xs
xsm
sm
md
lg

หมายเหตุ: ป.ป.ช้า จะเป็น ป.ป.ชั่ว!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การที่นักการเมืองที่ทำผิดคิดมิชอบต่อแผ่นดินยังคงลอยคอเชิดหน้าชูตาอยู่ในอำนาจ ทั้ง ๆ ที่มีข้อหาเป็นชนักปักหลังอยู่เต็มเพียบเพียงใด นอกจากอัยการจะถูกผู้คนกังขาสงสัยแล้ว ป.ป.ช. ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่คนทั้งหลายทั้งปวงกำลังจับตาจ้องมอง

มาถึงวันนี้เสียงตำหนิติเตียนจากฟ้าจรดดินแพร่ขยายไปเป็นวงกว้าง ทำให้กรรมการ ป.ป.ช. หลายคนต้องอับอายขายหน้าจนแทบมุดแผ่นดินหนีแล้ว

แต่ไม่รู้ว่า ป.ป.ช. บางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถ่วงเวลาปล่อยให้คนชั่วช้าลอยนวล และสร้างกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองจะสำนึกผิดสำนึกบาปบ้างหรือไม่

เสียงตำหนิติเตียนในขณะนี้รุนแรงขึ้นถึงขั้นที่ระบุว่า ป.ป.ช้าก็คือ ป.ป.ชั่ว

และก็ไม่มีการเกรงใจกันแล้ว จึงมีการระบุตัวกรรมการ ป.ป.ช. บางคนที่ทำงานล่าช้า ถ่วงเวลาให้นักการเมืองชั่วลอยนวลอยู่อย่างหน้าตาเฉยกันแล้ว

ป.ป.ช. ทั้งคณะจึงนิ่งดูดายเพิกเฉยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ถูกระบุชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความล่าช้านั้น นอกจากต้องชี้แจงแสดงเหตุที่ล่าช้าให้ปรากฏแล้ว ยังต้องรีบเร่งการทำงานให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายด้วย

จะต้องสำนึกว่าการถ่วงเวลาให้ล่าช้านั้นทำให้เสียความยุติธรรม และเป็นความ อยุติธรรมในบ้านเมือง โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับนักการเมืองนั้นต้องคำนึงถึงเวลาที่คนเหล่านั้นจะก่อความเสียหายด้วย

วาระการดำรงตำแหน่งทางการเมืองปกติจะมีวาระเวลา 4 ปี การกำจัดคนชั่วไม่ให้ทำความเสียหายกับบ้านเมืองจึงต้องดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะหากปล่อยให้เวลาเนิ่นช้าไปจนพ้นวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้ว ก็เท่ากับเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นหมัน หรือไม่มีผลในความเป็นจริง

การตามสอยเอาผิดหลังจากนักการเมืองพ้นวาระหน้าที่แล้ว ไม่ได้ป้องกันหรือแก้ไขความเสียหายให้กับบ้านเมืองเลย บทเรียนที่นักการเมืองโกงชาตินับแสน ๆ ล้าน ทั้ง ๆ ที่มี ป.ป.ช. อยู่แล้วจึงควรเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าของ ป.ป.ช. และต้องป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำรอยอีก

นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อคืนวันที่ 3 ตุลาคม 2551 ว่ากรณีเรื่องทุจริตจำนวนมากมายหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่เป็นเหตุให้ชาติบ้านเมืองเสียหายนับแสนล้านบาทนั้น เป็นเวลาสองปีแล้วที่ ป.ป.ช. รับเรื่อง แต่ไม่มีความคืบหน้าเลย

และยังระบุอีกว่ากรรมการ ป.ป.ช. ที่รับผิดชอบเรื่องชุดนี้คือนายภักดี โพธิศิริ

ตัวคุณภักดี โพธิศิริ จะต้องชี้แจงแถลงความจริงว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเนิ่นช้าดังที่มีการกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด และจะชี้มูลความผิดกันได้เมื่อใด

ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่ต้องรับผิดร่วมกันทั้งคณะก็ต้องตรวจสอบไต่ถามกันดูว่าที่เขากล่าวหานั้นเป็นความจริงหรือไม่ หากล่าช้าเกินสมควรก็อาจจำเป็นที่จะต้อง เปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบสำนวนชุดนี้เสีย

เพราะการชี้มูลความผิดในเรื่องนี้จะมีผลต่อการสกัดกั้นไม่ให้นักการเมืองทุจริตทำการฉ้อฉลปล้นชาติต่อไป และจะเป็นกำแพงสกัดกั้นการฉ้อฉลปล้นชาติในสนามบินแห่งนี้ต่อไปอีกด้วย

อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องนักการเมืองที่เป็นคณะรัฐมนตรีลงมติอนุมัติให้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-เขมร ที่มีผลทำให้ประเทศไทยเสียหาย เสียประโยชน์ สูญเสียอธิปไตยและก่อเภทภัยใหญ่หลวงขึ้นในบ้านเมือง

เรื่องนี้นางสาวสมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ชี้แจงต่อสื่อมวลชนดังที่เป็นข่าวในวันที่ 3 ตุลาคม 2551 ว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปจะเป็นการประชุมเพื่อสรุปว่าจะเชิญผู้ใดมาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกหรือไม่ คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายน 2551 คืออีกสองเดือนก็น่าจะสรุปเรื่องได้ว่าจะแจ้งข้อกล่าวหาผู้กระทำความผิดหรือไม่

ก็ต้องเตือนนางสาวสมลักษณ์ จัดกระบวนพล และ ป.ป.ช. ว่าเท่าที่ฟังคำชี้แจงนั้นก็ดูชอบกลแล้ว และเวลาเนิ่นช้าเกินสมควรหรือผิดปกติไปแล้ว โดยเฉพาะปมเงื่อนทางกฎหมายบางประการ

เรื่องแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวนี้ ข้อเท็จจริงมีหลักฐานเป็นเอกสารราชการว่ามีการลงมติของคณะรัฐมนตรีให้ทำแถลงการณ์ร่วมจริง ตัวแถลงการณ์ก็มีเป็นเอกสารราชการ ลำพังแค่เอกสารเท่านี้ข้อเท็จจริงก็ชัดเจนแล้ว

นอกจากนั้น เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วว่ามติคณะรัฐมนตรีในการทำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 มีเอกสารหลักฐานประกอบสำนวน ซึ่งเป็นคำชี้แจงของรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนพยานหลักฐานพร้อมสรรพ ในชั้นชี้มูลความผิดนี้ไม่มีความจำเป็นจะต้องสอบอะไรเพิ่มอีกเลย

โดยเฉพาะยังมีข้อกฎหมายที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร คือผูกพัน ป.ป.ช. ด้วย แค่นี้ก็พอชี้มูลความผิดแล้วไม่ใช่หรือ?

ป.ป.ช.ไม่ใช่ศาล ในชั้นชี้มูลความผิดแค่ข้อเท็จ “ส่อ” ว่ากระทำผิดก็ชี้มูลความผิดได้แล้ว จากนั้นจึงไปสู่การไต่สวนตรวจสอบเต็มรูปแบบ

ข้อหาฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและทำผิดกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ ป.ป.ช. พึงอาศัยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและพยานหลักฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนตรวจสอบครบถ้วนสมบูรณ์แล้วนั้นมาประกอบการพิจารณาและสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในการชี้มูลความผิดได้ทันที

และเมื่อชี้มูลความผิดแล้วก็จะมีผลต่อการกำจัดคนทำผิดคิดชั่วออกจากอำนาจ ด้วยอำนาจแห่งความยุติธรรมและกฎหมาย เป็นการช่วยเหลือบ้านเมืองไม่ให้เดือดร้อนเสียหายเพราะการทำผิดคิดชั่วอีกต่อไป

ก็ต้องบอกว่าความคิดที่จะเรียกใครต่อใครมาสอบและคิดที่จะหาข้อสรุปว่าจะแจ้งข้อหาหรือไม่ในเดือนพฤศจิกายน 2551 นั้น มันฟังไม่ขึ้น และไม่เข้าท่าเอาเสียเลย!

กำลังโหลดความคิดเห็น