ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหุ้นไทยคึกคัก หลังนักลงทุนเริ่มเชื่อมั่นมาตรการบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ – ยุโรป ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 500.77 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 24.44 จุด หรือ 5.13% มูลค่าซื้อขายคึกคักเฉียด 2.3 หมื่นล้านบาท โบรกเกอร์ออกโรงเตือนหุ้นดีดแค่ช่วงสั้นๆ เหตุผลงานไตรมาส 3/51 ยังวิกฤตหนัก มีโอกาสกดดันดัชนีหุ้นไทยหลุด 400 จุด ขณะที่หุ้นเก็งกำไร “LIVE-IEC” ฮอตสุดๆ แต่โบรกเกอร์แนะเลี่ยงให้ไกล
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (14 ต.ค.) นักลงทุนได้กลับเข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก หลังคลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยุโรป ได้ในระดับหนึ่ง จากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศประกาศเสริมสภาพคล่องและพยุงฐานะของสถาบันการ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าขณะที่ตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 508.96 จุด หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด ต่ำสุดที่ 498.29 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงท้ายตลาด แต่ยังอยู่เหนือระดับ 500 จุด และปิดการซื้อขายที่ 500.77 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 24.44 จุด หรือคิดเป็น 5.13% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายคึกคักถึง 22,897.44 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศ ได้กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ คือมียอดซื้อสุทธิ 2,261.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 314.58 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,946.68 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคในระยะสั้นๆ จากการผ่อนคลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรป หลังทางการของประเทศต่างๆ นำเงินเพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในยุโรป และจากกที่กลุ่มอียูมีการจับมือกันในการดูแลปัญหาสถาบันการเงินอย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศยุโรป สหรัฐฯ จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/51 ซึ่งคาดว่าจะมีผลขาดทุนเพิ่ม ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจากในอดีตวิกฤตการเงินที่ผ่านมาต้องมีการเพิ่มทุนหลายรอบกว่าที่จะปัญหาจะจบลง
ทั้งนี้ ในช่วงระยะ 2-3 เดือนนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 400 จุด จากปัญหาสถาบันการเงินที่จะกลับมาเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นจากที่จะมีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 4/51 ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์มีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 6,000-7,000 จุด
“การที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเป็นการการรีบาวน์ทางเทคนิคในระยะสั้นเพียง 1-2 วันเท่านั้นก็จบแล้ว จากที่จะมีการเพิ่มทุนให้กับแบงก์ต่างๆ ในยุโรป และกลุ่มจี 7 มีการจับมือร่วมกันในการดูแลปัญหาปัญหาต่างๆ แต่เมื่อแบงก์ในต่างประเทศมีการประกาศงบไตรมาส 3/51 ออกมา จะทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะมีผลขาดทุนอีกในไตรมาส 4 และจากวิกฤตตั้งแต่ปี 1997-2000 สถาบันการเงินจะต้องมีการเพิ่มทุนหลายรอบ”
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเชื่อว่าดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ หากดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเหนือระดับ 500 จุดได้ จะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 520 จุด โดยบริษัทแนะนำให้มีการขายทำกำไรออกมา แต่หากดัชนีไม่สามารถปรับตัวอยู่ในระดับ 500 จุด ได้ ดัชนีอาจจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 480 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำให้มีการขายทำกำไรออกมาระยะสั้น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บีฟิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากธนาคารกลางต่างประเทศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน รวมถึงการเข้าพยุงฐานะของสถาบันการเงินในประเทศของตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่กำลังขยายวงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และยุโรป ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีแนวรับที่ 488-490 จุด และแนวต้านที่ 520 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น PTT, PTTEP, KBANK และ BANPU
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลาดทั้งวัน จากที่นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวล ภายหลังจากที่ธนาคารกลางต่างประเทศทั่วโลกประกาศร่วมมือแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น แต่ในวันนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมีแนวรับที่ 485-490 จุด และแนวต้าน 515-517 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี อาทิ KBANK, BBL, SCB เป็นต้น
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะยังคงผันผวน ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยให้ติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศว่าจะจบอย่างไร ขณะที่นักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ให้แนวรับที่ 487-495 จุด และแนวต้านที่ 510-523 จุด
***เลี่ยงหุ้นเก็งกำไรหลังราคาพุ่งแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (14 ต.ค.) ของบริษัท บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ LIVE ปิดที่ระดับ 0.46 บาท เพิ่มขึ้น 0.23 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100% มูลค่าการซื้อขาย 1,343.78 ล้านบาท และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3,491.78 ล้านหุ้น
บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC ราคาหุ้นปิดที่ 1.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 51.28% มูลค่าการซื้อขาย 2,137 ล้านบาท โดยปริมารการซื้อขายสูงสุดอันดับ 2 ,บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)หรือ BLISS ปิดที่ระดับ 0.13 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือเพิ่มขึ้น 44.44% มูลค่าการซื้อขาย 73.63 ล้านบาท ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในอันดับ3
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นเก็งกำไรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงระดับ 100% เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด และที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงติด 4-5 ฟลอร์ ซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนเก็งกำไรในระยะสั้นจากภาวะตลาดหุ้นที่มีการปับตัวเพิ่มขึ้น เพราะ การที่ดัชนีตลาดหุ้นไปปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นระยะสั้น
ทั้งนี้ จากที่ไม่ทราบว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่ออกมานั้นจะแก้ปัญหาได้ระดับไหน แต่บริษัทไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุน จากที่หุ้นดังกล่าวไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งนักลงทุนจะต้องระมัดระวังในการเข้าไปลงทุน
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า การที่หุ้นเก็งกำไรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในเชิงเทคนิคในระยะสั้น จากที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ซึ่งการที่ IEC มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 100% นั้น จากที่ผ่านมาปรับตัวลดลงมากจาก 5 บาท มาอยู่ที่ระดับที่ไม่ถึง 1 บาท ซึ่งทางบริษัทไม่แนะนำในการเข้าไปลงทุน จากที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (14 ต.ค.) นักลงทุนได้กลับเข้ามาลงทุนอย่างคึกคัก หลังคลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยุโรป ได้ในระดับหนึ่ง จากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศประกาศเสริมสภาพคล่องและพยุงฐานะของสถาบันการ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้าขณะที่ตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 508.96 จุด หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด ต่ำสุดที่ 498.29 จุด ก่อนจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงท้ายตลาด แต่ยังอยู่เหนือระดับ 500 จุด และปิดการซื้อขายที่ 500.77 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 24.44 จุด หรือคิดเป็น 5.13% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายคึกคักถึง 22,897.44 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศ ได้กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ คือมียอดซื้อสุทธิ 2,261.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 314.58 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,946.68 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคในระยะสั้นๆ จากการผ่อนคลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรป หลังทางการของประเทศต่างๆ นำเงินเพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในยุโรป และจากกที่กลุ่มอียูมีการจับมือกันในการดูแลปัญหาสถาบันการเงินอย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศยุโรป สหรัฐฯ จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/51 ซึ่งคาดว่าจะมีผลขาดทุนเพิ่ม ส่งผลให้นักลงทุนกังวลกับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินขึ้นมาอีกครั้ง เพราะจากในอดีตวิกฤตการเงินที่ผ่านมาต้องมีการเพิ่มทุนหลายรอบกว่าที่จะปัญหาจะจบลง
ทั้งนี้ ในช่วงระยะ 2-3 เดือนนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 400 จุด จากปัญหาสถาบันการเงินที่จะกลับมาเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นจากที่จะมีผลขาดทุนเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 4/51 ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์มีการปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ระดับ 6,000-7,000 จุด
“การที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเป็นการการรีบาวน์ทางเทคนิคในระยะสั้นเพียง 1-2 วันเท่านั้นก็จบแล้ว จากที่จะมีการเพิ่มทุนให้กับแบงก์ต่างๆ ในยุโรป และกลุ่มจี 7 มีการจับมือร่วมกันในการดูแลปัญหาปัญหาต่างๆ แต่เมื่อแบงก์ในต่างประเทศมีการประกาศงบไตรมาส 3/51 ออกมา จะทำให้นักลงทุนกังวลว่าจะมีผลขาดทุนอีกในไตรมาส 4 และจากวิกฤตตั้งแต่ปี 1997-2000 สถาบันการเงินจะต้องมีการเพิ่มทุนหลายรอบ”
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเชื่อว่าดัชนีจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นๆ หากดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเหนือระดับ 500 จุดได้ จะเป็นแรงผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 520 จุด โดยบริษัทแนะนำให้มีการขายทำกำไรออกมา แต่หากดัชนีไม่สามารถปรับตัวอยู่ในระดับ 500 จุด ได้ ดัชนีอาจจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 480 จุด ซึ่งบริษัทแนะนำให้มีการขายทำกำไรออกมาระยะสั้น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บีฟิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากธนาคารกลางต่างประเทศอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน รวมถึงการเข้าพยุงฐานะของสถาบันการเงินในประเทศของตนเอง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่กำลังขยายวงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้น่าจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีท และยุโรป ซึ่งตลาดหุ้นไทยมีแนวรับที่ 488-490 จุด และแนวต้านที่ 520 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เช่น PTT, PTTEP, KBANK และ BANPU
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลาดทั้งวัน จากที่นักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวล ภายหลังจากที่ธนาคารกลางต่างประเทศทั่วโลกประกาศร่วมมือแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น แต่ในวันนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย จะปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยมีแนวรับที่ 485-490 จุด และแนวต้าน 515-517 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดี อาทิ KBANK, BBL, SCB เป็นต้น
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะยังคงผันผวน ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยให้ติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงปัญหาการเมืองภายในประเทศว่าจะจบอย่างไร ขณะที่นักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ให้แนวรับที่ 487-495 จุด และแนวต้านที่ 510-523 จุด
***เลี่ยงหุ้นเก็งกำไรหลังราคาพุ่งแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานการเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (14 ต.ค.) ของบริษัท บริษัท ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ LIVE ปิดที่ระดับ 0.46 บาท เพิ่มขึ้น 0.23 บาท หรือเพิ่มขึ้น 100% มูลค่าการซื้อขาย 1,343.78 ล้านบาท และมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด 3,491.78 ล้านหุ้น
บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC ราคาหุ้นปิดที่ 1.18 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 51.28% มูลค่าการซื้อขาย 2,137 ล้านบาท โดยปริมารการซื้อขายสูงสุดอันดับ 2 ,บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน)หรือ BLISS ปิดที่ระดับ 0.13 บาท หรือเพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือเพิ่มขึ้น 44.44% มูลค่าการซื้อขาย 73.63 ล้านบาท ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงสุดในอันดับ3
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า การที่ราคาหุ้นเก็งกำไรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงระดับ 100% เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาด และที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงติด 4-5 ฟลอร์ ซึ่งเป็นการเข้ามาลงทุนเก็งกำไรในระยะสั้นจากภาวะตลาดหุ้นที่มีการปับตัวเพิ่มขึ้น เพราะ การที่ดัชนีตลาดหุ้นไปปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นเป็นระยะสั้น
ทั้งนี้ จากที่ไม่ทราบว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่ออกมานั้นจะแก้ปัญหาได้ระดับไหน แต่บริษัทไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุน จากที่หุ้นดังกล่าวไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ ซึ่งนักลงทุนจะต้องระมัดระวังในการเข้าไปลงทุน
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า การที่หุ้นเก็งกำไรมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นในเชิงเทคนิคในระยะสั้น จากที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง ซึ่งการที่ IEC มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 100% นั้น จากที่ผ่านมาปรับตัวลดลงมากจาก 5 บาท มาอยู่ที่ระดับที่ไม่ถึง 1 บาท ซึ่งทางบริษัทไม่แนะนำในการเข้าไปลงทุน จากที่ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ