xs
xsm
sm
md
lg

อุตฯกองทุนรวม แข็งแกร่งฝ่ามรสุม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยอาจจะดูแย่ แต่อุตสาหกรรมกองทุนรวมก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ แม้เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าออกกองทุนเป็นว่าเล่น ยอดเงินลงทุนรวมทั้งระบบยังขยับตัวเพิ่มแตะ 1.46 ล้านล้านบาท”

ความไม่แน่นอนนั้นมีอยู่จริงเสมอ...กับทุกๆเรื่องที่เกิดขึ้นในรอบตัวเรา ไม่ใช่ว่าจะเป็นเพียงแต่การดำรงชีวิตประจำวันเท่านั้น ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ตอนใกล้ช่วงสิ้นปี 2550 หลายคนคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากประชาธิปไตย หลังหมดยุค รัฐบาลขิ่งแก่ น่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวได้มากว่า 2 ปีที่ผ่านมา แต่...อนิจจา รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ทำได้ถึงเพียงนั้นแล้วหรือ เพราะนี่ก็ 7 เดือนผ่านพ้นไปแล้ว

ข้ออ้างต่างๆนานา ที่เป็นสาเหตุทำให้เศรษฐกิจของประเทศ (นอกเหนือจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ) แถบฟังไม่ขึ้น เสมือนกับเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุด หรือเพราะมัวแต่ไม่ยุ่งเงินของใครอยู่เลยลืมเอาใจใส่กับภาวะลมมรสุมที่โหมเข้ากระทบความเชื่อมั่นด้านการลงทุน

เริ่มกันที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เกจิอาจารย์ชั้นดี รวมถึงกูรู (ข้ารู้) ต่างประสานเสียงกันในช่วงส่งท้ายปีหมูทองว่า ปีหน้าหนูทอง (ชวด) ดัชนีหุ้นมีลุ้นแตะ 900 จุด หรือไม่น่าเกลียดที่ 890 จุด แต่ที่ผ่านมาดุท่าจะเป็นไปเหมือนชื่อปี (ชวด) เสียแล้ว เพราะตั้งแต่ประมาณปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นเลือดลมไม่ปกติดิ่งลงอย่างกับตกท่อระบายน้ำที่ลืมปิดฝา หรือไม่ก็ดีดตัวขึ้นเหมือนเจ้าเข้า แผลงฤทธิ์ขึ้นที่ 20 – 30 จุด (แต่ที่ดิ่งลงแทบทุกวันอย่างต่ำก็ 10 จุดขึ้นไป ไม่เชื่อลองไปถาม ปตท. ดู)

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ได้รับทราบเมื่อเร็วๆนี้ จากราคาน้ำมันโลกที่ลดลงต่อเนื่อง จนทำให้หลายๆคนฝันวาน ว่าเป็นสัญญาณดีต่อหุ้นไทย และตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะราคาน้ำมันที่สูงส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงไป ดังนั้นแล้วจึงมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะพุ่งกลับขึ้นไปได้ถึงระดับ 100 จุด ในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายนี้ เรียกได้ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆล่ะก็ คอยรอดูบทวิเคราะห์จากบรรดาบริษัทหลักทรัพย์จะเชียร์ซื้อกันอย่างเต็มที่

ต่อกันที่ราคาน้ำมัน เรียกได้ว่าเป็นการหักปากกาเซียนไปหลายด้าม สำหรับในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพราะแค่ในช่วงปลายไตรมาสแรก ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 2 ก็ไม่มีทีท่าจะหยุดไต่ทำราคาที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรียกว่าถ้าเป็นนักกีฬาโอลิมปิก ก็ทำลายสถิติเป็นว่าเล่น แต่ตอนนี้ช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ ก็ดูเหมือนหมดฤทธิ์ คลายตัวลงมาแตะอยู่ที่ 113 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

มาถึงเรื่องของอุตสาหกรรมกองทุนรวม ปีนี้ใครก็เชื่อว่าจะเป็นปีทองที่ตัวเลขเม็ดเงินภายใต้การบริหารของบลจ.ทุกค่าย จะขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 20% จากปี 2550 ซึ่งมีเม็ดเงินอยู่ที่ 1.42 ล้านล้านบาท ผลปรากฏว่า 7 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 2% นี่ก็ไม่รู้ว่าจะอาศัยยาแรงขนานไหน มาอัดฉีดให้ 5 เดือนที่เหลือตัวเลขจะวิ่งหมุนติ้วขึ้นไปแตะได้ตามเป้า

ทั้งนี้ส่วนหนึ่งหนีไม่พ้นเป็นเพราะการแข่งขันในด้านดอกเบี้ยเงินฝากของบรรดาธนาคารพาณิชย์ ทั้งยักษ์เล็ก ยักษ์ใหญ่ ที่โหมกระหน่ำออกโปรโมชั่นพิเศษมาล่อใจลูกค้า นักลงทุนนั่นเอง เรียกว่าแม้มูลค่าเม็ดเงินลงทุนรวมทั้งระบบแม้จะไม่หดหายไป แต่อัตราการเติบโตก็ได้แค่เล็กน้อย โตไม่เท่าปลูกถั่วเขียว บนสำลี และดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้ต่อไปจนถึงใกล้ช่วงกลางของไตรมาสสุดท้ายปี...ชวด เสียด้วย เพราะมีการคาดการณ์ว่า สงครามการแข่งขันอันดุของเหล่าแบงก์จะยุติลงไป และจากการมีผลบังคับใช้ของพ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากเมื่อเร็วนี้ ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งผลให้ ผู้ฝากเงินเริ่มหันมาสนใจ มองการลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่ากองทุนมันนี มาร์เก็ต กองทุนตราสารหนี้ กองทุนคุ้มครองเงินต้น หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

อย่างไรก็ตาม หาใช่ว่าจะมีเพียงกองทุนรวมเพียงอย่างที่ ที่จะสามารถเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้แก้ผู้ฝากเงินได้ เพราะยังมีอักหลากหลายช่องทางการลงทุน เพราะอุตสาหกรรมประกันชีวิต ก็สามารถสร้างสรรค์สินค้าล่อใจประชาชนได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะจ่ายถูก แล้วได้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจแล้ว ผู้เอากรมธรรม์ ยังได้รับสิทธิความคุ้มครองในด้านชีวิต และสุขภาพร่างกายอีกด้วย เรียกว่าตรงนี้อาจถูกใจคนรายได้น้อยๆไปเลย นับว่าเป็นคู่แข่งขันที่ผู้ประกอบการด้านธุรกิจกองทุนรวม ไม่ควรปล่อยให้รอดพ้นสายตา แม้บลจ.บางค่ายมีแผนที่จะใช้ตัวแทนประกันนี่ล่ะเข้ามาช่วยสร้างสีสัน และยอดขายให้กับธุรกิจก็ตาม

ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา หันไปทางไหนในแวดวงธุรกิจกองทุนรวม คำว่า *“การลงทุนเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ” ดูจะเป็นที่ติดปากไปหมด บรรดาบลจ.ต่างประดิษฐ์คิดค้น กองทุนในลักษณะใหม่ออกมานำเสนออยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนภายในประเทศ หรือภายนอกประเทศ บางกองทุนก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากมาย อาทิ การลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ซี่งเรียกได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นกองทุนอีกประภทหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และชนะใจผู้ลงทุนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง

แม้ตอนนี้การลงทุนในพันธบัตรเกาหลีจะเริ่มเงียบหายไป และการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินในทวีปยุโรป (ECP) จะเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่ช่วงนี้ก็ดูไม่มีความหวือหวา เหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังมีเสือซุ่มเงียบ อีกประเภทที่ได้รับการยอมรับและความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่ว่างเว้น แม้กระแสจะไม่แรงเท่าพันธบัตรจากแดนอารีดัง นั่นคือ การลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ในประเทศออสเตรเลีย – นิวซีแลนด์ ซึ่งเห็นได้จากการไม่ปิดความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยผู้จัดการกองทุนอ้างว่า จุดนี้จะมีโอกาสทำให้ผู้ลงทุนได้รับผลตอบแทนเพิ่ม แต่ในทั่วไปก็หมายถึงมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจากผลตอบแทนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้กองทุนประเภทนี้ยังได้รับความสนใจเช่นเดิม

ต่อกันที่กองทุนมันนี มาร์เก็ต ซึ่งนับเป็นอีกกองทุนหนึ่งที่บลจ.หลายค่าย ต่างออกมานำเสนอ ถึงความสะดวกในการเข้าใจบริการ ที่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์แหล่งพักเงิน ก็ถือว่านี่คืออีกช่องทางหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเช่นกัน เห็นได้จากข่าวสารที่ทำการเผยแพร่สาธารณชน ถึงการนำกองทุนประเภทนี้เข้าไปเป็นเครื่องมือเสริมแก่นักลงทุนประเภทต่างๆยามตลาดหุ้นมีความผันผวน รวมทั้งเหมาะกับผู้ที่สนใจปรับลดยอดเงินฝาก และหันมาลงทุนเพิ่มเติม จากอารมณ์ความตื่นกลัว และความไม่มั่นใจหลังพ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝาก เริ่มมีผลบังคับใช้ รวมถึงการถูกกระตุ้นโดยสื่อ และข่าวสารที่ผ่านเนื้อหาโฆษณา จนอดใจไว้ไม่ได้ (เพราะผลตอบแทนที่ได้รับสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก อีกทั้งได้รับสิทิประโยชน์ทางภาษี)

ขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ที่ใครต่อใคร เชื่อว่านี่จะเป็นปีทองของกองทุนประเภทนี้ แต่จากที่ภาครัฐได้มีการปลดล็อคมาตรการกันสำรอง 30% ปรากฏว่ากองทุนประเภทดังกล่าวมีการเปิดโต๊ะรับจองหน่วยลงทุนแค่ไม่กี่โครงการ ด้วยเหตุผลที่ว่า จำเป็นต้องหาสินทรัพย์ที่ดีที่สุดเพื่อสร้างผลตอบแทนดีที่สุดให้แก่ลูกค้า นั่นเอง ...แต่แว่วๆมาว่า กองทุนประเภทนี้หากมีสินทรัพย์ในด้านที่เกี่ยวกับการบริการ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานแล้ว จะยิ่งมีเสน่ห์ดึ่งดูดเม็ดเงินได้เป็นอย่างดี ดังนั้นช่วงที่ผ่านจึงมีข่าวคราวเข้ามาอยู่เสมอว่า จะมีบางบริษัทจัดตั้งกองทุน ด้วยการนำสนามบินดอนเมือง หรือการนำพื้นที่ของท่าเรือเข้ามาบริหาร เพราะจะมีผู้ใช้บริการโดยตลอด โดยดูได้จากตัวเลขข้อมูลการส่งออกของประเทศที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะต้อผจญกับปัญหาราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ก็นับว่ามีความสนใจไม่น้อย หากสามารถนำสินทรัพย์ประเภทดังกล่าวเข้าจัดตั้งเป็นกองทุน

ทั้งนี้ โดยรวม ในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยอาจจะดูแย่ แต่อุตสาหกรรมกองทุนรวมก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ แม้เม็ดเงินจำนวนมากไหลเข้าออกกองทุนเป็นว่าเล่น ยอดเงินลงทุนรวมทั้งระบบยังขยับตัวเพิ่มแตะ 1.46 ล้านล้านบาท ส่วนการครบกำหนดอายุกองทุนECP ที่เปิดขายในปีที่ผ่านมาและมาหมดรอบลงในช่วงนี้ ก็ยังมีกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทอื่นๆเข้ามาทดแทนที่ได้เป็นอย่างดี ทำให้เม็ดเงินโดยรวมทั้งระบบไม่หดหาย ไปอย่างหยดน้ำที่โดนแสงแดดแผดเผาจนระเหยเป็นไอ

ส่วนกองทุนหุ้นนั้น แม้จากภาวะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจนส่งผลให้ผลตอบแทนและราคาหน่วยงทุนปรับตัวลดลงนั้น หลายเสียงหลายฝ่ายมองว่านี่จะเป็นโอกาสดีในการเข้าเก็บของถูกกันแล้ว จึงขาดว่าผลตอบแทนจะดีดตัวกลับมาดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีความใจเย็นเป็นที่ตั้ง และรักในการถือลงทุนระยะยาว ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาการลงทุนผ่านกองทุนรวมประเภทนี้

สุดท้ายนี้ภาพรวมทั้งปี 2551 จะเป็นอย่างไร..ยังเหมือนภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องยาวที่ชวนให้ติดตามชมกันต่อไป โดยทีมงาน “ผู้จัดการกองทุนรวม”จะนำเสนอเรื่องราวการลงทุนในอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ใครคาดหวังอะไรไว้สูง น่าที่จะปรับลดความคาดหวังนั้นลงมาสักนิด เพราะอนาคต..ไม่มีอะไรที่เดา หรือฟันธงได้เต็มที่ การศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่เสมอ.....
กำลังโหลดความคิดเห็น