วานนี้(18 ก.ย.)ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ นางทีปสุรางค์ ภักดีธนากุล ภริยา นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มอบอำนาจให้นายสมผล ตระกูลรุ่ง ทนายความเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ นายเอนก เรืองเชื้อเหมือน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ ประชาทรรศน์ นายสุริยงค์ หุณฑสาร รักษาการ ผอ.สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประไทย และนายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาชนสัมพันธ์ เป็นจำเลยที่ 1-6 ฐานหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค.51 เวลาประมาณ 22-23 น.จำเลยที่ 1-3 ผู้ร่วมดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) ของกรมประชาสัมพันธ์ ได้ร่วมกันนำข้อความหมิ่นประมาทโจทก์มาอ่าน ออกอากาศ โดยได้นำคำพิพากษาของศาลจังหวัดสงขลา ที่ถูกคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์พิพากษากลับแล้วมาอ่านผ่านรายการ และแสดงความเห็นเพิ่มเติม โดยเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง อ้างว่าเป็นประเด็นเปรียบเทียบกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงแล้ว คดีของโจทก์ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ทั้งนี้คำพิพากษาของศาลจังหวัดสงขลาได้ถูกพิพากษากลับแล้ว โดยศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 48 ว่า (โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว) มิได้กระทำการยักยอกที่ดินของบุคคลอื่น
ทั้งนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1-3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จากผู้ที่ชมรายการดังกล่าวและเป็นการกระทำผิดมาก่อนหลายครั้งหลายหนแล้ว ซึ่งโจทก์ได้ใช้ความอดทนไม่ดำเนินคดี แต่จำเลยทั้งสาม ยังไม่ยอมหยุดการกระทำดังกล่าว โจทก์จึงจำเป็นต้องอาศัยบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ขณะเดียวกัน จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 มีหน้าที่ควบคุมการออกอากาศ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่องเอ็นบีที กลับละเลยไม่ควบคุม หรือห้ามปราม จำเลยที่ 1-3 ให้หยุดกระทำการอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ จึงถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าวด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ส.ค.51 จำเลยที่ 4 ในฐานะบรรณาธิการ ได้นำข้อความดังกล่าวมาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันประชาทัศน์ ฉบับวันที่ 6 ส.ค.51 โดยรู้ว่า เป็นข้อความหมิ่นประมาทและมีเจตนาให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี โกงที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งไม่เป็นความจริง และโจทก์ไม่เคยโกงทรัพย์สินของผู้ใด ซึ่งศาลได้รับคำฟ้องไว้ และนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 8 ธ.ค. 2551 เวลา 10.00 น.
โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค.51 เวลาประมาณ 22-23 น.จำเลยที่ 1-3 ผู้ร่วมดำเนินรายการ ความจริงวันนี้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เอ็นบีที (ช่อง 11) ของกรมประชาสัมพันธ์ ได้ร่วมกันนำข้อความหมิ่นประมาทโจทก์มาอ่าน ออกอากาศ โดยได้นำคำพิพากษาของศาลจังหวัดสงขลา ที่ถูกคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์พิพากษากลับแล้วมาอ่านผ่านรายการ และแสดงความเห็นเพิ่มเติม โดยเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง อ้างว่าเป็นประเด็นเปรียบเทียบกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งความจริงแล้ว คดีของโจทก์ไม่เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ทั้งนี้คำพิพากษาของศาลจังหวัดสงขลาได้ถูกพิพากษากลับแล้ว โดยศาลอุทธรณ์ ได้พิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 48 ว่า (โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าว) มิได้กระทำการยักยอกที่ดินของบุคคลอื่น
ทั้งนี้ การกระทำของจำเลยที่ 1-3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง จากผู้ที่ชมรายการดังกล่าวและเป็นการกระทำผิดมาก่อนหลายครั้งหลายหนแล้ว ซึ่งโจทก์ได้ใช้ความอดทนไม่ดำเนินคดี แต่จำเลยทั้งสาม ยังไม่ยอมหยุดการกระทำดังกล่าว โจทก์จึงจำเป็นต้องอาศัยบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ขณะเดียวกัน จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 มีหน้าที่ควบคุมการออกอากาศ ของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่องเอ็นบีที กลับละเลยไม่ควบคุม หรือห้ามปราม จำเลยที่ 1-3 ให้หยุดกระทำการอันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ จึงถือได้ว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าวด้วย
ต่อมาเมื่อวันที่ 6 ส.ค.51 จำเลยที่ 4 ในฐานะบรรณาธิการ ได้นำข้อความดังกล่าวมาตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวันประชาทัศน์ ฉบับวันที่ 6 ส.ค.51 โดยรู้ว่า เป็นข้อความหมิ่นประมาทและมีเจตนาให้ผู้อ่านเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี โกงที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งไม่เป็นความจริง และโจทก์ไม่เคยโกงทรัพย์สินของผู้ใด ซึ่งศาลได้รับคำฟ้องไว้ และนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 8 ธ.ค. 2551 เวลา 10.00 น.