xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.ป้องแบงก์ลงทุนไม่ถึงหมื่นล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - บิ๊ก ธปท.เปิดแถลงข่าวด่วน ปกป้องแบงก์พาณิชย์ไทยลงทุนเกี่ยวข้องเลห์แมนฯ ไม่ถึงหมื่นล้านบาท เผยปล่อยกู้-ลงทุนตราสารหนี้ 4.3 พันล้าน ส่วนตราสารอนุพันธ์ 5.3 พันล้าน พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นรายวัน ส่วนความเสียหายที่ควรตั้งสำรองขึ้นอยู่กับบริษัทลูกของเลห์แมนที่ทำธุรกรรมโดยตรงกับแบงก์

นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยบางแห่งจากทั้งหมด 14 แห่งได้รับผลเฉพาะการทำธุรกรรมระหว่างประเทศเท่านั้น คือ มีการให้สินเชื่อและการลงทุนตราสารหนี้ที่ออกโดยเลห์แมนจำนวน 4,300 ล้านบาท ถือว่ามีมูลค่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในซีดีโอของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา และมูลค่าการลงทุนสินทรัพย์ในต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งระบบที่มีทั้งสิ้น 102,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.30%ของสินทรัพย์รวมทั้งระบบที่มีอยู่ 8.1 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทเลห์แมน บราเธอร์สไม่ได้เปิดสาขาในไทย

นอกจากนี้ ยังมีรายการนอกงบดุลการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ คิดเป็นมูลค่าตามสัญญา 5,300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สามารถส่งมอบได้ก่อนกำหนด ซึ่งมีไม่ถึงหลัก 100 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาในการชำระจริงมูลค่าค่อนข้างต่ำ ฉะนั้นผลกระทบทางตรงต่อธนาคารพาณิชย์ไทยในวงจำกัดเท่านั้น จึงไม่มีผลต่อการถือหุ้นของสถาบันการเงินไทย

“สภาพคล่องในการปล่อยสินเชื่อกว่า 70% เกิดจากการระดมเงินฝากภายในประเทศ ไม่ได้พึ่งพาเงินทุนจากนอกประเทศ และการลงทุนในต่างประเทศของสถาบันการเงินไทยก็ไม่มาก รวมทั้งแบงก์ก็มีฐานะการเงินที่ดีเห็นได้จากกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 1-2 ที่ผ่านมา หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)ก็มีแนวโน้มลดลง และเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส เรโช)อยู่ในระดับ 15.2% สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ขณะเดียวกันแบงก์ไทยมีความระมัดระวังในการลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่วนแบงก์ชาติเองก็มีการกำชับถึงความเสี่ยงสถานการณ์ในต่างประเทศเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติในช่วงต่อไปจำเป็นต้องมีการติดตามแบบรายวัน และธนาคารพาณิชย์จะต้องมีการติดตามภาวะตลาดต่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า เพื่อให้สามารถปรับตัวเองได้ หลังจากตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมีความเป็นห่วงสินทรัพย์ของสหรัฐมาก ทำให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากภูมิภาคเอเชียไหลกลับไปยังสหรัฐจำนวนมาก

“แม้การยื่นล้มละลายเกิดขึ้นเฉพาะบริษัทแม่ แต่บริษัทลูกของเลห์แมนฯ ที่ธนาคารพาณิชย์ไทยมีการทำธุรกรรมร่วมกันก็ต้องติดตามดูต่อไปว่าจะได้รับผลกระทบจากบริษัทแม่มากน้อยแค่ไหน หรือมีการปรับองค์กรหรือเปลี่ยนมือเจ้าของอื่นมาช่วยแก้ไขปัญหาหรือไม่และต้องดูว่าสุดท้ายแล้วทำให้สินทรัพย์ที่แบงก์เข้าไปลงทุนจะมีการด้อยค่าหรือไม่ หากมีแบงก์ต้องมีการกันสำรอง”รองผู้ว่าการธปท.กล่าว

นายบัณฑิต กล่าวว่า สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์การเงินโลกนั้น การที่บริษัทเลห์แมนฯ ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการล้มละลายของศาล แม้จะมีผลภาคการเงินของสหรัฐตามมาบ้าง แต่เชื่อว่าผลกระทบอยู่ในขอบเขตจะบริหารจัดการได้ เนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ไปบ้างพอสมควร อีกทั้งได้มีการปรับตัวไปล่วงหน้าแล้ว ทำให้รองรับกับผลที่เกิดขึ้น ซึ่งเห็นได้จากตลาดหุ้นในสหรัฐมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะดูแลไม่ให้กระทบวงกว้าง โดยเฉพาะในส่วนของการเงินในต่างประเทศ

ด้านนายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลกระทบต่อประเทศไทยจากกรณีการล้มละลายของเลห์แมนฯ นั้น ในระยะสั้นคงจะไม่ส่งผลมากนัก โดยเฉพาะในส่วนของการโยกเงินออกนั้น ยังไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ซึ่งในส่วนนี้ก็คงต้องดูในระยะต่อไปว่าแนวทางในการแก้ไขปัญหาจะเป็นอย่างไร ต้องใช้เงินเพิ่มทุนหรือไม่ รวมทั้งต้องดูว่าวิกฤตสถาบันการเงินครั้งนี้จะลุกลามไปมากขนาดไหน เพราะเท่าที่มีข่าวออกมาบทวิเคราะห์ต่างๆ ก็บ่งชี้ว่าจะยังมีสถาบันการเงินอีกหลายแห่งที่จะประสบปัญหาตามมา

สำหรับผลกระทบต่อประเทศไทยนั้น ในส่วนของภาคการเงินหรือสถาบันการเงินจะไม่น่าเป็นห่วง แต่จะต้องพิจารณาในแง่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะมีปัญหามากขึ้น เกิดการชะลอตัวมากขึ้น และจะกระทบต่อการส่งออกซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทย รวมถึงด้านการลงทุนที่อาจจะมีการชะลอการลงทุนหรือถอนการลงทุนลงไปเพื่อนำเงินไปแก้ปัญหาของสถาบันการเงิน เป็นต้น

"จริงๆแล้วข่าวการล้มละลายของเลห์แมนนั้น ไม่ได้เซอร์ไพร้สเท่าไหร่ เพราะมีข่าวออกมาอยู่เรื่อยๆตั้งแต่ต้นปี หลังสแตนเบิร์นประสบปัญหา อันนี้เป็นการคอนเฟิร์ม แต่สิ่งที่สร้างความกังวลให้นักลงทุนก็คือเรื่องของวิกฤตซับไพรม์ที่ยังไม่จบ ไม่ลดลง แต่มีแนวโน้มจะมากขึ้น ซึ่งก็คงจะใช้เวลาอีกเป็นปีกว่าปัญหานี้จะจบลง".
กำลังโหลดความคิดเห็น