วันนี้เป็นวันสำคัญของการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง ที่ต้องถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ “17 กันยายน 2551” เนื่องด้วยจะเกิดเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ด้วยกัน กล่าวคือ หนึ่ง การเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตเลือกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ต่อจากอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 267 ในกรณีการเป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยงหกโมงเช้า” และสอง การตัดสินพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีที่ดินรัชดาภิเษกมูลค่า 772 ล้าน ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
เพราะฉะนั้น “วันที่ 17 กันยายน 2551” วันนี้จะเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องเฝ้าติดตามดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “ตาอย่ากะพริบก็แล้วกัน!”
“แสงแดด” และอีกหลายๆ นักวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์การเมือง หรือบรรดา “คอการเมือง” ทั้งหลาย ต่างเป็น “กิ้งกือตกท่อ” หรือต้อง “หักปากกาเซียน” กันเป็นแถวๆ ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ในการคาดการณ์และฟันธงว่า คุณสมัคร สุนทรเวช จะได้หวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา หลังจาก 6 พรรคร่วมรัฐบาลได้ปรึกษาหารือและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะสนับสนุน “ลุงหมัก”
แต่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร “พลิกล็อก” จากหน้ามือเป็นหลังมือในวันรุ่งขึ้น ชนิดที่เรียกว่า เราทุกคน “ตกเก้าอี้!” กันเป็นแถว เพราะคาดไม่ถึงว่า “เกมการเมือง” จะ “เล่นแรง!” กันขนาดนั้น ทำเอา “ลุงหมัก” ต้อง “ถอดใจ” ได้เลย!
ว่าไปแล้ว ความคิดเห็นของประชาชนโดยทั่วไปทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่า นักวิชาการ สื่อสารมวลชน ภาคเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้าแม่ขายทั่วไป ต่างก็ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนอยู่แล้วที่จะให้ “ลุงหมัก” หวนกลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะฟันธงกันถูกเลยว่า “แตกหัก” จนถึงขั้น “นองเลือด” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ไม่มีทางดีขึ้นอย่างเด็ดขาด หนำซ้ำอาจจะ “วิกฤตเลวร้าย!” ไปมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาก “หลุมดำ” ทางการเมือง ที่เป็นจุดกำเนิดของวิกฤตปัญหาการเมืองทั้งหมด ที่เราต้องยอมรับความจริงว่าเกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น ที่สถาปนาการเมือง “ระบอบทักษิณ” ขึ้น ว่าไปแล้วคงจะมิใช่เฉพาะการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว สภาวะสังคม เศรษฐกิจ ต่างทั้งถูกครอบงำและสถาปนาเป็น “ระบอบทักษิณ” หมดจด!
กล่าวคือ “ระบอบทักษิณ” เป็นระบอบที่พุ่งเป้าไปที่ “ฮุบ-ซุก-ควบรวม-กินรวบ” ต่อแผ่นดินไทยทั้งหมด ซึ่งแทบทุกฝ่ายต่างตระหนักดีว่า “เป้าหมาย” ของ “ระบอบทักษิณ” นั้น น่ากลัวเพียงใด และไม่สำคัญเท่ากับว่า จะก่อให้เกิด “ความแตกแยก” ของชาติบ้านเมือง จนอาจจะนำพาไปสู่การแบ่งแยกประเทศออกเป็นสองเสี่ยง ดั่งเช่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ หรือเวียดนามเหนือ-ใต้ ในอดีต
ทั้งนี้ เท่าที่ “แสงแดด” ประมวลและประเมินสถานการณ์ทั้งหมด ถึงความคืบหน้าในคดีความต่างๆ แล้วต้องยอมรับว่า ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มานั้นต่าง “ชี้นิ้ว-ฟันธง” ว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ได้แผลงฤทธิ์เดชอย่างแน่นอน พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า แทบทุกคดีที่ยังค้างอยู่ขณะนี้ของคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น “รอดยาก!” และโอกาสที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกครั้งน่าจะอีกนานแสนนาน!
ประเด็นปัญหาของ “สังคมการเมืองไทย” ที่เราต้องยอมรับว่าบรรดา “เกมการเมือง” ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็น “การต่อรองผลประโยชน์” ทั้งสิ้น โดยแน่นอนที่ “เงิน-ทุน” เป็นปัจจัยสำคัญตลอดกาล จนสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เงินคือพระเจ้า!” สำหรับบ้านนี้เมืองนี้
ส่วนที่จะคำนึงถึง “ผลประโยชน์ประเทศชาติ” นั้นแทบไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สังคมการเมืองไทย” ที่องค์ประกอบสำคัญประกอบด้วย “พรรคการเมือง-นักการเมือง” ซึ่งว่าไปแล้ว ไม่อยากเรียกอย่างสมเกียรติด้วยซ้ำว่า “นักการเมือง” ควรเรียก “นักซื้อตั้ง-นักเลือกตั้ง” น่าจะเหมาะสมที่สุด
“เงิน-ทุน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทุกพรรคการเมืองจะต้องระดมกันให้มากที่สุด เพราะว่า “เงิน” จะเป็น “พาหนะ” สำคัญในการจับจ่ายใช้สอยตั้งแต่ “ซื้อตัว” นักเลือกตั้ง จนไปถึง “การซื้อเสียง” เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตลอดจน “ซื้อตำแหน่ง” และ “เงินเดือน” สำหรับส.ส.ที่สังกัดอยู่ในโควตารายเดือน และแทบทุกครั้งเมื่อมีการโหวตลงมติ “รับรอง-ผ่าน” กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง “เงิน” ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญอีกเช่นเดียวกัน!
โดยสรุปแล้ว การเมืองไทย อะไรๆ ก็ต้อง “เงิน” ทั้งนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้น เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเมืองไทยเป็น “ธุรกิจการเมือง” จนเรียกขานได้เลยว่าเป็น “ธนาธิปไตย” มิใช่ “ประชาธิปไตย” ที่เป็นเพียง “ภาพลวง” ทั้งสิ้น
“ธุรกิจการเมือง” ที่มุ่งเน้นไปที่ “ลงทุน-ถอนทุน” ที่มีทั้งการบวกดอกเบี้ยและกำไรมหาศาลหลายร้อยเท่าตัว ถามว่า จากที่ไหนก็จาก “โครงการ” ต่างๆ ตั้งแต่โครงการระดับหลายสิบล้านไปจนถึงระดับหมื่นล้าน และถามต่อว่า โครงการเหล่านี้เอาเงินมาจากไหน ก็ต้องตอบว่า “ภาษีของเรา” ทั้งนั้น!
“การทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ฝังรากลึกมายาวนานจนยากแก่การถอนรากถอนโคนให้หมดไป เพียงแต่ว่าในอดีตนั้นมิได้มีการทุจริตคดโกงกันมากมายเพียงนี้ และไม่สำคัญเท่ากับว่า “แยบยล-สลับซับซ้อน-ซ่อนเงื่อน” เหมือนกับช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา จากวิธีการของ “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน!”
“การเล่นแร่แปรธาตุ” ด้วยสารพัด “วิชามาร” ของ “นักซื้อตั้ง-นักธุรกิจการเมือง” ยุคใหม่ ยากแสนเข็ญที่ประชาชนธรรมดาสามัญจะ “ตามทัน-รู้ทัน” จะมีก็เพียงแต่กลุ่มประชาชนระดับที่มีความรู้ความเข้าใจที่ละเอียดอ่อน และบรรดาสื่อมวลชนเท่านั้น ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่แตกแยกทุกวันนี้ เกิดจากกลุ่มบุคคลสองกลุ่มนี้ ที่กลุ่มประชาชนระดับรากหญ้า (ล่าง) “คลั่งไคล้-หลงใหล” ในเม็ดเงินที่ถูกโปรยลงมา โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจเลยว่า “เงินบาป” จากภาษีของพวกเราเองทั้งสิ้น กับกลุ่มบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งของ “นักธุรกิจการเมือง” ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้กระทั่งการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ “เงิน” ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอยู่มากเช่นเดียวกัน ซึ่งลือกันว่า “สะพัดหลักหลายร้อยล้าน” กันเลยทีเดียว
จากการได้สดับตรับฟังมาจากหลากหลายแหล่งข้อมูล สรุปว่ามี 2 สำนักความคิดว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ “ล่ม!” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น เกิดจาก
หนึ่ง มีการต่อสายตรงจากกรุงลอนดอนถึงแกนนำในพรรคพลังประชาชน ที่มิใช่ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” แต่ที่ลับสุดยอดที่สุดน่าจะเป็นถึง “พรรคร่วม 5 พรรค” กลางดึก ว่า “ต้องเบี้ยว” ไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ เพื่อสกัดกั้นการเสนอชื่อ “ลุงหมัก” หวนกลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกคำรบหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ต้องการ “หักหลัง” พร้อม “สั่งสอน” คุณสมัคร สุนทรเวช ที่ “เปลี๋ยนไป๋!” หลังจากนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเรียบร้อยเมื่อต้นไป 2551 พร้อมกันนี้ก็ “ตัดทิ้ง” กลุ่มเพื่อนเนวิน ด้วยเช่นเดียวกัน โดย “ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 ตัว” กล่าวคือ ดันน้องเขยคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะ “ตั้งท่า-วางหมาก” ไว้หลายเดือนแล้ว พร้อมกับสกัดกั้น “ลุงหมัก-เนวิน” ให้หลุดขั้ววงจรสายตรงลอนดอนไป เนื่องจาก “เนรคุณ!”
สอง อีกสำนักหนึ่งบอกว่า มีนายทหารใหญ่ อดีต คมช.โทรศัพท์ติดต่อแกนนำทั้ง 6 พรรค ให้เกิด “สภาล่ม” เพื่อสกัดกั้น “ลุงหมัก” ถ้าเกิดการขัดขืน โอกาส “แอ่น-แอ๊น” หรือ “รัฐประหาร” อาจเกิดขึ้นได้
“แสงแดด” ไม่ค่อยมั่นใจกับแนวความคิดของ “สำนักสอง” กรณีทหาร แต่น่าจะเป็น “สำนักหนึ่ง” มากกว่า ทั้งนี้ เป็นเพียงการวิเคราะห์และสดับตรับฟังมาเท่านั้น เท็จจริงเป็นอย่างไร มิอาจล่วงรู้ชัดเจนได้
ถ้าเป็นกรณี “สำนักข้อมูล-ข้อสมมติฐานหนึ่ง” แน่นอนที่ต้องมี “การเจรจาต่อรอง” ด้วย “เงินก้อนโต!” เพราะด้วย “ธรรมชาติของการเมืองไทย” ที่ “เงินคือพระเจ้า!”
เพราะฉะนั้น ในวันนี้การยกมือโหวตของบรรดาส.ส.จาก 6 พรรคร่วมรัฐบาล ปัจจัยสำคัญของ “การยกมือ-ตัดสินใจ” นั้น ล้วนก่อกำเนิดมาจาก “เงิน” ทั้งสิ้น
ปัญหาการเมืองไทย จะยังวนเวียนอยู่กับ “เงิน” ไปอีกนานแสนนาน แต่มากที่สุดก็ช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา และจะเลยเถิดไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี เนื่องด้วย “นายทุน-นายใหญ่” ยังมี “เงินจำนวนมหาศาล” ที่จะ “พลิกฟ้าพลิกดิน!” ชาติบ้านเมืองได้
ขอย้ำอีกครั้งว่า “เงินคือพระเจ้า” ไปแล้วสำหรับ “สังคมโลก” แต่เมืองไทยนั้น “คุณธรรม-จริยธรรม” และ “ความรักชาติ” ของบรรดา “นักเลือกตั้ง-นักซื้อตั้ง” ไม่เคยจุติในความคิดความอ่านอยู่แล้ว เพราะการเมืองทุกวันนี้ “วิชามาร” ที่สำคัญที่สุดคือ “เงิน”
“เงินคือพระเจ้า” และ “การเมืองการปกครองไทย” ก็จะจมปลักหายนะเช่นนี้อีกนาน!
เพราะฉะนั้น “วันที่ 17 กันยายน 2551” วันนี้จะเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเราจะต้องเฝ้าติดตามดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า “ตาอย่ากะพริบก็แล้วกัน!”
“แสงแดด” และอีกหลายๆ นักวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์การเมือง หรือบรรดา “คอการเมือง” ทั้งหลาย ต่างเป็น “กิ้งกือตกท่อ” หรือต้อง “หักปากกาเซียน” กันเป็นแถวๆ ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ในการคาดการณ์และฟันธงว่า คุณสมัคร สุนทรเวช จะได้หวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา หลังจาก 6 พรรคร่วมรัฐบาลได้ปรึกษาหารือและมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะสนับสนุน “ลุงหมัก”
แต่เพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร “พลิกล็อก” จากหน้ามือเป็นหลังมือในวันรุ่งขึ้น ชนิดที่เรียกว่า เราทุกคน “ตกเก้าอี้!” กันเป็นแถว เพราะคาดไม่ถึงว่า “เกมการเมือง” จะ “เล่นแรง!” กันขนาดนั้น ทำเอา “ลุงหมัก” ต้อง “ถอดใจ” ได้เลย!
ว่าไปแล้ว ความคิดเห็นของประชาชนโดยทั่วไปทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่า นักวิชาการ สื่อสารมวลชน ภาคเอกชน นิสิตนักศึกษา พ่อค้าแม่ขายทั่วไป ต่างก็ไม่เห็นด้วย และไม่สนับสนุนอยู่แล้วที่จะให้ “ลุงหมัก” หวนกลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะฟันธงกันถูกเลยว่า “แตกหัก” จนถึงขั้น “นองเลือด” อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ไม่มีทางดีขึ้นอย่างเด็ดขาด หนำซ้ำอาจจะ “วิกฤตเลวร้าย!” ไปมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาก “หลุมดำ” ทางการเมือง ที่เป็นจุดกำเนิดของวิกฤตปัญหาการเมืองทั้งหมด ที่เราต้องยอมรับความจริงว่าเกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น ที่สถาปนาการเมือง “ระบอบทักษิณ” ขึ้น ว่าไปแล้วคงจะมิใช่เฉพาะการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว สภาวะสังคม เศรษฐกิจ ต่างทั้งถูกครอบงำและสถาปนาเป็น “ระบอบทักษิณ” หมดจด!
กล่าวคือ “ระบอบทักษิณ” เป็นระบอบที่พุ่งเป้าไปที่ “ฮุบ-ซุก-ควบรวม-กินรวบ” ต่อแผ่นดินไทยทั้งหมด ซึ่งแทบทุกฝ่ายต่างตระหนักดีว่า “เป้าหมาย” ของ “ระบอบทักษิณ” นั้น น่ากลัวเพียงใด และไม่สำคัญเท่ากับว่า จะก่อให้เกิด “ความแตกแยก” ของชาติบ้านเมือง จนอาจจะนำพาไปสู่การแบ่งแยกประเทศออกเป็นสองเสี่ยง ดั่งเช่น เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ หรือเวียดนามเหนือ-ใต้ ในอดีต
ทั้งนี้ เท่าที่ “แสงแดด” ประมวลและประเมินสถานการณ์ทั้งหมด ถึงความคืบหน้าในคดีความต่างๆ แล้วต้องยอมรับว่า ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มานั้นต่าง “ชี้นิ้ว-ฟันธง” ว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ได้แผลงฤทธิ์เดชอย่างแน่นอน พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า แทบทุกคดีที่ยังค้างอยู่ขณะนี้ของคุณทักษิณ ชินวัตร นั้น “รอดยาก!” และโอกาสที่จะกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกครั้งน่าจะอีกนานแสนนาน!
ประเด็นปัญหาของ “สังคมการเมืองไทย” ที่เราต้องยอมรับว่าบรรดา “เกมการเมือง” ทั้งหลายทั้งปวงนั้น เป็น “การต่อรองผลประโยชน์” ทั้งสิ้น โดยแน่นอนที่ “เงิน-ทุน” เป็นปัจจัยสำคัญตลอดกาล จนสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “เงินคือพระเจ้า!” สำหรับบ้านนี้เมืองนี้
ส่วนที่จะคำนึงถึง “ผลประโยชน์ประเทศชาติ” นั้นแทบไม่ต้องพูดถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สังคมการเมืองไทย” ที่องค์ประกอบสำคัญประกอบด้วย “พรรคการเมือง-นักการเมือง” ซึ่งว่าไปแล้ว ไม่อยากเรียกอย่างสมเกียรติด้วยซ้ำว่า “นักการเมือง” ควรเรียก “นักซื้อตั้ง-นักเลือกตั้ง” น่าจะเหมาะสมที่สุด
“เงิน-ทุน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทุกพรรคการเมืองจะต้องระดมกันให้มากที่สุด เพราะว่า “เงิน” จะเป็น “พาหนะ” สำคัญในการจับจ่ายใช้สอยตั้งแต่ “ซื้อตัว” นักเลือกตั้ง จนไปถึง “การซื้อเสียง” เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตลอดจน “ซื้อตำแหน่ง” และ “เงินเดือน” สำหรับส.ส.ที่สังกัดอยู่ในโควตารายเดือน และแทบทุกครั้งเมื่อมีการโหวตลงมติ “รับรอง-ผ่าน” กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง “เงิน” ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญอีกเช่นเดียวกัน!
โดยสรุปแล้ว การเมืองไทย อะไรๆ ก็ต้อง “เงิน” ทั้งนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบ ดังนั้น เราไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเมืองไทยเป็น “ธุรกิจการเมือง” จนเรียกขานได้เลยว่าเป็น “ธนาธิปไตย” มิใช่ “ประชาธิปไตย” ที่เป็นเพียง “ภาพลวง” ทั้งสิ้น
“ธุรกิจการเมือง” ที่มุ่งเน้นไปที่ “ลงทุน-ถอนทุน” ที่มีทั้งการบวกดอกเบี้ยและกำไรมหาศาลหลายร้อยเท่าตัว ถามว่า จากที่ไหนก็จาก “โครงการ” ต่างๆ ตั้งแต่โครงการระดับหลายสิบล้านไปจนถึงระดับหมื่นล้าน และถามต่อว่า โครงการเหล่านี้เอาเงินมาจากไหน ก็ต้องตอบว่า “ภาษีของเรา” ทั้งนั้น!
“การทุจริต-ฉ้อราษฎร์บังหลวง” จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ฝังรากลึกมายาวนานจนยากแก่การถอนรากถอนโคนให้หมดไป เพียงแต่ว่าในอดีตนั้นมิได้มีการทุจริตคดโกงกันมากมายเพียงนี้ และไม่สำคัญเท่ากับว่า “แยบยล-สลับซับซ้อน-ซ่อนเงื่อน” เหมือนกับช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา จากวิธีการของ “ทุจริตเชิงนโยบาย” และ “ผลประโยชน์ทับซ้อน!”
“การเล่นแร่แปรธาตุ” ด้วยสารพัด “วิชามาร” ของ “นักซื้อตั้ง-นักธุรกิจการเมือง” ยุคใหม่ ยากแสนเข็ญที่ประชาชนธรรมดาสามัญจะ “ตามทัน-รู้ทัน” จะมีก็เพียงแต่กลุ่มประชาชนระดับที่มีความรู้ความเข้าใจที่ละเอียดอ่อน และบรรดาสื่อมวลชนเท่านั้น ปัญหาของชาติบ้านเมืองที่แตกแยกทุกวันนี้ เกิดจากกลุ่มบุคคลสองกลุ่มนี้ ที่กลุ่มประชาชนระดับรากหญ้า (ล่าง) “คลั่งไคล้-หลงใหล” ในเม็ดเงินที่ถูกโปรยลงมา โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจเลยว่า “เงินบาป” จากภาษีของพวกเราเองทั้งสิ้น กับกลุ่มบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งของ “นักธุรกิจการเมือง” ที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้กระทั่งการเลือกนายกรัฐมนตรีที่จะมีขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ “เงิน” ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญอยู่มากเช่นเดียวกัน ซึ่งลือกันว่า “สะพัดหลักหลายร้อยล้าน” กันเลยทีเดียว
จากการได้สดับตรับฟังมาจากหลากหลายแหล่งข้อมูล สรุปว่ามี 2 สำนักความคิดว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ “ล่ม!” เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น เกิดจาก
หนึ่ง มีการต่อสายตรงจากกรุงลอนดอนถึงแกนนำในพรรคพลังประชาชน ที่มิใช่ “กลุ่มเพื่อนเนวิน” แต่ที่ลับสุดยอดที่สุดน่าจะเป็นถึง “พรรคร่วม 5 พรรค” กลางดึก ว่า “ต้องเบี้ยว” ไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ เพื่อสกัดกั้นการเสนอชื่อ “ลุงหมัก” หวนกลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอีกคำรบหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็หมายความว่า ต้องการ “หักหลัง” พร้อม “สั่งสอน” คุณสมัคร สุนทรเวช ที่ “เปลี๋ยนไป๋!” หลังจากนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเรียบร้อยเมื่อต้นไป 2551 พร้อมกันนี้ก็ “ตัดทิ้ง” กลุ่มเพื่อนเนวิน ด้วยเช่นเดียวกัน โดย “ยิงปืนนัดเดียว ได้นก 2 ตัว” กล่าวคือ ดันน้องเขยคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะ “ตั้งท่า-วางหมาก” ไว้หลายเดือนแล้ว พร้อมกับสกัดกั้น “ลุงหมัก-เนวิน” ให้หลุดขั้ววงจรสายตรงลอนดอนไป เนื่องจาก “เนรคุณ!”
สอง อีกสำนักหนึ่งบอกว่า มีนายทหารใหญ่ อดีต คมช.โทรศัพท์ติดต่อแกนนำทั้ง 6 พรรค ให้เกิด “สภาล่ม” เพื่อสกัดกั้น “ลุงหมัก” ถ้าเกิดการขัดขืน โอกาส “แอ่น-แอ๊น” หรือ “รัฐประหาร” อาจเกิดขึ้นได้
“แสงแดด” ไม่ค่อยมั่นใจกับแนวความคิดของ “สำนักสอง” กรณีทหาร แต่น่าจะเป็น “สำนักหนึ่ง” มากกว่า ทั้งนี้ เป็นเพียงการวิเคราะห์และสดับตรับฟังมาเท่านั้น เท็จจริงเป็นอย่างไร มิอาจล่วงรู้ชัดเจนได้
ถ้าเป็นกรณี “สำนักข้อมูล-ข้อสมมติฐานหนึ่ง” แน่นอนที่ต้องมี “การเจรจาต่อรอง” ด้วย “เงินก้อนโต!” เพราะด้วย “ธรรมชาติของการเมืองไทย” ที่ “เงินคือพระเจ้า!”
เพราะฉะนั้น ในวันนี้การยกมือโหวตของบรรดาส.ส.จาก 6 พรรคร่วมรัฐบาล ปัจจัยสำคัญของ “การยกมือ-ตัดสินใจ” นั้น ล้วนก่อกำเนิดมาจาก “เงิน” ทั้งสิ้น
ปัญหาการเมืองไทย จะยังวนเวียนอยู่กับ “เงิน” ไปอีกนานแสนนาน แต่มากที่สุดก็ช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา และจะเลยเถิดไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี เนื่องด้วย “นายทุน-นายใหญ่” ยังมี “เงินจำนวนมหาศาล” ที่จะ “พลิกฟ้าพลิกดิน!” ชาติบ้านเมืองได้
ขอย้ำอีกครั้งว่า “เงินคือพระเจ้า” ไปแล้วสำหรับ “สังคมโลก” แต่เมืองไทยนั้น “คุณธรรม-จริยธรรม” และ “ความรักชาติ” ของบรรดา “นักเลือกตั้ง-นักซื้อตั้ง” ไม่เคยจุติในความคิดความอ่านอยู่แล้ว เพราะการเมืองทุกวันนี้ “วิชามาร” ที่สำคัญที่สุดคือ “เงิน”
“เงินคือพระเจ้า” และ “การเมืองการปกครองไทย” ก็จะจมปลักหายนะเช่นนี้อีกนาน!