00 ปรากฏการณ์ที่ชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่ และแสดงท่าทีต่อต้านผู้นำ “หุ่นเชิด” คนใหม่ของระบอบทักษิณอันสามานย์ ถือว่าเกิดขึ้นอย่างเข้มข้นทุกขณะ หลายพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่บ้านเกิด ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสังคมที่ลุกขึ้นสู้ทำนอง “กูไม่ยอมทนนักการเมืองชั่ว” อีกต่อไป และยังเชื่อว่า เหตุการณ์ในทำนองนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเหมือนไฟลามทุ่ง ตราบใดที่ไม่สำนึก ยังคิดว่าคนไม่รู้เท่าทัน
00 นาทีนี้บอกได้คำเดียวว่า คนอย่าง “น้องเขย” จะต้องพบกับ “กรรมเก่า” ที่ก่อขึ้นมา และจะสร้างความทุกข์ร้อนให้กับตัวเองและครอบครัวไม่จบสิ้น ที่เห็นชัดแบบติดจรวดก็คือ หลักฐานแจ้งทรัพย์สินส่ออันเป็นเท็จ การถือหุ้นในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟฯ ที่มีสัมปทานกับรัฐมากมาย คนในวงการรู้จักกันดี และถ้าพิจารณาจากเอกสารที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.เอาไว้เมื่อครั้งเริ่มเป็น ส.ส.สัดส่วนและเปรียบเทียบในช่วงที่เป็นรองนายกฯ และรมว.ศึกษาธิการ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรมาดลใจจนไม่รอบคอบเผลอเรอจน “มัดคอ” ตัวเองดิ้นไม่หลุด
00 ไม่รู้ว่าจะต้อง “ตายน้ำตื้น” เสียเชิงอดีตตุลาการผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหรือเปล่า รู้แต่ว่าเป็นฝีมือ “เรืองไกร” เจ้าเก่าอีกครั้งครับพี่น้อง ดังนั้นค่อนข้างเชื่อมือได้เกินครึ่ง เพราะถ้าพิจารณาจากที่มาที่ไป ตัวเลขการถือหุ้น มีรายได้จากเงินปันผลจากบริษัทดังกล่าวเห็นตำตา แม้จำนวนน้อยนิดแค่ 2 หมื่นบาท แต่ก็ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 ที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองถือหุ้นและมีผลประโยชน์ในกิจการสื่อ กิจการโทรคมนาคม ส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของต้องสิ้นสุดลงทันที
00 ขณะเดียวกันยังโยงไปถึงความผิดของ ลูกสาวคนโปรดอย่าง “ชินณิชา” นักการเมืองหน้าใหม่หมาดๆ ยื่นแสดงทรัพย์สินระบุว่าได้ลงทุนในบริษัท “เอ็มลิ้งค์” จำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าตอนนั้น 128 ล้านบาท มองผิวเผินอาจไม่มีปัญหา แต่บังเอิญว่าบริษัทดังกล่าวดันไปเป็นคู่สัญญากับ กฟภ.เสียอีก ทำให้ติดบ่วงกรรมอาจต้องพ้นสภาพจาก ส.ส. เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ไปอีกราย
00 นี่ยังไม่นับเรื่องข้อกล่าวหาใช้คอนเนกชั่นเก่าๆ สมัยอยู่กระทรวง “ตาชั่ง” วิ่งเต้น “ติดสินบนตุลาการ” ช่วยเหลือ “พี่เมีย” ให้รอดพ้นคดี “ซุกหุ้น” เมื่อปี 2544 และความแตกเมื่อมีตุลาการรัฐธรรมนูญคนหนึ่งออกมายอมรับเอาไว้เป็นหลักฐานเสียอีก และกำลังมีผู้แจ้งความดำเนินคดีเอาเข้าคุกในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้า
00 ยัง แค่นั้นยังไม่พอยัง มีเรื่องอื้อฉาวทุจริตในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นประมูลจ้างเหมาหาบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มวงเงินเป็น 5.4 พันล้านบาท หรือกรณีเป็นรองประธานบอร์ดทอท. ถูกกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับร้านค้าปลอดอากรอย่างน่าเกลียด ซึ่งสองกรณีหลัง ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการตรวจสอบแล้ว
00 นี่ไม่นับกรณีอื้อฉาวสินบน “ขนม 2 ล้าน” สินบนยุบพรรคไทยรักไทยที่เพื่อน “นิติ09” เป็นคนวิ่งเต้น และถูกแฉโพยตัวตนออกมายุบยับไปหมด สารพัดคดีดังกล่าวล้วนโยงใยไปถึงน้องเขยตัวดีคนนี้ทั้งหมด รอแต่ว่าผลสรุปจะออกมาช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่แว่วๆ มาว่าขบวนการ “ยื้อ” เริ่มทำงานกันอย่างหนัก แต่ก็ให้ระวังไว้หน่อย ดีไม่ดีอาจจะโดนข้อหา “ติดสินบน” เพิ่มขึ้นมาอีกดอกก็ได้นะท่าน แต่เชื่อเถอะไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกอย่างล้วนถือเป็นกรรมเก่า และผลแห่งกรรมก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเรื่อยๆ จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเช่นนั้นแล !!
00 วันนี้ขอนอกเรื่องสักหน่อย เมื่อรู้สึกอยากตบปากพวกที่ชอบอ้างว่า ตัวเองเป็น “นักวิชาการ” แต่หารู้ไม่ว่าความรู้ในทางสังคมแค่ “หางอึ่ง” และน่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ บางคนเป็นถึงระดับศาสตราจารย์ จบด็อกเตอร์ แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อสำรอกออกมาคนก็เห็นลิ้นไก่ ยิ่งพูดคนยิ่งเห็นธาตุแท้ว่าคนประเภทนี้อย่างดีก็เป็นได้แค่ “รับงาน” มาปลุกระดม ด่าอีกฝ่ายเพื่อหวังผลบางอย่างเท่านั้น ชอบอวดอ้าง อวดภูมิว่าตัวเองมีความรอบรู้ทางการเมือง ทั้งที่มีแค่ “หางอึ่ง” ไม่เคยออกมาสัมผัสกับโลกความจริงว่ามันมันก้าวกระโดดไปไกลลิบแล้ว
00 หลายคนอดรนทนไม่ได้ และรำคาญกับความคิดประชาธิปไตยแบบ “ขี้เท่อ” ของม้าใช้ระดับโนเนมปลายแถวอย่าง “เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์” ที่ร้อยวันพันปีแทบไม่เคยแสดงความเห็นในทางสาธารณะ แต่กลับฉวยโอกาสในช่วงที่ได้รับค่าจ้างมาเป็นวิทยากร อบรมสัมมนาหลักสูตร “การพัฒนาองค์กรสู่ความสำเร็จ” ให้กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) ในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านนนทบุรีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ใช้เวลาเกือบทั้งหมด “เพ้อเจ้อ” นอกเรื่อง ชู “ระบอบทักษิณ” สุดลิ่ม
00 ยอมรับระบอบการเมืองอันสามานย์ว่า ดีเลิศ ยอมรับว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวคือกุญแจสู่ทางสวรรค์นำไปสู่แสงสว่างทุกสิ่ง โดยหลับตาไม่ดูที่มาไปที่ไป หรือเนื้อหาสาระ ไม่พูดว่า การเลือกตั้งที่มีเบื้องหลังทุจริต หรือไม่ลืมหูลืมตาพิจารณาดูว่า พวกนักเลือกตั้งเหล่านี้ทำลายชาติ ขายชาติ ขายอธิปไตย กระทำผิดกฎหมายอย่างไรบ้าง หรือพรรคพลังประชาชน กำลังถูกยุบพรรคเพราะทุจริตซื้อเสียง ตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ก็มีแต่รัฐมนตรี “โคตรยี้” ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว
00 แต่อีกมุมหนึ่งกลับจงใจด่วนสรุปว่า การกระทำของพี่น้องที่ต่อสู้ในนาม “กลุ่มพันธมิตรฯ” เป็นตัวป่วน ทำลายบ้านเมือง โดยไม่ลองใช้สติที่มีอยู่น้อยนิดพิจารณาบ้างว่า ทำไมคนเหล่านี้ถึงยอมละทิ้งความลำบากส่วนตัวนานกว่า 4 เดือน ตากแดด ตากฝน เสียสละทุกอย่างเพื่อให้ก้าวพ้นจากวังวนการเมืองน้ำเน่า แล้วมันผิดตรงไหน(วะ) ที่ไม่ยอมทนกับพวกขายชาติ ยกอธิปไตยยกปราสาทพระวิหารให้เขมร เพื่อแลกกับธุรกิจน้ำมันของ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ผิดหรือที่พวกเขาสู้กับพวกขบวนการบั่นทอนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
00 ทีหลังถ้าไม่รู้เรื่องก็อย่าสะเออะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ารู้แล้วยังทำตัวเป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อ หรือคิดแค่เอาใจผู้มีอำนาจในหน่วยราชการบางกลุ่ม เพื่อหวังผลตอบแทนบางบางอย่าง ฉวยโอกาสใช้วงสัมมนาข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจปลุกระดมให้เกลียดชัง ก็ถือว่านักวิชาการ “อีแอบ” คนประเภทนี้จะต้องถูก “มือตบ” ขับไล่ใส่หน้า เข้าสักวันแน่นอน !!
00 นาทีนี้บอกได้คำเดียวว่า คนอย่าง “น้องเขย” จะต้องพบกับ “กรรมเก่า” ที่ก่อขึ้นมา และจะสร้างความทุกข์ร้อนให้กับตัวเองและครอบครัวไม่จบสิ้น ที่เห็นชัดแบบติดจรวดก็คือ หลักฐานแจ้งทรัพย์สินส่ออันเป็นเท็จ การถือหุ้นในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟฯ ที่มีสัมปทานกับรัฐมากมาย คนในวงการรู้จักกันดี และถ้าพิจารณาจากเอกสารที่แจ้งต่อ ป.ป.ช.เอาไว้เมื่อครั้งเริ่มเป็น ส.ส.สัดส่วนและเปรียบเทียบในช่วงที่เป็นรองนายกฯ และรมว.ศึกษาธิการ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรมาดลใจจนไม่รอบคอบเผลอเรอจน “มัดคอ” ตัวเองดิ้นไม่หลุด
00 ไม่รู้ว่าจะต้อง “ตายน้ำตื้น” เสียเชิงอดีตตุลาการผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหรือเปล่า รู้แต่ว่าเป็นฝีมือ “เรืองไกร” เจ้าเก่าอีกครั้งครับพี่น้อง ดังนั้นค่อนข้างเชื่อมือได้เกินครึ่ง เพราะถ้าพิจารณาจากที่มาที่ไป ตัวเลขการถือหุ้น มีรายได้จากเงินปันผลจากบริษัทดังกล่าวเห็นตำตา แม้จำนวนน้อยนิดแค่ 2 หมื่นบาท แต่ก็ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 ที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองถือหุ้นและมีผลประโยชน์ในกิจการสื่อ กิจการโทรคมนาคม ส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของต้องสิ้นสุดลงทันที
00 ขณะเดียวกันยังโยงไปถึงความผิดของ ลูกสาวคนโปรดอย่าง “ชินณิชา” นักการเมืองหน้าใหม่หมาดๆ ยื่นแสดงทรัพย์สินระบุว่าได้ลงทุนในบริษัท “เอ็มลิ้งค์” จำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าตอนนั้น 128 ล้านบาท มองผิวเผินอาจไม่มีปัญหา แต่บังเอิญว่าบริษัทดังกล่าวดันไปเป็นคู่สัญญากับ กฟภ.เสียอีก ทำให้ติดบ่วงกรรมอาจต้องพ้นสภาพจาก ส.ส. เนื่องจากขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 48 ไปอีกราย
00 นี่ยังไม่นับเรื่องข้อกล่าวหาใช้คอนเนกชั่นเก่าๆ สมัยอยู่กระทรวง “ตาชั่ง” วิ่งเต้น “ติดสินบนตุลาการ” ช่วยเหลือ “พี่เมีย” ให้รอดพ้นคดี “ซุกหุ้น” เมื่อปี 2544 และความแตกเมื่อมีตุลาการรัฐธรรมนูญคนหนึ่งออกมายอมรับเอาไว้เป็นหลักฐานเสียอีก และกำลังมีผู้แจ้งความดำเนินคดีเอาเข้าคุกในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้า
00 ยัง แค่นั้นยังไม่พอยัง มีเรื่องอื้อฉาวทุจริตในการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นประมูลจ้างเหมาหาบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มวงเงินเป็น 5.4 พันล้านบาท หรือกรณีเป็นรองประธานบอร์ดทอท. ถูกกล่าวหาเอื้อประโยชน์ให้กับร้านค้าปลอดอากรอย่างน่าเกลียด ซึ่งสองกรณีหลัง ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการตรวจสอบแล้ว
00 นี่ไม่นับกรณีอื้อฉาวสินบน “ขนม 2 ล้าน” สินบนยุบพรรคไทยรักไทยที่เพื่อน “นิติ09” เป็นคนวิ่งเต้น และถูกแฉโพยตัวตนออกมายุบยับไปหมด สารพัดคดีดังกล่าวล้วนโยงใยไปถึงน้องเขยตัวดีคนนี้ทั้งหมด รอแต่ว่าผลสรุปจะออกมาช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่แว่วๆ มาว่าขบวนการ “ยื้อ” เริ่มทำงานกันอย่างหนัก แต่ก็ให้ระวังไว้หน่อย ดีไม่ดีอาจจะโดนข้อหา “ติดสินบน” เพิ่มขึ้นมาอีกดอกก็ได้นะท่าน แต่เชื่อเถอะไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกอย่างล้วนถือเป็นกรรมเก่า และผลแห่งกรรมก็จะปรากฏออกมาให้เห็นเรื่อยๆ จะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเช่นนั้นแล !!
00 วันนี้ขอนอกเรื่องสักหน่อย เมื่อรู้สึกอยากตบปากพวกที่ชอบอ้างว่า ตัวเองเป็น “นักวิชาการ” แต่หารู้ไม่ว่าความรู้ในทางสังคมแค่ “หางอึ่ง” และน่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ บางคนเป็นถึงระดับศาสตราจารย์ จบด็อกเตอร์ แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อสำรอกออกมาคนก็เห็นลิ้นไก่ ยิ่งพูดคนยิ่งเห็นธาตุแท้ว่าคนประเภทนี้อย่างดีก็เป็นได้แค่ “รับงาน” มาปลุกระดม ด่าอีกฝ่ายเพื่อหวังผลบางอย่างเท่านั้น ชอบอวดอ้าง อวดภูมิว่าตัวเองมีความรอบรู้ทางการเมือง ทั้งที่มีแค่ “หางอึ่ง” ไม่เคยออกมาสัมผัสกับโลกความจริงว่ามันมันก้าวกระโดดไปไกลลิบแล้ว
00 หลายคนอดรนทนไม่ได้ และรำคาญกับความคิดประชาธิปไตยแบบ “ขี้เท่อ” ของม้าใช้ระดับโนเนมปลายแถวอย่าง “เรวัตร์ ชาตรีวิศิษฏ์” ที่ร้อยวันพันปีแทบไม่เคยแสดงความเห็นในทางสาธารณะ แต่กลับฉวยโอกาสในช่วงที่ได้รับค่าจ้างมาเป็นวิทยากร อบรมสัมมนาหลักสูตร “การพัฒนาองค์กรสู่ความสำเร็จ” ให้กับองค์การคลังสินค้า (อคส.) ในโรงแรมแห่งหนึ่งย่านนนทบุรีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ใช้เวลาเกือบทั้งหมด “เพ้อเจ้อ” นอกเรื่อง ชู “ระบอบทักษิณ” สุดลิ่ม
00 ยอมรับระบอบการเมืองอันสามานย์ว่า ดีเลิศ ยอมรับว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวคือกุญแจสู่ทางสวรรค์นำไปสู่แสงสว่างทุกสิ่ง โดยหลับตาไม่ดูที่มาไปที่ไป หรือเนื้อหาสาระ ไม่พูดว่า การเลือกตั้งที่มีเบื้องหลังทุจริต หรือไม่ลืมหูลืมตาพิจารณาดูว่า พวกนักเลือกตั้งเหล่านี้ทำลายชาติ ขายชาติ ขายอธิปไตย กระทำผิดกฎหมายอย่างไรบ้าง หรือพรรคพลังประชาชน กำลังถูกยุบพรรคเพราะทุจริตซื้อเสียง ตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ก็มีแต่รัฐมนตรี “โคตรยี้” ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว
00 แต่อีกมุมหนึ่งกลับจงใจด่วนสรุปว่า การกระทำของพี่น้องที่ต่อสู้ในนาม “กลุ่มพันธมิตรฯ” เป็นตัวป่วน ทำลายบ้านเมือง โดยไม่ลองใช้สติที่มีอยู่น้อยนิดพิจารณาบ้างว่า ทำไมคนเหล่านี้ถึงยอมละทิ้งความลำบากส่วนตัวนานกว่า 4 เดือน ตากแดด ตากฝน เสียสละทุกอย่างเพื่อให้ก้าวพ้นจากวังวนการเมืองน้ำเน่า แล้วมันผิดตรงไหน(วะ) ที่ไม่ยอมทนกับพวกขายชาติ ยกอธิปไตยยกปราสาทพระวิหารให้เขมร เพื่อแลกกับธุรกิจน้ำมันของ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ผิดหรือที่พวกเขาสู้กับพวกขบวนการบั่นทอนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
00 ทีหลังถ้าไม่รู้เรื่องก็อย่าสะเออะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้ารู้แล้วยังทำตัวเป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อ หรือคิดแค่เอาใจผู้มีอำนาจในหน่วยราชการบางกลุ่ม เพื่อหวังผลตอบแทนบางบางอย่าง ฉวยโอกาสใช้วงสัมมนาข้าราชการ-พนักงานรัฐวิสาหกิจปลุกระดมให้เกลียดชัง ก็ถือว่านักวิชาการ “อีแอบ” คนประเภทนี้จะต้องถูก “มือตบ” ขับไล่ใส่หน้า เข้าสักวันแน่นอน !!
