xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองใหม่ที่เสนอเป็นรูปธรรม

เผยแพร่:   โดย: ชัยสิริ สมุทวณิช

ความจริงแล้วการเมืองไทยนั้นเดินเข้าถึงมุมอับและถึง “ทางตัน” มานานแล้ว แต่เราคิดไม่ออกว่าจะหาทางปลดล็อกออกจากระบบเก่าๆ ได้อย่างไรดี

ปล่อยให้คิดกันง่ายๆ ว่า การเลือกตั้งไปใช้สิทธิลงคะแนน 4 ปี ครั้ง ให้มีพรรคการเมืองได้หลายพรรค ฯลฯ เท่ากับได้ประชาธิปไตยแล้ว

แม้แต่นักวิชาการซึ่งอุตส่าห์ไปเรียนมาจากเมืองนอกก็เชื่ออย่างนี้

พอคุณสนธิประกาศ “การเมืองใหม่” โดยยกตัวอย่าง 70:30 ให้เลือกผู้แทน 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการสมมติ

เท่านั้นเอง

มิใช่พวก ส.ส.จากการเมืองเก่าที่พากันคัดค้าน นักวิชาการเองก็ค้านเหมือน ส.ส.น้ำเน่าด้วย

บิ๊กจิ๋วเห็นด้วยกับการเมืองใหม่เสนอว่า 50:50 น่าจะเหมาะ

แต่ผมว่าสัดส่วนไม่สำคัญเท่ากับวิธีการคัดเลือก และขั้นตอนในการได้มาซึ่งผู้แทนของประชาชน

ผมมาคิดดูว่าขั้นตอนนั้นควรจะให้ประชาชนระดับรากหญ้าเลือกโดยตรงตามสิทธิเป็นขั้นแรก หลังจากนั้นก็รวมพวกที่ได้รับเลือกทั้งประเทศ สมมติว่า 50 เปอร์เซ็นต์มาไว้กลุ่มหนึ่ง

ขณะที่กลุ่มอาชีพต่างๆ ก็เลือกกันมา ได้อีกกลุ่มหนึ่ง

ครับ... ยังมีกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่อาจจะอยู่ในกลุ่ม 1 หรือ 2 แล้ว แต่ได้รับการคัดสรรพิเศษจากคณะกรรมการการเลือกตั้งที่รัฐตั้งขึ้น

กลุ่ม 3 นี้ จะเลือกคนในกลุ่มแรกไว้เพียงครึ่งเดียว และคนในกลุ่มอาชีพอีกครึ่งหนึ่งเท่านั้น

ดังนั้น คนที่เป็นตัวแทนประชาชนจริงก็จะมีแค่ครึ่งสภาเท่านั้น

ส่วนที่เหลือยังอยู่ในฐานะสำรอง ส.ส. ทำหน้าที่เลขานุการหรือผู้ช่วย, นักวิจัย ฯลฯ ได้ โดยมีฐานะหน้าที่ในสภา รวมทั้งสามารถทำหน้าที่แทน ส.ส.ที่ตนเองช่วยงานอยู่ก็ได้ (เช่นโหวต) ยกเว้นเสนอกฎหมาย, แก้กฎหมาย หรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวพันกับการปรับปรุงกฎหมายใดๆ ด้วย

ส.ส.ที่เป็นตัวแทนทำหน้าที่ 1 ปี หลังจากนั้นพวกที่เหลือจะผลัดเป็น ส.ส.บ้าง 1 ปี

ส่วน ส.ส.สาขาอาชีพจะเป็นตลอดไป 3 ปี โดยมีสำรองคอยช่วย 3 ปี

ส.ส.จากจังหวัดต่างๆ มีอายุ 2 ปี ก็จะกลับไปเลือกตั้ง โดยมีเทอม 2 ปี ซึ่งไม่คุ้ม หากคิดจะลงทุนซื้อเสียง

ส่วนถ้าพบว่ามีการทุจริตซื้อเสียงหรือทุจริตอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะหมดสิทธิไปตลอดชีวิต

ส.ส.กลุ่มอาชีพมีอายุ 3 ปี ก็จะเลือกกันใหม่ และกลุ่มวิชาชีพก็จะต้องมีการคัดสรรให้รอบคอบด้วย

หากภายใน 5 ปี การเลือกตั้ง ส.ส.จังหวัดควบคุมการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะให้สภาได้พิจารณาเพิ่มโควตา ส.ส.จังหวัดได้ปีละ 10 คนขึ้นไป โดยเพิ่มได้แบบปีเว้นปี จนไม่เกิน 60/40 คือ 60 มาจากจังหวัด

แต่กลุ่ม 40 ซึ่งเป็นกลุ่มวิชาชีพนั้น จะพัฒนาการไปสู่การเป็นวุฒิสภาต่อไป (ขณะนี้มีสภาเดียว)

เมื่อมี 2 สภาแล้ว สภาล่างก็จะเป็นสภาผู้แทนและจะปรับมามีอายุ 3 ปี (เลือก 3 ปีต่อครั้งเหมือนบางประเทศ) ส่วนวุฒิสภาก็จะปรับเป็น 3 ปีเท่านั้น

ครับ... นี่คือวิธีตามแบบของผมครับ

วิธีการนี้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป รัฐเองก็จะมีบทบาท และแม้ว่าจะเลือกตั้ง 3 ปีครั้ง แต่ก็จะช่วยให้การถ่ายเวียนเลือดใหม่เร็วขึ้น

แน่นอนว่าความคิดนี้จะเป็นที่ยอมรับหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ที่สำคัญคือมันได้เปลี่ยนวิธีคิด 2-3 อย่างครับ

อย่างแรก
นั้น คือเปลี่ยนความคิดว่า เมื่อเลือกจากประชาชนมาโดยตรงแล้ว คุณคือ ส.ส.เลยไม่ใช่ แต่ต้องถูกกรองอีกรอบหนึ่ง แม้คุณไม่ผ่านก็ใช่ว่าจะสอบตก คุณยังมีโอกาสโดยรอไป 1 ปี ระหว่างรอคุณฝึกงานเป็นผู้ช่วย ส.ส. เป็นนักวิจัยเรียนรู้ไปก่อน รวมทั้งทำหน้าที่ ส.ส. หาก ส.ส.ที่คุณช่วยงานไม่อยู่ไปต่างประเทศ, ป่วยไข้ ฯลฯ

อย่างที่สองการเลือกตั้งนั้นไม่คุ้มเงินทุ่มซื้อเสียงเพราะอายุสั้น ต้องเลือกในระยะแรกๆ ทุก 2 ปี แถมหากถูกจับได้ก็จะหมดสิทธิไปตลอดชีวิตอีกด้วย

อย่างที่สามโอกาสที่ ส.ส.จะเป็นผู้แทนเต็มสภาก็เมื่อมี 2 สภา โดยวุฒิสภามาจากสภาวิชาชีพ

อย่างที่สี่การเลือกตั้ง จะมีทุก 3 ปี ต่อครั้งเป็นการหมุนเวียนถ่ายเลือดใหม่ในสภาให้ดีขึ้น

การเมืองใหม่เกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับ หากไม่เกิดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคิดไม่ได้หรอกครับ ถ้าไม่มีระบอบเน่าเฟะของทักษิณที่พยายามกินรวบประเทศไทยโดยกินกัดโกงแบบเบ็ดเสร็จ

เมื่อไม่สำเร็จก็ดิ้นรนตั้งนอมินีขึ้นอีก 2 รัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนอมินีหนึ่งของหมักปากสุนัข และนอมินีสอง สมชาย วงศ์สวัสดิ์

คำตอบของการเมืองใหม่ เวลานี้ยังไม่ได้มีสูตรสำเร็จ มีเพียงการขอให้ส่งแนวคิดมายังพันธมิตรฯ โดยหวังว่าหลายความคิดจะทำให้โมเดลดีขึ้น

และได้เป็นการเมืองใหม่ที่สมบูรณ์ขึ้น

เป็นต้นฉบับของประชาชนจริงๆ
กำลังโหลดความคิดเห็น