xs
xsm
sm
md
lg

เตือนปีหน้ากระทบรุนแรง สิ้นหวังรัฐฟื้นความเชื่อมั่น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน- “จักรมณฑ์” เตือนรับมือวิกฤตรุนแรงปีหน้า ส่งออก ลงทุนหด จีดีพีไปได้แค่ 5% ระบุรัฐบาลต้องเฟ้นหามือดีเศรษฐกิจฟื้นความเชื่อมั่นหลังตั้งชุดปัจจุบันต่างพรรคทำงานไร้เอกภาพ ขณะที่สภาอุตฯ ห่วงกำลังซื้อในประเทศชะลอ ด้านผู้บริหาร ซี.พี.เผยภาคส่งออกลดบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจหวังการลงทุนภาครัฐเป็นตัวหลักแทนภาคเอกชน

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงผลกระทบวิกฤติการเงินสหรัฐอเมริกาว่า ไม่ว่าผลการแก้ไขปัญหาของสหรัฐฯจะออกมาในรูปแบบใดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอนและผลจะชัดเจนขึ้นในปี 2552 เนื่องจากกำลังซื้อสหรัฐฯจะหดตัวดังนั้นจะกระทบกับการส่งออกของไทยที่ลดลงทั้งจากการส่งออกทางตรงคือการส่งออกไปสหรัฐฯและทางอ้อมคือการส่งออกชิ้นส่วนไปยังประเทศอื่นๆเพื่อผลิตแล้วส่งไปยังสหรัฐฯอีกทอดหนึ่ง นอกจากนี้ยังจะกระทบกับภาวะการลงทุนเพราะเม็ดเงินจะถูกดูดกลับภาพรวมการลงทุนในประเทศจะชะลอตัวลง
“วิกฤติการเงินครั้งนี้อาจจะลากยาวไป 2-3 ปีแต่โชคดีที่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งเพราะเราโตจากภาคการผลิตที่แท้จริงไม่ได้โตแบบการเก็งกำไรและผ่านบทเรียนวิกฤติปี 40 มาแล้วมองภาพรวมปีหน้าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพียังโตได้ 5% ถือว่าไม่ได้เลวร้ายแต่ที่น่าห่วงคือเศรษฐกิจไทยต้องพึ่งเสถียรภาพการเมืองซึ่งหากมองแล้วคดียุบพรรคอาจนำมาซึ่งการยุบสภาฯแล้วเลือกตั้งใหม่ซึ่งจำเป็นต้องมีการสรรหาทีมเศรษฐกิจที่จะมาบริหารได้ดีเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเพราะอารมณ์คนไทยเวลานี้เบื่อการเมืองทำให้ไม่เกิดการจับจ่ายใช้สอย”นายจักรมณฑ์กล่าว

***ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลไร้เอกภาพ
สำหรับการเมืองปัจจุบันการบริหารด้านเศรษฐกิจมาจากต่างพรรคไม่มีเอกภาพ การทำงานจึงยากในการประสานงานและให้นโยบายไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถือเป็นจุดอันตรายที่จะมีผลให้การลงทุนชะลอยาวได้ แม้ว่านายโอฬาร ไชยประวัติ จะมานั่งรองนายกรัฐมนตรีดูแลเศรษฐกิจแต่อาจจะประสานได้เพียงแค่กระทรวงการคลังเท่านั้น
ซึ่งวิกฤติการเงินสหรัฐฯจำเป็นที่การเมืองต้องมีเสถียรภาพแต่การเมืองไทยแปลกตรงที่รัฐบาลไม่มีที่ทำงานเพราะโดนยึดทำเนียบ แถมผู้ตั้งรัฐบาลมีคดีที่ฟ้องร้องอยู่ในศาลซึ่งไม่มีที่ใดในโลกเป็นเช่นนี้ ขณะเดียวกันต้องสร้างความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงกับการเมืองซึ่งเห็นว่ารัฐบาลเน้นการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจทั้งที่สามารถแยกการเมืองออกจากเศรษฐกิจได้

***เตือนรับมือตลาดหด-แข่งขันรุนแรง
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤติการเมืองสหรัฐฯจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกซึ่งคงต้องติดตามว่าจะออกมารูปแบบใดแม้ว่า รัฐสภาสหรัฐไม่ผ่านแผนกู้วิกฤติการเงินมูลค่า 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯก็คาดว่าจะมีการเสนออีกรอบหรือไม่ก็อาจรอการเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่แต่เชื่อว่าปัญหาเหล่านี้ยังมีอยู่ ดังนั้นย่อมกระทบกับการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยและไทยจะได้รับผลพวงในแง่ของการส่งออกทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ลดลงชัดเจน และผลดังกล่าวจะทำให้การแข่งขันการส่งออกรุนแรงมากขึ้น
“ปีหน้าเอกชนต้องทำงานหนักเพราะหากพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯก็ต้องหาตลาดใหม่เพิ่มและจะเกิดการแข่งขันรุนแรงเพราะจีนส่งออกไปสหรัฐฯไม่ใช่น้อย ประกอบกับช่วงโอลิมปิกหมดแล้วจีนย่อมต้องการตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ในประเทศเองก็จะเหนื่อยด้วยเพราะแรงซื้อก็จะลดลงตามเพราะหากตลาดหุ้นซบเซาก็มีผล และสำคัญคือหากปัญหาการเมืองไม่จบก็จะทำให้แรงซื้อชะลอตัวต่ออีก”นายสันติกล่าว

***ลดเป้าจีดีพีอุตฯโตไม่เกิน7%
นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์อาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในที่สุด ซึ่ง สศอ. ประมาณการของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรมปี 2551 คาดว่าจะมากกว่า 7% แต่เมื่อดูปัจจัยต่างๆ แล้วคาดว่าจะขยายตัวไม่เกิน 7% เท่านั้น

******ซี.พีชี้ส่งออกไทยปีหน้าหด 10%
นายอาชว์ เตาลานนท์ รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ตามที่สภาสหรัฐปฎิเสธแผนกู้วิกฤติสถาบันการเงินของสหรัฐ 7 แสนล้านดอลลาร์ ได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลง และราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเหลือ 96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ซึ่งวิกฤตการณ์การเงินไม่เพียงแต่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงเท่านั้น แต่ได้ลามไปถึงสหภาพยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ฯเช่นกัน
ผลกระทบจากวิกฤติการเงินสหรัฐฯแม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบทางตรงต่อไทย แต่จะส่งผลกระทบทางอ้อม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลง จะทำให้ประเทศที่ส่งสินค้าไปขายสหรัฐฯได้รับกระทบตามมา ซึ่งได้แก่ จีนและอินเดียที่มีการส่งออกไปสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก ขณะที่ไทยส่งออกไปตลาดสหรัฐไม่ถึง 20%ของมูลค่าการส่งออก ดังนั้นเชื่อว่าปีหน้าการส่งออกของไทยจะไม่สดใสเหมือนปีนี้ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น อัญมณี ขณะที่การส่งออกอาหารจะได้รับผลกระทบน้อย
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำอย่างเร่งด่วนและต้องทำควบคู่กันไป คือปัญหาการเมืองที่ต้องเร่งสร้างความสมานฉันท์ สามัคคี ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจ รัฐต้องเร่งลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์อย่างจริงจัง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีเงินไหลเวียนอยู่ในระบบมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องหาแนวทางกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ เพื่อทดแทนการส่งออกที่จะลดลง รวมทั้งหามาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน โดยเร่งสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน โดยทำให้ปัญหาการเมืองสงบเรียบร้อย
"ผมคิดว่าวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ส่งผลทำให้เกิดภาวะเงินตึงตัวทั่วโลก รวมทั้งไทย การจัดหาสินเชื่อทำได้ยากขึ้น ดังนั้นแบงก์ชาติน่าจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง จากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงอยู่ที่ 3.75% และรัฐต้องเร่งเบิกจ่ายนำเงินมาช่วยเหลือคนด้อยโอกาส หรือธุรกิจขนาดกลางและย่อม โดยจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง ให้ธุรกิจอยู่รอดได้ รวมทั้งดูแลเรื่องต่างชาติถอนเงินทุนออกไปด้วย "
นายอาชว์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหาวิกฤตวิกฤติการเงินทั่วโลกคงไม่ยุติโดยเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง 2-3 ปี ส่งผลให้อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลง โดยปีนี้คาดว่าจีดีพีของไทยอยู่ที่ 5% แต่ปีหน้าจีดีพีจะอยู่ที่ 4-4.5% ส่วนเศรษฐกิจไทยจะซึมยาวแค่ไหน คงต้องรอดูนโยบายรัฐว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรออกมา รวมทั้งการแก้ปัญหาการเมืองที่ต้องทำควบคู่กันไป ซึ่งอายุของรัฐบาลชุดนี้ก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน เพราะมีปัจจัยลบ เช่น คดียุบพรรค เป็นต้น
สำหรับการส่งออกของเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี)คิดว่าไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นการส่งออกสินค้าอาหาร ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นต้องการดำรงชีพ และมีการหาตลาดส่งออกใหม่ๆอยู่เสมอ ขณะที่ตลาดสหรัฐฯเองนั้น ซีพีได้มีการสร้างเครือข่ายค่อนข้างแข็งแรง โดยการลงทุนมานานนับสิบปี

*** ส่งออกปีหน้าหด 10%
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เขตประเทศไทย เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ส่งผลให้ปีหน้าการส่งออกไทยจะลดลงประมาณ 10% จากมูลค่าการส่งออกรวม 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ/เดือน ดังนั้นการส่งออกจะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอีกต่อไป แต่ตัวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย คือ การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งรัฐจำเป็นต้องมีการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ และโครงสร้างพื้นฐาน
ขณะที่การส่งออกหดตัวลง ภาคธุรกิจเองก็ควรหันไปปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพรองรับตลาดฟื้นตัวในอนาคต หลังจากที่ผ่านมาภาคธุรกิจละเลยการปรับปรุงโดยเฉพาะกลุ่มอาหาร ที่ปัจจุบันมีอยู่ 1,000 โรง แต่ผ่านมาตรฐานสากลเพียง 200-300 โรงเท่านั้น โดยภาครัฐต้องให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่อุตสาหกรรมเหล่านี้เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต เชื่อว่าปัญหาวิกฤติการเงินโลกครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง 2ปี ส่งผลให้การส่งออกไทยจะกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในปี 2554 ขณะที่ปัจจัยอีกตัวหนึ่ง คือน้ำมัน ซึ่งจะเป็นตัวกดดันตลาดว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอีกหรือไม่
"จากวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อไทยทั้งภาคการผลิตและตลาดส่งออก โดยคาดว่าการส่งออกจะลดลง 10%ดังนั้นผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าส่งออกไปสหรัฐต้องระมัดระวัง ขณะเดียวกันตลาดส่งออกไปสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีนก็น่าจะหดตัวเช่นกันคิดเป็น 60%ของตลาดส่งออก ดังนั้นในปีหน้า การส่งออกจะไม่ใช่ตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของไทย ดังนั้นรัฐต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าแบงก์ชาติคงไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เนื่องจากกังวลปัญหาเงินเฟื้อเป็นสำคัญ "

***ปีหน้าการบริโภคของปชช.ไม่เพิ่ม
นายมนตรี คงตระกูลเทียน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วม กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า ในปีนี้เกษตรกรได้มีการขยายพื้นที่ในการปลูกข้าวโพด และมันสำปะหลังเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 5.5 ล้านไร่เป็น 6 ล้านไร่ และ6 ล้านไร่เป็น 7 ล้านไร่ ทั้งนี้ยอมรับว่าปีหน้าการบริโภคของประชาชนคงไม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนขาดความเชื่อมั่น ทำให้ลดการบริโภคลง
นายสารสิน วีระผล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า วิกฤตการณ์ทางการเงินโลกขณะนี้ นโยบายเร่งด่วนที่ภาครัฐควรดำเนินการทางการเมืองและการเงินควบคู่กัน ทบทวนยุทธศาสตร์ และแสดงความกระตือรือร้นในการรับมือ โดยภาคการเงินธนาคารแห่งประเทศควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยรองรับกับวิกฤตในครั้งนี้ และมองว่าภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ไม่ได้เป็นปัจจัยที่น่าเป็นห่วง ส่วนด้านการส่งออกไทยต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะการเติบโตของจีดีพีประเทศไทยพึ่งการส่งออก 60%
กำลังโหลดความคิดเห็น