“สมศักดิ์” สดุดีนักรบมือตบ ร่วมโห่ไล่ “สมชาย” รัฐบาลโกงชาติ ชี้ชัดหมดความชอบธรรมบริหารประเทศสิ้นเชิง เพราะเคยทำผิดคำถวายสัตย์ปฏิญาณ ชี้ 24 อธิการเจตนาดี แต่ขาดความจริง เพราะไม่ได้ต่อสู้ เตือนอย่าฝันการเมืองใหม่แบบเพ้อเจ้อ หากตราบใดที่รัฐบาลน้ำเน่ายังอยู่ ย้ำไม่จำเป็นต้องเจรจาเพราะจุดยืนพันธมิตรฯ ชัดเจนอยู่แล้ว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ปราศรัย
วานนี้ (28 ก.ย.) เวลาประมาณ 20.30 น. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้เราต้องสดุดีพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนที่กำลังไล่รัฐบาลโกงชาติขายชาติออกไปจากประเทศ ซึ่งที่เกิดขึ้น ชี้ชัดแล้วว่ารัฐบาลนี้ ไม่มีความชอบธรรมและหมดสภาวะการบริหารประเทศอย่างเบ็ดเสร็จสิ้นเชิงแล้ว นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งยืนยันว่าเราได้เริ่มสร้างการเมืองใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยพี่น้อง ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงการเมืองน้ำเน่า สกปรก ไปสู่การเมืองใหม่โดยพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ หลักฐานที่ชัดเจนคือ เราได้ต่อสู้ไล่นายกรัฐมนตรีไปแล้ว 2 คน โดยคนที่ 3 เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คนที่ไม่ต่อสู้ก็จะไม่เห็นความสำเร็จ เพราะความสำเร็จจะเกิดขึ้นเฉพาะคนที่ต่อสู้เท่านั้น เราเองเรียนรู้เพื่อที่จะคิดต่อ เมื่อเราเห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วคิดล่วงหน้าเป็นวิสัยทรรศน์ เราเดินมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถนนราชดำเนิน มาถึงทำเนียบรัฐบาลก่อนจะเปลี่ยนเป็นทำเนียบประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี่แหละ คือการเมืองใหม่โดยประชาชนเพื่อประชาชน และเพื่ออนาคตของประเทศชาติ ดังนั้น ไม่ต้องถามว่าใครจะคิด ถ้าคิดได้ก็ช่วยกันคิด แต่ต้องจำว่าถ้าไม่สู้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยด้วยการปฏิบัติ ซึ่งต้องมีหลักธรรมมะควบคู่การนำไปสู่การเมืองใหม่ สู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษิตริย์เป็นประมุข
วันนี้ พิสูจน์ชัดเจนว่า ทุกที่ เครือข่ายพันธมิตรฯ และมือตบกำลังแพร่ไปทุกหย่อมหญ้า สัญญาณแบบนี้ ถ้ารัฐบาลไม่หน้าด้านไปนานแล้ว ไม่สามารถอยู่ได้ เพราะไม่ว่าไปไหนก็ไม่ได้มีแต่คนไล่ ไม่มีศักดิ์ศรี ไปไหนคนก็รังเกียจ วันนี้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ เอา นปก.เสื้อแดงคุ้มกัน เป็นการชี้ชัดว่า นปก.เป็นพวกเดียวกันกับรัฐบาลอย่างแท้จริง และถือว่าเป็นนายกฯ นปก.ต้นฉบับไปแล้ว พี่น้องเห็นไหมว่าอะไรทุกอย่างค่อยๆ โผล่ให้เห็นความจริง ดังนั้น ต้องสดุดีให้กับผู้กล้าที่ต่อสู่เพื่อนบ้านเมือง เมื่อเราสู้แบบนี้ประตูแพ้ไม่ต้องถามหา ความชอบธรรมเกิดขึ้น ความผิดของรัฐบาลออกมาและล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แล้วเขาจะอยู่ได้อย่างไร
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่พยายามย้ำมาโดยตลอดเพื่อให้พี่น้องที่ยังไม่ลุกขึ้นมาได้ทราบ และให้พี่น้องได้อธิบายต่อไป นั่นคือ การถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งนายสมชาย ได้นำคณะรัฐมนตรีไปถวายสัตย์ปฏิญาญตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ นายสมชายเองเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ มาแล้ว ซึ่งได้เข้าถวายสัตย์ฯตามรัฐธรรมนูญมาตรา 175 เช่นกัน ซึ่งคำปฏิญาญบอกว่า จะจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ และจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทุกประการ ซึ่งทุกครั้งหลังจากปฏิญาณแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงตรัสว่า ให้ทุกคนปฏิบัติตาม
“แต่พี่น้องจำได้ไหมว่า ในสมัยนายสมัคร เป็นนายกฯ ได้ลงนามให้เขมรขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า ขัดกับมาตรา 190 พอนายสมัคร ถูกปลดในคดีชิมไปบ่นไป นายสมชาย ก็เข้ามาถวายสัตย์เหมือนเดิม แต่ที่ผ่านมา ได้ปฏิบัติผิดรัฐธรรมนูญไปแล้ว โดยการตัดสินของศาล ซึ่งแปลว่า คำถวายสัตย์นั่นไม่เป็นสัตย์จริง นอกจากนี้ ยังมีหลายเรื่องที่บริหารประเทศโดยไม่ได้คิดถึงส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้ง ครม. ที่มีคำสั่งมาจากลอดดอน ซึ่งหลายคนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรทั้งนั้น”
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ มีเรื่องใหม่อีกเรื่อง นั่นคือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ตรวจสอบนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ที่อาจขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.เนื่องจากพบว่ามีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินในฐานะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 โดยพบว่า มีเงินลงทุนในบริษัทซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทดังกล่าว ทำธุริกิจสื่อสาร โทรคมนาคม ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 48 กำหนดไว้ว่า ผู้ถือหุ้น เจ้าของในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม จะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. รัฐมนตรี หรือนายกฯ ไม่ได้ ดังนั้น ต้องหลุดออกจากตำแหน่ง ซึ่งหาก กกต.เห็นว่ามีความผิด และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว นายสมชายก็จะพ้นจากการเป็นรองนายกฯ ตั้งแต่เดือนมกราคม และจะถือว่าการเป็นนายกฯ โมฆะมาตั้งแต่ต้น
ส่วนความเห็นของอธิการบดี ต่อการเมืองใหม่ ถือว่าเป็นเจตนาดี แต่ขาดความจริง เพราะท่านไม่ได้สู้ ทำให้ไม่รู้จริงอย่างพี่น้องที่นั่งอยู่ตรงนี้ และยังไม่กล้าอย่างพี่น้องพันธมิตร พูดออกมาแล้วยังต้องแปล เพราะกลัวความจริง
“คนทำดีต้องยกย่อง เพื่อให้คนดีมากมายในแผ่นดินอย่าอยู่เฉย ส่วนคนชั้วต้องตำหนิ ไม่เช่นเป็นกลางอย่างเดียว ซึ่งคำว่าเป็นกลางแปลว่ายุติธรรม ไม่ใช่การไม่รู้ไม่เห็นว่าใครโกงกินอะไร ไม่ยุ่งกับใคร ซึ่งคนเป็นกลางเยอะเลย ไม่รู้ถูกผิด” นายสมศักดิ์กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า พลังแห่งศีลธรรม ลึกและเห็นยาก คนชั่วไม่มีทางเห็น หลายคนตั้งคำถามว่า มาไล่แบบนี้แล้วใครจะมาเป็นนายกฯ ได้ ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการพูดแบบไม่มีจิตวิญญาญ เพราะคนที่ถูกไล่ต้องเลวจนทนไม่ไหว โกงกินเห็นกันจะจะ
ส่วนการจะตั้งคณะกรรมการไปคุยกับรัฐบาลนั้น ในเมื่อเรามาไล่แล้วจะไปคุยกับคนที่ไม่มีคุณสมบัติแล้วได้อย่างไร ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเจรจา เพราะเราเปิดเผยแล้วว่า คุณต้องออกไป และอย่าแก้ รธน. ซึ่งชุดความคิดเป็นคนละชุดกับการเมืองใหม่ เราต้องการให้บ้านเมืองรุ่งเรื่อง การเมืองใหม่เกิดขึ้น สังคมสงบ ไม่มีการเอาเปรียบ ไปไหนมาไหนยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ได้คิดเอาแต่ตำแหน่งเหมือนอย่างพวกเขา
“การเมืองเก่าต้องกวาดล้างให้สิ้น เพราะการเมืองใหม่เกิดขึ้นไม่ได้ อย่าฝันการเมืองใหม่แบบเพ้อเจ้อ ตราบใดที่รัฐบาลน้ำเน่านี้อยู่ไม่เกิดแน่นอน เพราะถ้าสิ่งเก่าไม่ไป สิ่งใหม่จะเกิดขึ้นได้ยังไง แนะนำว่า ให้ขึ้นบันไดที่ละก้าว ระวังจะตกหลุมพลาง ต้องเดินอย่างมั่นคง แน่วแน่ อย่าโลเล อย่าหลงประเด็น และจับทิศทางให้แม่นยำ เราต้องทำสถิติอย่างน้อยต้องไล่นายกฯ 3 คน ซึ่งยืนยันได้ว่าเมื่อคนที่ 3 ไปแล้ว การเมืองใหม่จะเกิดขึ้นและคนที่ 4 ไม่สามารถอุบัติได้อีกต่อไป ฉะนั้น ในวาระที่เราอยู่ร่วมกัน ต้องทำให้มั่นคง รักษาพื้นที่ทำเนียบเอาไว้ ให้พี่น้องปรองดองสามัคคี มีระเบียบวินัย ไม่ละเมิดสิทธิ ปกป้องทรัพย์สินของรัฐ เป้าหมายเราไล่เฉพาะนักการเมืองขายชาติเท่านั้น” นายสมศักดิ์กล่าว