ผู้จัดการรายวัน-“ไชยา”ชงครม.วันนี้ แต่งตั้งคณะกรรมการระบายข้าวชุดพิเศษ หวังเร่งระบายสต๊อกและเตรียมเงินไว้สำหรับการรับจำนำข้าวนาปีที่จะเริ่ม 16 ต.ค. หลังประเมินแล้วต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1.2 แสนล้านบาท พร้อมขอรับโอนงานดูแลข้าวอย่างเป็นทางการคืนพาณิชย์ และปลดแบนโรงสี
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (30 ก.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ซึ่งมีข้าวเก่า 2.1 ล้านตันข้าวสาร และข้าวใหม่จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังอีกประมาณ 4.5 ล้านตันข้าวเปลือก เพราะต้องเร่งระบายออกไปเร็วที่สุด หากไม่ระบายก่อนที่ข้าวเปลือกนาปีจะทยอยออกมา อาจทำให้ไม่มีพื้นที่เก็บข้าว และเป็นอุปสรรคต่อการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาล 2551/52 ที่จะเริ่มรับจำนำตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.นี้ได้
“จะต้องเร่งระบายข้าวให้เร็วที่สุด โดยหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร์ในวันที่ 8 ต.ค.นี้แล้ว กระทรวงพาณิชย์จะเริ่มประกาศระบายข้าว เพื่อการส่งออกทั้งหมด เบื้องตันราคาขายต้องไม่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำไว้ โดยข้าวเก่ารับจำนำตันละ 7,000 บาท ข้าวใหม่รับจำนำ 14,000 บาท ซึ่งจะไม่กระทบต่อราคาตลาดข้าวในปัจจุบัน” นายไชยากล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมครม.อย่างไม่เป็นทางการเมื่อสัปดาห์ก่อน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นด้วยจะให้เร่งระบายข้าว โดยให้ระบายข้าวในสต๊อกเก่าออกไปต่างประเทศก่อน เพื่อหาเงินเป็นทุนในการเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2551/52 เพราะขณะนี้ กระทรวงการคลังเป็นห่วงจำนวนเงินที่จะนำมาใช้เปิดรับจำนำ ที่กำหนดรับจำนำ 8 ล้านตันข้าวเปลือก ซึ่งต้องใช้เงินมากถึง 120,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ จะเสนอครม.อย่างเป็นทางการโอนการดูแลข้าวทั้งระบบให้กระทรวงพาณิชย์แทนกระทรวงการคลัง และเสนอให้ปลดโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยเน้นโรงสีไม่มีโทษหนัก และไม่มีเจตนาโกงรัฐ เพื่อให้มีจำนวนโรงสีเพียงพอกับการรับจำนำข้าวนาปี และเสนอครม.ให้ผ่อนปรนการคิดอัตราดอกเบี้ยค่าปรับกรณีการทำผิดสัญญาของโรงสีให้เท่ากับกฎหมายแพ่งทั่วไป แทนการปรับ 0.02% ต่อวัน และจะสั่งตรวจสอบสต๊อกข้าวเปลือกนาปรัง 2551 ทั้งปริมาณและคุณภาพก่อนรับมอบจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
รายงานข่าวแจ้งว่า แม้คณะกรรมการบริหารจัดการข้าวครบวงจร ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะหมดวาระลงแล้ว แต่คณะกรรมการข้าวอีก 3 ชุดคือ คณะกรรมการรับจำนำข้าว คณะกรรมการสีแปรสภาพ และคณะกรรมการระบาย ยังไม่หมดวาระตาม เพราะได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งนายไชยาตั้งใจจะเสนอให้ที่ประชุมกขช.ยกเลิกการทำงานของทั้ง 3 คณะกรรมการ หลังจากที่ครม.ชุดนายสมชาย คืนการบริหารจัดการข้าวให้กระทรวงพาณิชย์ดูแล แต่กขช.ยังไม่สามารถประชุมได้ในเร็วๆ นี้ เพราะต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน ส่งผลให้นายไชยาต้องเร่งเสนอครม..วันที่ 30 ก.ย.นี้ แต่งตั้งคณะกรรมการระบายข้าวชุดพิเศษ เพื่อเร่งการระบายข้าวในสต๊อกรัฐ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้สต๊อกว่าง และมีเงินเพียงพอสำการจำนำข้าวโครงการใหม่ ที่จะเริ่มวันที่ 16 ต.ค.นี้
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (30 ก.ย.) กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาขายข้าวในสต๊อกรัฐบาล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการระบายข้าวสารสต๊อกรัฐบาล ซึ่งมีข้าวเก่า 2.1 ล้านตันข้าวสาร และข้าวใหม่จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังอีกประมาณ 4.5 ล้านตันข้าวเปลือก เพราะต้องเร่งระบายออกไปเร็วที่สุด หากไม่ระบายก่อนที่ข้าวเปลือกนาปีจะทยอยออกมา อาจทำให้ไม่มีพื้นที่เก็บข้าว และเป็นอุปสรรคต่อการเปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาล 2551/52 ที่จะเริ่มรับจำนำตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.นี้ได้
“จะต้องเร่งระบายข้าวให้เร็วที่สุด โดยหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร์ในวันที่ 8 ต.ค.นี้แล้ว กระทรวงพาณิชย์จะเริ่มประกาศระบายข้าว เพื่อการส่งออกทั้งหมด เบื้องตันราคาขายต้องไม่ต่ำกว่าราคาที่รับจำนำไว้ โดยข้าวเก่ารับจำนำตันละ 7,000 บาท ข้าวใหม่รับจำนำ 14,000 บาท ซึ่งจะไม่กระทบต่อราคาตลาดข้าวในปัจจุบัน” นายไชยากล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมครม.อย่างไม่เป็นทางการเมื่อสัปดาห์ก่อน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นด้วยจะให้เร่งระบายข้าว โดยให้ระบายข้าวในสต๊อกเก่าออกไปต่างประเทศก่อน เพื่อหาเงินเป็นทุนในการเปิดโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2551/52 เพราะขณะนี้ กระทรวงการคลังเป็นห่วงจำนวนเงินที่จะนำมาใช้เปิดรับจำนำ ที่กำหนดรับจำนำ 8 ล้านตันข้าวเปลือก ซึ่งต้องใช้เงินมากถึง 120,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ จะเสนอครม.อย่างเป็นทางการโอนการดูแลข้าวทั้งระบบให้กระทรวงพาณิชย์แทนกระทรวงการคลัง และเสนอให้ปลดโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำ (แบล็กลิสต์) กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยเน้นโรงสีไม่มีโทษหนัก และไม่มีเจตนาโกงรัฐ เพื่อให้มีจำนวนโรงสีเพียงพอกับการรับจำนำข้าวนาปี และเสนอครม.ให้ผ่อนปรนการคิดอัตราดอกเบี้ยค่าปรับกรณีการทำผิดสัญญาของโรงสีให้เท่ากับกฎหมายแพ่งทั่วไป แทนการปรับ 0.02% ต่อวัน และจะสั่งตรวจสอบสต๊อกข้าวเปลือกนาปรัง 2551 ทั้งปริมาณและคุณภาพก่อนรับมอบจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
รายงานข่าวแจ้งว่า แม้คณะกรรมการบริหารจัดการข้าวครบวงจร ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จะหมดวาระลงแล้ว แต่คณะกรรมการข้าวอีก 3 ชุดคือ คณะกรรมการรับจำนำข้าว คณะกรรมการสีแปรสภาพ และคณะกรรมการระบาย ยังไม่หมดวาระตาม เพราะได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งนายไชยาตั้งใจจะเสนอให้ที่ประชุมกขช.ยกเลิกการทำงานของทั้ง 3 คณะกรรมการ หลังจากที่ครม.ชุดนายสมชาย คืนการบริหารจัดการข้าวให้กระทรวงพาณิชย์ดูแล แต่กขช.ยังไม่สามารถประชุมได้ในเร็วๆ นี้ เพราะต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก่อน ส่งผลให้นายไชยาต้องเร่งเสนอครม..วันที่ 30 ก.ย.นี้ แต่งตั้งคณะกรรมการระบายข้าวชุดพิเศษ เพื่อเร่งการระบายข้าวในสต๊อกรัฐ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้สต๊อกว่าง และมีเงินเพียงพอสำการจำนำข้าวโครงการใหม่ ที่จะเริ่มวันที่ 16 ต.ค.นี้