กกต.กทม.รับผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.สามารถหาเสียงโจมตีคู่แข่งได้ แต่ต้องเป็นเรื่องจริง พร้อมตรวจสอบ หากผู้สมัครที่ได้รับผลกระทบร้องเรียนมา ด้าน ปชป.โวย “ชูวิทย์” ดึงเรื่องทุจริตรถ-เรือดับเพลิงมาเล่น กระทบคะแนนนิยม “อภิรักษ์” เล็งเอาเรื่องถึงที่สุด
นายพิงค์ รุ่งสมัย ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ปธ.กกต.กทม.) กล่าวถึงวิธีการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ปัจจุบันผู้สมัครบางคนได้ใช้วิธีการขึ้นป้ายหาเสียง การแถลงข่าวพาดพิง โจมตี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.รายอื่น ว่า ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น มาตรา 57 ที่กล่าวถึงวิธีการหรือลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นโดยวิธีการตาม ข้อ 5 ด้วยการหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในเรื่องใดอันเกี่ยวกับผู้สมัครใด ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ
การที่มีผู้สมัคร เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครหมายเลข 8 และ นางลีนา จังจรรจา ผู้สมัครหมายเลข 7 ใช้วิธีหาเสียงโดยการยกผลงานด้านนโยบายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครหมายเลข 5 พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ว่าฯ กทม.ที่ไม่สำเร็จเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงมาบอกเล่ากับประชาชนในทำนองที่หลายฝ่ายมอง ว่า เหมือนว่าเป็นการโจมตี ตามความเห็นส่วนตัวมองว่าสามารถทำได้ ตราบใดที่การบอกเล่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นข้อเท็จจริง และบุคคลที่ถูกพาดพิงไม่ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนมายัง กกต.กทม.ให้ตรวจสอบ ด้วยเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยม เป็นต้น
นายพิงค์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่า กกต.กทม.จะมีอำนาจในการพิจารณา ตรวจสอบ เรื่องผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่หากผู้สมัครที่ได้รับผลกระทบไม่ยื่นเรื่องร้องเรียนมา กกต.กทม.คงไปดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ไม่ได้ เพราะถือว่าผู้สมัครไม่เดือดร้อน ไม่ได้รับผลกระทบ และยอมรับว่า ในเรื่องที่ผู้สมัครหาเสียงด้วยวิธีการโจมตีนั้นเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม การยื่นเรื่องร้องเรียนของผู้สมัครที่ได้รับการพาดพิงนั้นสามารถยื่นเรื่องได้ตั้งแต่วันที่ได้รับการพาดพิง โจมตี หรือหลังจากที่มีการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว 30 วัน
ด้าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอเรียกร้องไปยัง กกต.กทม.ให้เร่งตรวจสอบป้ายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของ นายชูวิทย์ ที่มีการขึ้นป้ายหาเสียงโดยนำเรื่องโครงการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิง กทม.ที่พบว่า มีการทุจริต และขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาโจมตีนายอภิรักษ์ เนื่องจากตนเป็นห่วงในส่วนของประชาชนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดความสับสน เข้าใจผิด และส่งผลกระทบไปต่อคะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อนายอภิรักษ์ ได้ ทั้งนี้ ทางคณะทำงานของนายอภิรักษ์จะจับตาดูการหาเสียงของ นายชูวิทย์ ในช่วงสัปดาห์นี้ ว่า จะเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกนายอภิรักษ์ ให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ หากมี นายชูวิทย์ ต้องรับผิดชอบในวิธีและคำพูดที่ใช้หาเสียง และอาจจะถึงขั้นที่พรรคประชาธิปัตย์จะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“คุณชูวิทย์ ควรที่จะหาเสียงด้วยวิธีการสมานฉันท์อย่างที่เคยได้ลงนามปฏิญาณต่อหน้าสาธารณชนไปแล้ว ด้วยการประกาศตัวนโยบายที่จะนำมาพัฒนาเมือง กทม.เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจในนโยบายมากกว่าที่จะหาเสียงด้วยวิธีการการเมืองแบบเก่า โจมตี ใส่ร้ายคู่แข่ง ซึ่งมันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้กับคน กทม.เลย” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
นายพิงค์ รุ่งสมัย ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ปธ.กกต.กทม.) กล่าวถึงวิธีการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ปัจจุบันผู้สมัครบางคนได้ใช้วิธีการขึ้นป้ายหาเสียง การแถลงข่าวพาดพิง โจมตี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.รายอื่น ว่า ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น มาตรา 57 ที่กล่าวถึงวิธีการหรือลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นโดยวิธีการตาม ข้อ 5 ด้วยการหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้าย หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในเรื่องใดอันเกี่ยวกับผู้สมัครใด ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ
การที่มีผู้สมัคร เช่น นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ผู้สมัครหมายเลข 8 และ นางลีนา จังจรรจา ผู้สมัครหมายเลข 7 ใช้วิธีหาเสียงโดยการยกผลงานด้านนโยบายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครหมายเลข 5 พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ว่าฯ กทม.ที่ไม่สำเร็จเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงมาบอกเล่ากับประชาชนในทำนองที่หลายฝ่ายมอง ว่า เหมือนว่าเป็นการโจมตี ตามความเห็นส่วนตัวมองว่าสามารถทำได้ ตราบใดที่การบอกเล่าเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นข้อเท็จจริง และบุคคลที่ถูกพาดพิงไม่ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนมายัง กกต.กทม.ให้ตรวจสอบ ด้วยเหตุผลอย่างหนึ่งอย่างใด เช่น ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยม เป็นต้น
นายพิงค์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่า กกต.กทม.จะมีอำนาจในการพิจารณา ตรวจสอบ เรื่องผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่หากผู้สมัครที่ได้รับผลกระทบไม่ยื่นเรื่องร้องเรียนมา กกต.กทม.คงไปดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ไม่ได้ เพราะถือว่าผู้สมัครไม่เดือดร้อน ไม่ได้รับผลกระทบ และยอมรับว่า ในเรื่องที่ผู้สมัครหาเสียงด้วยวิธีการโจมตีนั้นเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม การยื่นเรื่องร้องเรียนของผู้สมัครที่ได้รับการพาดพิงนั้นสามารถยื่นเรื่องได้ตั้งแต่วันที่ได้รับการพาดพิง โจมตี หรือหลังจากที่มีการประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว 30 วัน
ด้าน นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ คณะทำงานด้านยุทธศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอเรียกร้องไปยัง กกต.กทม.ให้เร่งตรวจสอบป้ายรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของ นายชูวิทย์ ที่มีการขึ้นป้ายหาเสียงโดยนำเรื่องโครงการจัดซื้อรถ เรือดับเพลิง กทม.ที่พบว่า มีการทุจริต และขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาโจมตีนายอภิรักษ์ เนื่องจากตนเป็นห่วงในส่วนของประชาชนที่ไม่ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดความสับสน เข้าใจผิด และส่งผลกระทบไปต่อคะแนนนิยมของประชาชนที่มีต่อนายอภิรักษ์ ได้ ทั้งนี้ ทางคณะทำงานของนายอภิรักษ์จะจับตาดูการหาเสียงของ นายชูวิทย์ ในช่วงสัปดาห์นี้ ว่า จะเข้าข่ายทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของประชาชนในการเลือกนายอภิรักษ์ ให้เป็นผู้ว่าฯ กทม.หรือไม่ หากมี นายชูวิทย์ ต้องรับผิดชอบในวิธีและคำพูดที่ใช้หาเสียง และอาจจะถึงขั้นที่พรรคประชาธิปัตย์จะนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“คุณชูวิทย์ ควรที่จะหาเสียงด้วยวิธีการสมานฉันท์อย่างที่เคยได้ลงนามปฏิญาณต่อหน้าสาธารณชนไปแล้ว ด้วยการประกาศตัวนโยบายที่จะนำมาพัฒนาเมือง กทม.เพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจในนโยบายมากกว่าที่จะหาเสียงด้วยวิธีการการเมืองแบบเก่า โจมตี ใส่ร้ายคู่แข่ง ซึ่งมันไม่ได้ก่อประโยชน์อะไรให้กับคน กทม.เลย” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
