ตลาดหุ้นไทยสุดสวิง เช้าดิ่งลงลึกกว่า 35 จุด จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ บานปลาย ก่อนจะดีดกลับในช่วงบ่าย เหตุนักลงทุนคลายความวิตก หลังธนาคารกลางทั่วโลกประกาศอุ้มธนาคารในประเทศด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน หนุนดัชนีปิดที่ 600.38 จุด ลดลงแค่ 4.76 จุด ขณะที่นักลงทุนสถาบันโดดอุ้ม ยอดซื้อสุทธิเฉียด 1 พันล้านบาท สวนทางต่างชาติทิ้งต่อ 1.1 พันล้านบาท ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เชียร์ซื้อนักลงทุนซื้อหุ้นถูก พร้อมเสนอรัฐบาลร่วมลงขันจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวผันผวนค่อนข้างแรงในแดนลบตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะลุกลามและบานปลายออกไป หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ อันดับ 4 ของสหรัฐฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย จนส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า โดยปรับตัวลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 569.94 จุด หรือลดลงจากวันก่อนถึง 35.20 จุด จากนั้นจึงได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ในช่วงบ่ายตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกประกาศอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อบรรเทาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น รวมทั้งทางการของไทยด้วย
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทันทีและรวดเร็ว โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงสุดที่ 602.75 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 600.38 จุด ลดลงจากวันก่อนแค่ 4.76 จุด หรือคิดเป็น 0.79% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,762.62 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิรวม 1,133.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 994.92 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 138.94 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน จากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ใน 2 วันนี้ปรับตัวลดลงรวมเกือบ 1,000 จุด ซึ่งลดลงแรงกว่าเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิล์ดเทรด รวมทั้งกดดันให้นักลงทุนทั่วโลกตื่นเทขายหุ้นหันมาถือเงินสดแทน เพื่อความความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งได้นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลดลงประมาณ 5% จากแรงเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ แต่นักลงทุนไทยไม่ควรตื่นตกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดี หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากแล้ว โดยเฉพาะผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่า 10% สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ แต่นักลงทุนเองจะต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ"
***ฝรั่งคงเหลือเม็ดเงินในตลาดหุ้น 1.5 แสนล.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลดลงมามาก เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกกับปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามมากขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวดีขึ้น หลังจากนักลงทุนหายตกใจกับเหตุการณ์ และเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้วจึงได้กลับเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ จากการสำรวจการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน (ปี 2542 -2551) พบว่า ขณะนี้ยังมียอดซื้อสุทธิเหลืออยู่จำนวน 150,000 ล้านบาท แม้ในช่วงตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้มียอดขายสุทธิออกมาแล้วกว่า 122,000 ล้านบาท ทำให้ยังมีเม็ดเงินต่างชาติในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่สูง
"แม้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยปีนี้จำนวนมาก แต่หากย้อนดูตัวเลข 9 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังมีการซื้อสุทธิหุ้นไทยเหลือ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเฉพาะการซื้อขายหุ้น แต่ตัวเลขการลงทุนโดยตรงในการถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอยู่ถึง 30% ของมูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป)"นายภัทรียา กล่าว
***เสนอรัฐร่วมลงขันกองทุนพยุงหุ้น***
สำหรับการหารือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ขึ้นมาเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหากรัฐบาล หรือภาคเอกชน มีเงินเหลืออาจจะนำเงินมาจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมามาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะเข้ามาลงทุน
"รัฐบาลได้รับเรื่องการจัดตั้งกองทุนไว้พิจารณา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะรัฐบาลยังมีภาระในเรื่องการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต่างๆ"
***ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนหนัก
นายอริยะ บุญยรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล. )ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ประกาศจะให้ความเช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ของแต่ละประเทศในรูปแบบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและรองรับปัญหาที่ธนาคารพาณิชย์จะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะธนาคารกลางของญี่ปุ่น ที่ไม่เคยมีการให้ความช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ในประเทศมาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
"ช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น ยุโรป แคนนาดา และสหรัฐฯ ได้ประกาศจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับแบงก์พาณิชย์ของตน เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี"
นายอริยะ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ขณะนี้นักลงทุนไม่ได้กลัวปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ กลับกังวลเรื่องบริษัทจดทะเบียนจะไม่มีการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งเกิดขึ้นกับบจ.ในฝั่งตะวันตก สหรัฐฯ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ดี จึงทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ (18 ก.ย.) ผวนอย่างหนัก โดยตลาดดิ่งลงไป 30 กว่าจุด ตามตลาดในต่างประเทศที่ประสบปัญหาสภาวะการเงินจากการที่ยักษ์ใหญ่วาณิชธนกิจอันดับ 4 ของสหรัฐประกาศล้มละลาย และค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดการซื้อขาย จากข่าวที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะร่วมกันแก้ไขวิกฤตการเงินของโลก
โดยหลักทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสูงสุดจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ทั้ง บมจ. ปตท (PTT) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. บ้านปู (BANPU) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้ (19 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยรับข่าวดีจากการร่วมแก้ไขปัญหาของธนาคารกลางทั่วโลก โดยให้แนวรับที่ 585 และแนวต้านที่ 625 จุด ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามแนวทางการแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินอื่นๆ ที่อาจจะประสบปัญหาเหมือนเลห์แมน บราเธอร์ส รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังนายสมชาย วงสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายชัย จิรเสวีนะประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างหนักในแดนลบตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ จากการประกาศล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และทิศทางของสถาบันการเงิน AIG แต่ช่วงบ่ายมีแรงดีดกลับทำให้ดัชนีตลาดหุ้นติดลบน้อยลง หลังธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่กำลังขยายวงกว้างออกไป
ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะผันผวนในกรอบแคบๆ โดยให้แนวรับที่ 580-585 จุด และแนวต้านที่ 615-620 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มพลังงาน ที่จะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีปัจจัยบวกจากการแก้ไขวิกฤตการเงินโลก
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวผันผวนค่อนข้างแรงในแดนลบตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะลุกลามและบานปลายออกไป หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ อันดับ 4 ของสหรัฐฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย จนส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า โดยปรับตัวลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 569.94 จุด หรือลดลงจากวันก่อนถึง 35.20 จุด จากนั้นจึงได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ในช่วงบ่ายตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกประกาศอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อบรรเทาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น รวมทั้งทางการของไทยด้วย
จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทันทีและรวดเร็ว โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงสุดที่ 602.75 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 600.38 จุด ลดลงจากวันก่อนแค่ 4.76 จุด หรือคิดเป็น 0.79% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,762.62 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิรวม 1,133.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 994.92 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 138.94 ล้านบาท
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน จากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ใน 2 วันนี้ปรับตัวลดลงรวมเกือบ 1,000 จุด ซึ่งลดลงแรงกว่าเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิล์ดเทรด รวมทั้งกดดันให้นักลงทุนทั่วโลกตื่นเทขายหุ้นหันมาถือเงินสดแทน เพื่อความความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งได้นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
"ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลดลงประมาณ 5% จากแรงเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ แต่นักลงทุนไทยไม่ควรตื่นตกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดี หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากแล้ว โดยเฉพาะผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่า 10% สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ แต่นักลงทุนเองจะต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ"
***ฝรั่งคงเหลือเม็ดเงินในตลาดหุ้น 1.5 แสนล.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลดลงมามาก เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกกับปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามมากขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวดีขึ้น หลังจากนักลงทุนหายตกใจกับเหตุการณ์ และเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้วจึงได้กลับเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นอีกครั้ง
ทั้งนี้ จากการสำรวจการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน (ปี 2542 -2551) พบว่า ขณะนี้ยังมียอดซื้อสุทธิเหลืออยู่จำนวน 150,000 ล้านบาท แม้ในช่วงตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้มียอดขายสุทธิออกมาแล้วกว่า 122,000 ล้านบาท ทำให้ยังมีเม็ดเงินต่างชาติในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่สูง
"แม้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยปีนี้จำนวนมาก แต่หากย้อนดูตัวเลข 9 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังมีการซื้อสุทธิหุ้นไทยเหลือ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเฉพาะการซื้อขายหุ้น แต่ตัวเลขการลงทุนโดยตรงในการถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอยู่ถึง 30% ของมูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป)"นายภัทรียา กล่าว
***เสนอรัฐร่วมลงขันกองทุนพยุงหุ้น***
สำหรับการหารือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ขึ้นมาเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหากรัฐบาล หรือภาคเอกชน มีเงินเหลืออาจจะนำเงินมาจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมามาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะเข้ามาลงทุน
"รัฐบาลได้รับเรื่องการจัดตั้งกองทุนไว้พิจารณา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะรัฐบาลยังมีภาระในเรื่องการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต่างๆ"
***ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนหนัก
นายอริยะ บุญยรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล. )ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ประกาศจะให้ความเช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ของแต่ละประเทศในรูปแบบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและรองรับปัญหาที่ธนาคารพาณิชย์จะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะธนาคารกลางของญี่ปุ่น ที่ไม่เคยมีการให้ความช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ในประเทศมาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
"ช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น ยุโรป แคนนาดา และสหรัฐฯ ได้ประกาศจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับแบงก์พาณิชย์ของตน เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี"
นายอริยะ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ขณะนี้นักลงทุนไม่ได้กลัวปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ กลับกังวลเรื่องบริษัทจดทะเบียนจะไม่มีการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งเกิดขึ้นกับบจ.ในฝั่งตะวันตก สหรัฐฯ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ดี จึงทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ (18 ก.ย.) ผวนอย่างหนัก โดยตลาดดิ่งลงไป 30 กว่าจุด ตามตลาดในต่างประเทศที่ประสบปัญหาสภาวะการเงินจากการที่ยักษ์ใหญ่วาณิชธนกิจอันดับ 4 ของสหรัฐประกาศล้มละลาย และค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดการซื้อขาย จากข่าวที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะร่วมกันแก้ไขวิกฤตการเงินของโลก
โดยหลักทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสูงสุดจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ทั้ง บมจ. ปตท (PTT) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. บ้านปู (BANPU) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นต้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้ (19 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยรับข่าวดีจากการร่วมแก้ไขปัญหาของธนาคารกลางทั่วโลก โดยให้แนวรับที่ 585 และแนวต้านที่ 625 จุด ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามแนวทางการแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินอื่นๆ ที่อาจจะประสบปัญหาเหมือนเลห์แมน บราเธอร์ส รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังนายสมชาย วงสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
นายชัย จิรเสวีนะประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างหนักในแดนลบตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ จากการประกาศล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และทิศทางของสถาบันการเงิน AIG แต่ช่วงบ่ายมีแรงดีดกลับทำให้ดัชนีตลาดหุ้นติดลบน้อยลง หลังธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่กำลังขยายวงกว้างออกไป
ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะผันผวนในกรอบแคบๆ โดยให้แนวรับที่ 580-585 จุด และแนวต้านที่ 615-620 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มพลังงาน ที่จะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีปัจจัยบวกจากการแก้ไขวิกฤตการเงินโลก