“ส.ว.เรืองไกร” เดินหน้ายื่น กกต.สอบคุณสมบัตินายกฯ กรณีถือหุ้นในบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟฯ ที่รับสัมปทานจากรัฐ อาจเข้าข่ายผิด รธน.ส่อพ้นนายกฯ เผย ส.ว.จะรวบรวมรายชื่อ ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญสอบโดยตรงอีกด้วย ยันไม่ใช่เป็นการจับผิด “สมชาย” แต่เป็นการตรวจสอบนักการเมืองตามปกติ
วันนี้ (29 ก.ย.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) สรรหา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้เดินทางมายื่นหนังสือ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี กรณีถือหุ้นในบริษัท ซี เอส ล็อกซอินโฟจำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต และยังมีใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมจากบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 265 และ 48 ที่ห้ามไม่ให้ ส.ส. หรือ รัฐมนตรี ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ อันอาจจะเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง เพราะขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. ตามมาตรา 171 อย่างไรก็ตามหลังจากที่ยื่นกับกกต.แล้วก็จะรวบรวมรายชื่อของส.ว.ให้ได้ 1 ใน 10 เพื่อเตรียมยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบเรื่องเดียวกันนี้อีกทางหนึ่งด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติกรณีการแสดงบัญชี ทรัพย์สินหนี้สินของนายกฯ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า บ้านพักย่านแจ้งวัฒนะ จำนวน 8 ไร่ มูลค่า 200 กว่าล้านบาท ที่ได้ใช้เป็นสถานที่รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ได้แจ้งเป็นทรัพย์สินไว้ในการแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย หรืออาจจะโอนให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าจะเข้าข่ายปกปิดบัญชีทรัพย์สินหรือไม่ โดยจะต้องมีการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป
นายเรืองไกร ยังปฏิเสธว่าการเคลื่อนไหวตรวจสอบคุณสมบัติของฝ่ายบริหารขณะนี้ไม่ใช่การจ้องจับผิด แต่เพราะชอบที่จะตรวจสอบในเรื่องที่ไม่ปกติของนักการเมืองทุกคน ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ก่อนหน้านี้ก็ทำมาตลอดแม้แต่ในช่วงที่ทำงานที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และเมื่อมาอยู่ในตำแหน่งส.ว.จึงมีข้อสังเกตและเมื่อพบเหตุไม่ถูกต้องจึงอยากให้มีการตรวจสอบ
“ผมไม่ได้ยื่นตรวจสอบคนในรัฐบาลเพื่อกลั่นแกล้งใคร แต่เป็นการทำหน้าที่ตามปกติซึ่งผมก็ปฏิบัติเช่นนี้กับนักการเมืองทุกคน”
ส่วนกรณีที่เคยยื่นให้กกต.ตรวจสอบคุณสมบัติของนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชนกรณีการถือหุ้นในบริษัทเอกชนของภรรยานั้น นายเรืองไกร กล่าวว่า ได้ทำการถอนเรื่องดังกล่าวไปแล้ว เนื่องจากนพ.สุรพงษ์ ได้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีไปแล้วจึงไม่มีเหตุต้องตรวจสอบอีก ส่วนที่ยื่นไว้กับศาลรัฐธรรมนูญก็ให้เป็นดุลยพินิจของศาลฯว่าจะเห็นอย่างไร
นายเรืองไกร ยังกล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ยื่นตรวจสอบกรณีการใช้อำนาจหน้าที่ผู้ตรวจสอบบัญชีไปตรวจสอบผู้อื่นโดยมิชอบ ว่า พร้อมจะให้ตรวจสอบแต่ขอให้ผู้ยื่นตรวจสอบระบุสถานที่ ที่จะตรวจสอบให้ชัดเจน และกระทำอย่างเปิดเผยเพื่อให้สื่อมวลชนเข้าไปร่วมรับฟังการตรวจสอบได้ด้วย และขอให้กรรมาธิการฯ นำหลักฐานมาเปิดเผยโดยตนก็จะนำมาแสดงต่อกรรมาธิการฯด้วยเช่นกัน ให้สามารถตรวจสอบได้ทั้งสองฝ่าย เพื่อจะได้ทราบในทันทีว่าข้อมูลของใครเป็นอย่างไร
"ผมก็รออยู่ให้รีบมาเรียกไปสอบสักที แม้แต่เรื่องอื่นยังไม่มาสอบผมเลย เรื่องที่มีคนไปฟ้องผมว่าเป็นกบฏเพราะไปเดินอยู่ในพันธมิตรก็ไม่เห็นมีใครตรวจสอบผมเลย"
“สดศรี” คาด กกต.หารือพรุ่งนี้ (30 ก.ย.)
นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า คาดว่าน่าจะมีการนำเข้าหารือในที่ประชุม กกต.วันพรุ่งนี้ ( 30 ก.ย.) เรื่องดังกล่าวควรจะตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนสืบสวนชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อสอบสวนอีก 1 ชุดหรือไม่ หรือจะมอบให้อนุกรรมการสอบสวนฯ การถือหุ้นของ ส.ส. และ ส.ว.ตามคำร้องของนายศุภชัย ใจสมุทร ที่ กกต.ได้ตั้งไปแล้วก่อนหน้า เป็นผู้ตรวจสอบ เพราะขณะนี้กรรมการชุดดังกล่าวยังสอบไม่เสร็จเนื่องจากต้องสอบข้อมูลรายบุคคลจำนวนมาก รวมทั้งข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ จึงมีการขอขยายเวลาสอบสวนกับ กกต.ออกไปอีก 30 วัน
“คงหารือกันว่าจะบรรจุเรื่องที่ร้องนายสมชาย ให้อนุกรรมการที่สอบเรื่องนี้อยู่แล้ว เป็นผู้ดำเนินการหรือไม่ เพราะมีลักษณะเดียวกัน คือเป็น ส.ส.เหมือนกัน หรือควรให้กรรมการอีกชุดสอบ แต่ส่วนตัวเห็นว่าหากไปเพิ่มให้สอบอีก อนุกรรมการก็อาจจะไม่ไหว เพราะตอนนี้ก็สอบกันมาเป็นร้อยคน จึงเป็นไปได้ว่าอาจต้องให้ชุดใหม่สอบ” นางสดศรีกล่าว