจึงส่งผลให้ตกลงแรงกว่าตลาดอื่น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะปรับตัวลงต่อเนื่อง เพราะวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีทีท่าจะจบเมื่อใด รวมถึงให้จับตาการเมืองภายในประเทศที่เริ่มกลับสู่ทางตันอีกครั้ง ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุน หรือเทขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยมีแนวรับที่ 540 จุด และแนวต้านที่ 580 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนวิตกกังวลเม็ดเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลดลงเฉลี่ยประมาณ 5% ขณะที่ช่วงบ่ายยังมีข่าวร้ายเข้ามาสมทบจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของเยอรมนีประสบปัญหาทางการเงิน
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังอยู่ในช่วงขาลง โดยยังมองหาแนวรับและแนวต้านไม่เจอ และไม่ทราบว่าแนวโน้มวิกฤตการเงินสหรัฐฯ จะจบเมื่อใด นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน” นางสาวปองรัตน์ กล่าว
นางสาวจันทนา วัฒนกูล ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีบี จำกัด (มหาชน) หรือ KTBS กล่าวว่า การจับกุม 2 แกนนำพันธมิตรฯ เป็นปัจจัยที่เข้ามาผสมโรงกับวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามมากยิ่งขึ้น และกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะทำให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่ทางตันอีกครั้ง
“ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงเรื่อยๆ จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามไปยังยุโรป นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยมีแนวรับที่ 540 จุด และแนวต้านที่ 567 จุด”
กำลังโหลดความคิดเห็น