xs
xsm
sm
md
lg

แฉ “สมชาย”แจ้งบัญชีเท็จ ยื่นกกต.สอบ-ส่อพ้นนายกฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน-ส.ว.เตรียมยื่น กกต.สอบ “สมชาย” ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรี เหตุโชว์ทรัพย์สินว่าลงทุนใน “ซีเอส ล็อกซอินโฟ” ที่ “รับสัมปทานจากรัฐ” อันเป็นเท็จแถมลูกสาว “ชินณิชา” ก็ไปลงทุนใน “เอ็มลิ้งค์” ที่เป็นคู่สัญญากับ “กฟภ.” อีกด้วย

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 29 ก.ย.นี้ เวลา 09.30 น.ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตรวจสอบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ที่อาจขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. เนื่องจากมีพฤติการณ์ซึ่งอาจเข้าลักษณะเป็นกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ประกอบมาตรา 265 และมาตรา 106(6) อันเข้าลักษณะเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเพราะขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ตามมาตรา 171 วรรคสองแล้ว ประกอบกับขาดคุณสมบัติตามมาตรา 48

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติออกเสียงลงคะแนนอย่างเปิดเผย เห็นชอบให้นายสมชายดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น 298 เสียง ซึ่งตนก็ได้ตรวจสอบการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายสมชาย ตั้งแต่ครั้งที่เป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 รวมถึงการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ในฐานะเป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 6 ก.พ.2551 ก็พบว่า มีรายการยื่นแสดงว่า มีเงินลงทุนในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CS Loxinfo เป็นจำนวน 100,000 หุ้น ซึ่งมูลค่าที่แสดงไว้แตกต่างกันตามราคาหุ้น ณ ช่วงเวลานั้น กล่าวคือ เมื่อคราวที่ยื่นเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 แสดงบัญชีมูลค่าหุ้นไว้ที่ 346,000 บาท แต่ในวันที่ 6 ก.พ.2551 แสดงบัญชีมูลค่าหุ้นไว้ที่ 368,000 บาท

ทั้งนี้ ในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินนั้นมีนัยสำคัญพบว่า นายสมชายได้ระบุว่า “มีรายได้ประจำอื่นๆ ดังนี้ (1) เป็นค่าตอบแทนกรรมการ 8,430,148.05 บาท และ (2) เป็นเงินปันผลจากบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) จำนวน 20,000 บาท” ซึ่งบริษัทฯ ดังกล่าวทำธุรกิจหลักในด้านการให้บริการศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต บริการอินเทอร์เน็ตและบริการรับ-ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมเพื่อการสื่อสารทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ บริการจัดพิมพ์และโฆษณาสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ฉบับธุรกิจ ประกอบธุรกิจสิ่งพิมพ์ประเภทโฆษณาย่อย และให้บริการเสริมบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยได้ทำสัญญากับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) เพื่ออนุญาตให้บริษัทสามารถให้บริการรับส่งสัญญาณโทรทัศน์และสัญญาณบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมเป็นเวลา 22 ปี นับจากวันที่ 9 ส.ค.2537 ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 8 ส.ค.2559

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า แต่รัฐธรรมนูญ มาตรา 48 บัญญัติว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือโทรคมนาคม มิได้ ไม่ว่าในนามของตนเอง หรือให้ผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นแทน หรือจะดำเนินการโดยวิธีการอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่สามารถบริหารกิจการดังกล่าวได้ในทำนองเดียวกับการเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการดังกล่าว” นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7) บัญญัติว่า “ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา 267 มาตรา 268 หรือมาตรา 269”

“จากหลักฐานที่ผมได้ทำการตรวจสอบ ทำให้เชื่อได้ว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์กระทำการที่อาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามมาตรา 182 (7) ประกอบมาตรา 48 ก็บัญญัติห้ามไม่ให้นายกรัฐมนตรีถือหุ้นในกิจการตามที่บัญญัติไว้ และนายสมชายอาจขาดคุณสมบัติจากการเป็นส.ส. ตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.2551 กรณีไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีลักษณะรับสัมปทานจากรัฐ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน อาจเข้าลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 265 (2) จะมีผลทำให้ให้สมาชิกภาพของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะเป็น ส.ส.สิ้นสุดลง ตามมาตรา 106 (6) และจะกระทบคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 171 วรรคสอง ที่จะขาดไป” นายเรืองไกรกล่าว

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า ประกอบกับมาตรา 265 วรรคสาม ให้นำความในมาตรา 265 (2) (3) และ (4) มาใช้กับคู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือนายสมชายด้วย ซึ่งพบว่า น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน บุตรสาว ได้ยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2551 ว่ามีเงินลงทุนใน บมจ.เอ็มลิ้งค์ เอเซียฯจำนวน 70,000,000 หุ้น แสดงมูลค่ารวม ณ วันที่แสดงบัญชีไว้เป็นเงิน 128,100,000 บาท ซึ่งบริษัทดังกล่าว ก็เข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐวิสาหกิจ คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เช่นกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี และเกิดความชัดเจนในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ อันจะเป็นบรรทัดฐานในการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ตนจึงทำคำร้องนี้แจ้งให้ กกต.พิจารณา เพื่อส่งคำร้องนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญทำการไต่สวนและวินิจฉัยต่อไป เพราะอำนาจหน้าที่ของ กกต.ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 10 (11) กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญในกรณีที่เห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลง

“พฤติการณ์ของนายสมชาย ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะส.ส.ที่เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสัมปทานกับ กสท และได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) รวมทั้งการถือครองหุ้นของ น.ส.ชินณิชา ในบริษัท เอ็มลิ้งค์ฯ ซึ่งอาจเข้าลักษณะเป็นกระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบมาตรา 265และมาตรา 106(6) อันเข้าลักษณะเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เพราะขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ตามมาตรา 171 วรรคสอง ผมจึงจะยื่นขอให้ กกต.ตรวจสอบ โดยขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 62 ร้องขอให้มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต่อ กกต.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการ เพื่อพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป” นายเรืองไกร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น