อีกเพียง 5 วันเท่านั้น “การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.” ก็จะระเบิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่มีเวลาเพียงไม่ถึง 2 เดือน สำหรับบรรดาผู้สมัครทั้งหลายได้ตระเวนทั่วกรุงเทพฯ ในการรณรงค์หาเสียง
การเมืองระดับท้องถิ่นเริ่มมีสีสันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการติดโปสเตอร์ของบรรดาผู้สมัครทั่วบ้านทั่วเมือง พร้อมทั้งมีสปอตโทรทัศน์ออกอากาศทุกช่อง ตลอดจนมีการนำเสนอข่าวทั้งสัมภาษณ์และรายงานความเคลื่อนไหวของผู้สมัครทุกคนรายวันในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า “การเมืองระดับชาติ” ในกรณีของ “นายกรัฐมนตรีใหม่เอี่ยมอ่อง” กับ “โผคณะรัฐมนตรี” และแน่นอนที่สุด “แนวคิดการเมืองใหม่” ของ “กลุ่มพันธมิตรฯ” แทบจะ “กลบข่าว” การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เกือบมิด จนประชาชนแทบไม่ให้ความสนใจกับการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครแต่ละคนเลย
ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญก็อาจจะเป็นเพราะว่า ชาวกรุงเทพฯ ต่างอาจจะคุ้นเคยกับการเมืองระดับท้องถิ่นนี้มายาวนาน ตลอดจนคุ้นเคยกับผู้สมัครที่มีชื่อเสียงและสร้างผลงานมาบ้างแล้ว แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า ชาวกรุงเทพฯ นั้นมีความตื่นตัว ความรู้ ความเข้าใจ ของการเมืองระดับท้องถิ่นมาหลายสิบปี จนอาจจะไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก
คำถามสำคัญที่แม้กระทั่ง “แสงแดด” เองก็ยังไม่ได้ติดตาม ตลอดจนรู้เลยว่า ผู้สมัครแต่ละคนนั้นมี “นโยบาย” อย่างไร ในการที่จะแก้ไขและพัฒนากรุงเทพฯ ได้ดีกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งลองสนทนาพูดคุยกับบรรดาผู้คนโดยทั่วไป ต่างก็ตอบในทำนองเดียวกันว่า “ไม่รู้เลยว่ะ!”
เหตุผลสำคัญก็น่าจะเป็น 2-3 เหตุผลข้างต้น ที่ว่าการเมืองระดับชาติกลบข่าวการเมืองท้องถิ่นหมด หนึ่ง ล่ะ สอง ชาวกทม.ต่างเคยชินกับการเมืองท้องถิ่นระดับนี้มานานหลายปี จนไม่ค่อยตื่นเต้นอะไร สาม หลายๆ คนอาจจะมีใครอยู่ในใจแล้วที่จะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ สี่ ผู้สมัครมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ชาวกรุงเทพฯ ให้ความสนใจ และ/หรือสังกัดพรรคไหนไปเรียบร้อยแล้ว และห้า ชาวกรุงเทพฯ น่าจะจำผู้สมัครได้ไม่เกิน 4-5 คนเท่านั้น เพราะผู้สมัครอิสระมักจะ “โนเนม-ไม่ดัง” หรือมีผู้สมัครบางคนออกอาการ “เพี้ยน-บ้า-ตัวตลก”
นานาสารพัด เหตุผลข้างต้นน่าจะเป็นกรอบชี้ชะตากำหนดผู้สมัครเอาไว้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญข้อนี้ กล่าวคือ หนึ่ง สังกัดพรรคการเมืองใด เนื่องด้วยระบบพรรคการเมืองจะมีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะ “พรรคประชาธิปัตย์” กับ “พรรคพลังประชาชน” ซึ่งก่อกำเนิดมาจาก “พรรคไทยรักไทย” เดิม โดยต่อยอดมาจาก “พรรคพลังธรรม” ในกรณีของระบบพรรคการเมืองนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า สอง “ผลงาน” ของแต่ละคนที่สร้างกันมา
ดังนั้น “แสงแดด” ฟันธงได้เลยว่า “คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าฯ กทม.จากสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จะได้หวนคืนสู่เก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกคำรบหนึ่ง เหตุผลสำคัญที่กล้าฟันธงเช่นนั้นก็เพราะว่า การเป็นผู้ว่าฯ มายาวนานครบ 4 ปี ได้ทั้งสร้างและวางระบบตัวบุคคลไว้มากพอสมควร โดยเฉพาะบรรดาผู้อำนวยการเขตและข้าราชการทั้ง 50 เขต พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ พร้อมทีมได้จัดวาง ฝังรากคนของตนเองและพรรคมาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี และที่สำคัญ “ผลงาน” ที่ทำมา เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆ แล้ว แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ ก็มิได้สร้างผลงานโดดเด่นใดๆ เลย แทบจะกล่าวหาซักหนึ่งผลงานก็ยังนึกไม่ออกเล๊ย!
ส่วนสำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็ต้องยอมรับว่า มีการจัดตั้งระบบพรรคเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ “กระแส” ของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ นับว่าแน่นหนาพอสมควร
ผู้สมัครคนอื่นๆ ที่นับว่า “โดดเด่น” มากที่สุด เรียงตามลำดับแล้ว นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครหมายเลข 8 ก็อาจเป็น “ตัวเลือก” จนเป็น “ตัวเบียด-ตัวแทรก” ที่สำคัญในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด เนื่องด้วย “ความบ้าบอคอแตก” และ “ความขึงขัง” ที่คุณชูวิทย์พยายามสร้างภาพให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาและความรู้สึกของชาว กทม. จนหลายๆ คนบอกว่า “น่าลองชูวิทย์ เพราะบ้าดี!” ในกรณีจุดเด่นนี้ อาจทำให้คุณชูวิทย์คว้าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ก็อาจจะเป็นได้
อีกหนึ่งคนที่ต้องไม่มองข้ามอย่างเด็ดขาดคือ คุณประภัสร์ จงสงวน จากพรรคพลังประชาชน ที่มีความพร้อมในกรณีระบบพรรคการเมืองเช่นเดียวกัน กอปรกับ คุณประภัสร์ เคยเป็นอดีตผู้ว่าการรถไฟฟ้ามหานครฯ (รฟม.) มายาวนานหลายปี สร้างผลงานเป็นที่พอใจสำหรับ “รถไฟฟ้าใต้ดิน” แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า “ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง” กับแกนนำพรรคไทยรักไทยเดิมที่ติดอยู่ “หมู่บ้าน 111”
อย่างไรก็ตาม คะแนนที่คุณประภัสร์ จงสงวน จากพรรคพลังประชาชนที่จะได้น่าจะหลัก 2 แสนกว่าๆ สืบเนื่องจากการที่มีผลสำรวจจากหลายสำนักโพล ที่คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ยังนำโด่งถึงร้อยละ 40 กว่า คุณประภัสร์ จงสงวน ยังเพียงแค่ร้อยละ 10 กว่าๆ สูสีกับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
อีกผู้สมัครที่น่าจะดูดี คือ “ดร.แดน” คุณเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ที่ต้องยอมรับว่าทั้ง “สโลแกน” และ “นโยบาย” ในการหาเสียงนั้น “มืออาชีพ” พร้อมทั้ง “โดน!” ต่อความต้องการของชาว กทม. แต่ผลสำรวจโพลล่าสุดคะแนนยังไม่ถึงระดับ 10 เปอร์เซ็นต์
นอกเหนือจากนั้น ก็อาจจะมีเพียง 2-3 คนเท่านั้น ที่เป็นเพียง “ตัวประกอบ” สร้างสีสันให้กับสนามเลือกตั้ง กทม. เหตุผลสำคัญทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว แต่ก็เพียง “อยากดัง” ยอมควักเงิน 2-3 ล้านบาท คงไม่ต้องบอกว่า “ใคร” เราก็รู้ดีว่า “เธอเพี้ยนสุดๆ!”
“แสงแดด” ดูจากภาพโปสเตอร์หาเสียงของผู้สมัครแล้วจะมี “2 หล่อ” อยู่สองคนคือ คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน และคุณประภัสร์ จงสงวน เท่านั้น ส่วนคุณชูวิทย์ ออกอาการ “กูจะแ—กมึง!” จนใครๆ เห็นต่างยิ้มที่มุมปากกันเป็นแถว ก็ต้องยอมรับว่าเป็น “กลยุทธ์การตลาด” ที่ทำให้ชาว กทม.จดจำตราตรึงใบหน้าความขึงขังในบุคลิกของคุณชูวิทย์ได้ ทั้งๆ ที่ว่ากันตามความจริงแล้ว คุณชูวิทย์ มิใช่ “คนดุร้าย” อะไรปานนั้น ออกจาก “ขี้เล่น” เท่านั้น แต่ “ข้อมูลลึกเพียบ!”
“ดร.แดน-แคนดู” คุณเกรียงศักดิ์ ดูภาพการถลกแขนเสื้อแสดงความพร้อมที่จะทำงาน น่าจะเป็นภาพที่น่าเชื่อถือและดีที่สุด ตลอดจนสร้างแกนและนโยบายโดนใจชาว กทม.ไม่มากก็น้อย แต่ก็น่าเสียดายว่าอาจได้คะแนนเพียงแค่หลักหมื่น
ทั้งนี้ อยากให้กำลังใจ “ดร.แดน” ให้เดินงานการเมืองต่อไป เพราะยังไงๆ “การเมืองใหม่” ต้องกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอนกับ “สังคมการเมืองไทย” ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เพราะกระบวนการขั้นตอนและเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้เป็น “วิวัฒนาการทางการเมืองไทย” ที่จะต้องไต่ถึงจุดพัฒนาในที่สุด ดังนั้น “ดร.แดน” ได้โปรด “อย่าเลิก-อย่าท้อ” เด็ดขาด!
การเลือกตั้งสำหรับสนามกรุงเทพฯ ในครั้งนี้ น่าจะส่งสัญญาณสำคัญสำหรับการเมืองในกรุงเทพฯ และระดับชาติในอนาคต ว่าประชาชนคิดอย่างไรกับความวุ่นวายปัญหาทางการเมืองในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา
แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “ชาวกรุงเทพฯ” ต้องตัดสินใจบนหลักการของ “ผลงาน-ความซื่อสัตย์-สุจริต” และ “ความตั้งใจจริง” ในการสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ต่อไป ด้วย “ความเขียว-ความสะอาด” ตลอดจน “ระบบการศึกษา” และ “การจราจร” เพื่อให้มีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขปัญหา “สภาวะโลกร้อน” และแน่นอน “ระบบการขนส่งมวลชน” ทั้งระบบรางและระบบรถ
ใครก็ตามที่คว้าตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องสร้างผลงานที่โดดเด่น เป็นที่จดจำของชาว กทม. มิใช่ “เช้าชามเย็นชาม!”
การเมืองระดับท้องถิ่นเริ่มมีสีสันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการติดโปสเตอร์ของบรรดาผู้สมัครทั่วบ้านทั่วเมือง พร้อมทั้งมีสปอตโทรทัศน์ออกอากาศทุกช่อง ตลอดจนมีการนำเสนอข่าวทั้งสัมภาษณ์และรายงานความเคลื่อนไหวของผู้สมัครทุกคนรายวันในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่า “การเมืองระดับชาติ” ในกรณีของ “นายกรัฐมนตรีใหม่เอี่ยมอ่อง” กับ “โผคณะรัฐมนตรี” และแน่นอนที่สุด “แนวคิดการเมืองใหม่” ของ “กลุ่มพันธมิตรฯ” แทบจะ “กลบข่าว” การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เกือบมิด จนประชาชนแทบไม่ให้ความสนใจกับการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัครแต่ละคนเลย
ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญก็อาจจะเป็นเพราะว่า ชาวกรุงเทพฯ ต่างอาจจะคุ้นเคยกับการเมืองระดับท้องถิ่นนี้มายาวนาน ตลอดจนคุ้นเคยกับผู้สมัครที่มีชื่อเสียงและสร้างผลงานมาบ้างแล้ว แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า ชาวกรุงเทพฯ นั้นมีความตื่นตัว ความรู้ ความเข้าใจ ของการเมืองระดับท้องถิ่นมาหลายสิบปี จนอาจจะไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก
คำถามสำคัญที่แม้กระทั่ง “แสงแดด” เองก็ยังไม่ได้ติดตาม ตลอดจนรู้เลยว่า ผู้สมัครแต่ละคนนั้นมี “นโยบาย” อย่างไร ในการที่จะแก้ไขและพัฒนากรุงเทพฯ ได้ดีกว่าเดิม หรือแม้กระทั่งลองสนทนาพูดคุยกับบรรดาผู้คนโดยทั่วไป ต่างก็ตอบในทำนองเดียวกันว่า “ไม่รู้เลยว่ะ!”
เหตุผลสำคัญก็น่าจะเป็น 2-3 เหตุผลข้างต้น ที่ว่าการเมืองระดับชาติกลบข่าวการเมืองท้องถิ่นหมด หนึ่ง ล่ะ สอง ชาวกทม.ต่างเคยชินกับการเมืองท้องถิ่นระดับนี้มานานหลายปี จนไม่ค่อยตื่นเต้นอะไร สาม หลายๆ คนอาจจะมีใครอยู่ในใจแล้วที่จะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 5 ตุลาคมนี้ สี่ ผู้สมัครมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ชาวกรุงเทพฯ ให้ความสนใจ และ/หรือสังกัดพรรคไหนไปเรียบร้อยแล้ว และห้า ชาวกรุงเทพฯ น่าจะจำผู้สมัครได้ไม่เกิน 4-5 คนเท่านั้น เพราะผู้สมัครอิสระมักจะ “โนเนม-ไม่ดัง” หรือมีผู้สมัครบางคนออกอาการ “เพี้ยน-บ้า-ตัวตลก”
นานาสารพัด เหตุผลข้างต้นน่าจะเป็นกรอบชี้ชะตากำหนดผู้สมัครเอาไว้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญข้อนี้ กล่าวคือ หนึ่ง สังกัดพรรคการเมืองใด เนื่องด้วยระบบพรรคการเมืองจะมีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะ “พรรคประชาธิปัตย์” กับ “พรรคพลังประชาชน” ซึ่งก่อกำเนิดมาจาก “พรรคไทยรักไทย” เดิม โดยต่อยอดมาจาก “พรรคพลังธรรม” ในกรณีของระบบพรรคการเมืองนี้สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า สอง “ผลงาน” ของแต่ละคนที่สร้างกันมา
ดังนั้น “แสงแดด” ฟันธงได้เลยว่า “คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าฯ กทม.จากสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จะได้หวนคืนสู่เก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอีกคำรบหนึ่ง เหตุผลสำคัญที่กล้าฟันธงเช่นนั้นก็เพราะว่า การเป็นผู้ว่าฯ มายาวนานครบ 4 ปี ได้ทั้งสร้างและวางระบบตัวบุคคลไว้มากพอสมควร โดยเฉพาะบรรดาผู้อำนวยการเขตและข้าราชการทั้ง 50 เขต พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ พร้อมทีมได้จัดวาง ฝังรากคนของตนเองและพรรคมาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี และที่สำคัญ “ผลงาน” ที่ทำมา เมื่อเปรียบเทียบกับผู้สมัครคนอื่นๆ แล้ว แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว อดีตผู้ว่าฯ อภิรักษ์ ก็มิได้สร้างผลงานโดดเด่นใดๆ เลย แทบจะกล่าวหาซักหนึ่งผลงานก็ยังนึกไม่ออกเล๊ย!
ส่วนสำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็ต้องยอมรับว่า มีการจัดตั้งระบบพรรคเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ “กระแส” ของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพฯ นับว่าแน่นหนาพอสมควร
ผู้สมัครคนอื่นๆ ที่นับว่า “โดดเด่น” มากที่สุด เรียงตามลำดับแล้ว นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครหมายเลข 8 ก็อาจเป็น “ตัวเลือก” จนเป็น “ตัวเบียด-ตัวแทรก” ที่สำคัญในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด เนื่องด้วย “ความบ้าบอคอแตก” และ “ความขึงขัง” ที่คุณชูวิทย์พยายามสร้างภาพให้เป็นที่ปรากฏต่อสายตาและความรู้สึกของชาว กทม. จนหลายๆ คนบอกว่า “น่าลองชูวิทย์ เพราะบ้าดี!” ในกรณีจุดเด่นนี้ อาจทำให้คุณชูวิทย์คว้าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.ก็อาจจะเป็นได้
อีกหนึ่งคนที่ต้องไม่มองข้ามอย่างเด็ดขาดคือ คุณประภัสร์ จงสงวน จากพรรคพลังประชาชน ที่มีความพร้อมในกรณีระบบพรรคการเมืองเช่นเดียวกัน กอปรกับ คุณประภัสร์ เคยเป็นอดีตผู้ว่าการรถไฟฟ้ามหานครฯ (รฟม.) มายาวนานหลายปี สร้างผลงานเป็นที่พอใจสำหรับ “รถไฟฟ้าใต้ดิน” แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า “ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง” กับแกนนำพรรคไทยรักไทยเดิมที่ติดอยู่ “หมู่บ้าน 111”
อย่างไรก็ตาม คะแนนที่คุณประภัสร์ จงสงวน จากพรรคพลังประชาชนที่จะได้น่าจะหลัก 2 แสนกว่าๆ สืบเนื่องจากการที่มีผลสำรวจจากหลายสำนักโพล ที่คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ยังนำโด่งถึงร้อยละ 40 กว่า คุณประภัสร์ จงสงวน ยังเพียงแค่ร้อยละ 10 กว่าๆ สูสีกับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
อีกผู้สมัครที่น่าจะดูดี คือ “ดร.แดน” คุณเกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ผู้สมัครหมายเลข 2 ที่ต้องยอมรับว่าทั้ง “สโลแกน” และ “นโยบาย” ในการหาเสียงนั้น “มืออาชีพ” พร้อมทั้ง “โดน!” ต่อความต้องการของชาว กทม. แต่ผลสำรวจโพลล่าสุดคะแนนยังไม่ถึงระดับ 10 เปอร์เซ็นต์
นอกเหนือจากนั้น ก็อาจจะมีเพียง 2-3 คนเท่านั้น ที่เป็นเพียง “ตัวประกอบ” สร้างสีสันให้กับสนามเลือกตั้ง กทม. เหตุผลสำคัญทั้งๆ ที่รู้ว่าแพ้ตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว แต่ก็เพียง “อยากดัง” ยอมควักเงิน 2-3 ล้านบาท คงไม่ต้องบอกว่า “ใคร” เราก็รู้ดีว่า “เธอเพี้ยนสุดๆ!”
“แสงแดด” ดูจากภาพโปสเตอร์หาเสียงของผู้สมัครแล้วจะมี “2 หล่อ” อยู่สองคนคือ คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน และคุณประภัสร์ จงสงวน เท่านั้น ส่วนคุณชูวิทย์ ออกอาการ “กูจะแ—กมึง!” จนใครๆ เห็นต่างยิ้มที่มุมปากกันเป็นแถว ก็ต้องยอมรับว่าเป็น “กลยุทธ์การตลาด” ที่ทำให้ชาว กทม.จดจำตราตรึงใบหน้าความขึงขังในบุคลิกของคุณชูวิทย์ได้ ทั้งๆ ที่ว่ากันตามความจริงแล้ว คุณชูวิทย์ มิใช่ “คนดุร้าย” อะไรปานนั้น ออกจาก “ขี้เล่น” เท่านั้น แต่ “ข้อมูลลึกเพียบ!”
“ดร.แดน-แคนดู” คุณเกรียงศักดิ์ ดูภาพการถลกแขนเสื้อแสดงความพร้อมที่จะทำงาน น่าจะเป็นภาพที่น่าเชื่อถือและดีที่สุด ตลอดจนสร้างแกนและนโยบายโดนใจชาว กทม.ไม่มากก็น้อย แต่ก็น่าเสียดายว่าอาจได้คะแนนเพียงแค่หลักหมื่น
ทั้งนี้ อยากให้กำลังใจ “ดร.แดน” ให้เดินงานการเมืองต่อไป เพราะยังไงๆ “การเมืองใหม่” ต้องกำเนิดขึ้นอย่างแน่นอนกับ “สังคมการเมืองไทย” ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า เพราะกระบวนการขั้นตอนและเหตุการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้เป็น “วิวัฒนาการทางการเมืองไทย” ที่จะต้องไต่ถึงจุดพัฒนาในที่สุด ดังนั้น “ดร.แดน” ได้โปรด “อย่าเลิก-อย่าท้อ” เด็ดขาด!
การเลือกตั้งสำหรับสนามกรุงเทพฯ ในครั้งนี้ น่าจะส่งสัญญาณสำคัญสำหรับการเมืองในกรุงเทพฯ และระดับชาติในอนาคต ว่าประชาชนคิดอย่างไรกับความวุ่นวายปัญหาทางการเมืองในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา
แต่คงไม่สำคัญเท่ากับว่า “ชาวกรุงเทพฯ” ต้องตัดสินใจบนหลักการของ “ผลงาน-ความซื่อสัตย์-สุจริต” และ “ความตั้งใจจริง” ในการสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ต่อไป ด้วย “ความเขียว-ความสะอาด” ตลอดจน “ระบบการศึกษา” และ “การจราจร” เพื่อให้มีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขปัญหา “สภาวะโลกร้อน” และแน่นอน “ระบบการขนส่งมวลชน” ทั้งระบบรางและระบบรถ
ใครก็ตามที่คว้าตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องสร้างผลงานที่โดดเด่น เป็นที่จดจำของชาว กทม. มิใช่ “เช้าชามเย็นชาม!”