xs
xsm
sm
md
lg

แด่นักวิชาการเฮงซวย

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ตั้งแต่เริ่มการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมไม่ค่อยได้เขียนต้นฉบับ หนึ่ง เพราะไม่ค่อยมีเวลา สอง เพราะเพราะผมเข้ามามีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวอยู่ด้วย ดังนั้นจึงอาจถูกกล่าวหาว่า ไม่มีความเป็นกลางในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะผมสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่างแน่นอน

ช่วงหลายเดือนมานี้ผมพยายามรับฟังการสร้างวาทกรรมของนักวิชาการหลายท่านไม่ว่าจะเป็น ชาญวิทย์ เกษตรศิริ สมชาย ศิลปปรีชากุล อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ ธงชัย วินิจจะกูล ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ใจ อึ๊งภากรณ์ ฯลฯ ผมได้ข้อสรุปว่า บุคคลทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้แสดงความเห็นในฐานะนักวิชาการ แต่เป็นการแสดงความเห็นเพื่อบั่นทอนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การกล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ว่านักวิชาการเหล่านี้จะมีความผิด เพราะทุกคนย่อมมีจุดยืนในการสนับสนุนแนวทาง วิธีการ และความคิดที่ตัวเองเห็นดีเห็นงาม และตำหนิฝ่ายที่ตัวเองไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว

ทั้งนี้ผมจะไม่พูดว่า นักวิชาการเหล่านี้ “ไม่เป็นกลาง” เพราะผมเองก็ไม่ชอบคำว่า “ความเป็นกลาง” เพียงแต่ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า ถ้านักวิชาการเหล่านั้นจะสนับสนุนระบอบทักษิณ สนับสนุนพรรคพลังประชาชน ทำไมพวกเขาไม่แสดงจุดยืนและบอกต่อสาธารณะออกมาตรงๆ

การที่เขาใช้ความเห็นในฐานะนักวิชาการออกมาพูดต่อสาธารณะกับการแสดงจุดยืนให้สาธารณชนรู้ก่อนแสดงความเห็นย่อมมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน การแสดงความเห็นโดยอำพรางจุดยืนของตัวเองออกมาในฐานะนักวิชาการจึงเป็นความเห็นทางวิชาการที่เป็นพิษและมอมเมาประชาชน เพราะมุ่งหวังสร้างความโกรธแค้นเกลียดชัง ปลุกปั่นสถานการณ์เสียเอง

ความเห็นทางวิชาการเหล่านั้นจึงกลายเป็นกระบอกเสียงและโฆษณาชวนเชื่อ เป็นกระบอกเสียงของฝักฝ่ายทางการเมืองอย่างสุดหัวใจ ให้ร้ายใส่ความคู่ต่อสู้ด้วยเล่ห์เพทุบายสารพัด

ทั้งหมดนี้ดำเนินไปขณะที่ผู้ประกอบวิชาชีพและวงการวิชาการเฉยเมยต่อความเป็นธรรม หรือทำตัวลู่ตามลม เลือกปฏิบัติปกป้องเฉพาะพวก ลงโทษเฉพาะฝ่าย

เราจึงไม่ได้ยินนักวิชาการจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความเห็นต่อกรณีที่วิทยุชุมชนคนรักอุดร ออกอากาศปลุกปั่นให้คนอุดรที่มีความเห็นตรงข้ามกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาเข่นฆ่าฝ่ายพันธมิตรฯ จนกระทั่งเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่จังหวัดอุดรธานี

จนกระทั่งต้องตั้งคำถามว่า นักวิชาการเหล่านั้นมีจุดยืนต่อสันติวิธีจริงๆหรือ หรือสันติวิธีในความหมายของพวกเขาเลือกปฏิบัติปกป้องเฉพาะพวก ลงโทษเฉพาะฝ่าย

นักวิชาการเหล่านั้นยังไม่มีความเห็นและแสดงจุดยืนที่รักความเป็นธรรมออกมาเลยว่า การที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกคนรักอุดรที่ถูกปลุกปั่นบุกเข้าไปตีล้มลงไปนอนและกระทืบซ้ำ แต่ต่อมากลับเป็นฝ่ายถูกตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นผู้ก่อเหตุ คือ ความเป็นธรรมหรือไม่

ถ้านักวิชาการเหล่านี้มีจุดยืนที่เป็นธรรม (ไม่ว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหน) นักวิชาการเหล่านั้น ต้องกล้าแสดงความเห็นว่า การที่พันธมิตรฯ ชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ หรือทำเนียบรัฐบาล และอยู่ๆ นปก.ยกกำลังมาด้วยความเมามาย มีอาวุธ ไม้ปืน ครบมือ พันธมิตรฯ ควรจะอยู่นิ่งๆ ไม่ตั้งรับ ไม่ป้องกันตัวเอง และปล่อยให้ นปก.เข้ามาทำร้ายแบบที่อุดรธานี อย่างนี้จึงเรียกว่า สันติ อหิงสา ใช่หรือไม่

สิ่งที่เราได้ยินจากปากนักวิชาการที่สนับสนุนระบอบทักษิณก็คือ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงมีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศ ราวกับว่า เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแล้วจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้

เราจึงเห็นนักวิชาการเหล่านี้เพิกเฉยที่ระบอบทักษิณ ภายใต้พรรคพลังประชาชน และระบบเนวินกลั่นแกล้งโยกย้ายข้าราชการที่ไม่สวามิภักดิ์ จัดวางคนที่เป็นพรรคพวกอย่างข้ามขั้นตอน แสวงหาผลประโยชน์และทุจริตคอร์รัปชันอย่างโจ่งครึ่ม

นักวิชาการเหล่านั้นมีความเห็นคล้ายว่า ประชาชนจะต้องยอมจำนน เพราะเราเลือกพรรคการเมืองพรรคนั้นเข้ามาแล้ว เพราะประชาธิปไตยในความหมายของพวกเขาคือ การเลือกตั้ง แต่การแสดงความเห็น การแสดงออกเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่วิถีทางของระบอบประชาธิปไตย

สิ่งที่นักวิชาการเหล่านั้นยึดถือก็คือ ตำราที่ฝรั่งสอนมาว่า ประชาธิปไตยเป็นอย่างนี้ ดังนั้นประชาธิปไตยจึงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ และไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่างของสังคม ประเพณี และวัฒนธรรม แม้ว่าจะสร้าง “การเมืองใหม่” ที่ต่อต้านความฉ้อฉลของนักการเมือง หรือ “ประชาภิวัฒน์” ที่จะให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง นักวิชาการเหล่านี้ก็ยอมรับไม่ได้

เพราะพ่อฝรั่งสอนว่า ถ้าพันธมิตรฯ จะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ต้องตั้งพรรคการเมืองมาลงเลือกตั้งแล้วเอาชนะการเลือกตั้งให้ได้

บางคนจึงเรียกนักวิชาการเหล่านี้ว่า “นักวิชาการสำเร็จรูป” แต่ผมอยากเรียกว่า “นักวิชาการปลากระป๋อง” เสียมากกว่า เพราะทำเป็นอยู่อย่างเดียวคือเปิดปลากระป๋องกิน นักวิชาการเหล่านี้ ทำยำปลากระป๋องไม่เป็น คิดนอกกรอบไม่เป็น ออกจากตำราไม่ได้ แต่พร้อมจะเป็นนายอุดมการ วิชาเกิน และนายอุดมเกิน วิชากลวงได้ ถ้าจะแสดงความเห็นบั่นทอนฝ่ายตรงข้าม

การยืนอยู่ข้างพรรคพลังประชาชน หรือระบอบทักษิณจะเป็นสิ่งที่ดี ถูกต้องหรือไม่ ก็แล้วแต่ความเห็นและมุมมองของแต่ละฝ่าย แต่ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่า ไม่เพียงแต่นักวิชาการเท่านั้น ที่ไม่กล้าแสดงตัวว่าสนับสนุนระบอบทักษิณอย่างตรงไปตรงมา แม้แต่สื่อมวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณ เว็บไซต์ที่สนับสนุนระบอบทักษิณ ก็ไม่กล้าแม้กระทั่งเปิดเผยตัวตน

แสดงว่า การแสดงจุดยืนข้างระบอบทักษิณเป็นเรื่องชั่วร้ายหรือน่าอับอายเช่นนั้นหรือ

เห็นก็แต่เพื่อนผม “หนุ่มเมืองจันท์” สรกล อดุลยานนท์ เท่านั้น ที่กล้าหาญเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า สนับสนุนทักษิณและระบอบทักษิณ เห็นแต่เหวง โตจิราการ เท่านั้นที่เคยบอกว่าทักษิณมันชั่ว และกล้าพูดใหม่ว่า “ผมรักทักษิณ”

เราจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ความเห็นของนักวิชาการต้องมีความรับผิดชอบที่สูงกว่าประชาชนทั่วไป และสูงกว่ากระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายต่างๆ รวมทั้งสูงกว่าสื่อมวลชน ถ้าหากว่าความหมายของสื่อในมุมมองของนักวิชาการที่สอนกันมาผิดๆว่า การทำหน้าที่เป็นเพียงกระจกเงา คนนำสาร และการเป็นกลางทางการเมือง

เมื่อประกอบกับความเข้าใจของสาธารณชน ผลก็คือนักวิชาการของไทยจำนวนหนึ่งกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ใช้อำนาจทำร้ายผู้ที่ไม่มีความรู้ โดยที่คนในวิชาชีพด้วยกันไม่กล้าทักท้วงตรวจสอบ

นักวิชาการเช่นนี้นอกจากจะไม่เป็นคุณต่อประชาธิปไตยแล้ว ยังกลับจะเป็นโทษอีกด้วย เพราะก่อความโกรธ หนุนความหลง และใช้เหตุผลเพียงเพื่อเอาชนะ ส่งผลโน้มน้าวสาธารณชนอย่างผิดๆ และที่สุดสามารถจุดชนวนให้ความแตกต่างทางความเชื่อ และความคิดเห็นกลายเป็นความรุนแรง

หลายคนอ่านความเห็นของผมแล้วคุ้นๆ โดยเฉพาะบางคนที่ผมเอ่ยชื่อข้างต้น แต่ความหมายที่แท้จริงของผมยังรวมถึงนักวิชาการเฮงซวยคนอื่นๆ ทั้งหมดด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น