xs
xsm
sm
md
lg

แผนอำมหิต ทำลายศาลยุติธรรม !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ในที่สุดขบวนการแบกหาม “ศพเน่า” ก็ต้องยุติลงชั่วคราว หลังจากที่ถูกกระแสต่อต้านจากสังคมทุกทิศทาง ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 6 พรรคไม่กล้าเสนอชื่อสมัคร สุนทรเวช กลับมาเป็นผู้นำ“หอกหัก” อีกรอบ

ประกอบกับยังมีการแบ่งปันผลประโยชน์และอำนาจไม่ลงตัว เมื่อยังตกลงกันไม่ได้ก็ต้องวงแตกชั่วคราว ต่างคนต่างถอยออกไปตั้งหลักก่อน

แรงต้าน สมัคร ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง เพราะถือว่าบุคคลคนนี้หมดความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง อย่าว่าจะหน้าด้านกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบเลย แค่ตำแหน่ง ส.ส. ก็ถือว่ายังไม่มีเกียรติเพียงพอ

ขณะเดียวกัน พรรคพลังประชาชน และพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรคที่ร่วมกอดคอกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่งได้หมดความชอบธรรมไปพร้อมๆ กัน

สำหรับแนวคิดในการเสนอ สมัคร สุนทรเวช กลับมาอีกครั้งถือว่าเป็น “อำมหิต” และเลือดเย็นที่สุด เพราะใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเกิดกระแสต่อต้านไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในประเทศนี้ และยังรู้อีกว่า หากคนนี้กลับมาอีกโอกาสที่บ้านเมืองจะเกิดความรุนแรง เกิดการจลาจล ก็มีสูงยิ่ง

แต่คนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นก็ยังทำได้ลงคอ ถ้าไม่อำมหิต ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

เมื่อวิเคราะห์ในเชิงลึก ก็จะเห็นภาพชัดขึ้นทันทีว่า ถ้าเกิดเหตุจลาจลวุ่นวายขึ้นในประเทศนี้เมื่อใดก็ตาม มันก็จะทำให้เหตุผลในการขอลี้ภัยในต่างแดนมีน้ำหนักมากขึ้น

นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามหากเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดดังกล่าว ยังใช้เป็นเงื่อนไขสำคัญให้นายทหารบางกลุ่มก่อการรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 แล้วปัดฝุ่นรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ขึ้นมาใช้ โดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ซ่อนเป้าหมายคือ เพื่อต้องการลบล้างความผิดให้กับ “คนหน้าเหลี่ยม”นั่นเอง

เพราะถ้าใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญในเวลานี้สถานการณ์ไม่เป็นใจ ที่สำคัญก็คือไม่ทันการณ์แล้ว เพราะเวลานี้คดีทุจริตหลายคดีกำลังทยอยเข้าสู่การพิจารณาในชั้นศาล ถือว่า “เอาคอพาดเขียง” แล้ว ที่เห็นได้ชัดก็คือ คดีทุจริตซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังจะตัดสินในวันพุธที่ 17 กันยายน

คดีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ตกเป็นจำเลยสำคัญ

ภายในวันนั้นก็จะรู้แล้วว่าคุก หรือไม่คุก เพราะศาลฎีกาฯที่พิจารณาความผิดของนักการเมืองโกงบ้านโกงเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาใดๆ ทั้งสิ้น

ถ้าผิดก็ป๊อกเดียวจอด นี่แหละจึงเป็นเหตุผลสำคัญในการหลบหนี ไม่ยอมมารายงานตัวต่อศาลตามกำหนด

และแม้ว่าไม่อยากทำนายล่วงหน้าเพราะต้องรอคำตัดสินของศาล แต่หากพิจารณาจากแนวโน้ม และอาการของ “จำเลยหน้าเหลี่ยม” ที่ดิ้นรน ทุรนทุรายจนผิดสังเกตแล้ว มันก็เข้าเค้า

สิ่งที่น่าโฟกัสในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็คือ เมื่อรู้ว่าตัวเองมีโอกาส “เข้าปิ้ง” ค่อนข้างแน่ มันก็จึงเกิดขบวนการ “ดิสเครดิต” ศาลยุติธรรม ทุกอย่างดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน และกระชั้นถี่ ในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มให้สอดคล้องกันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

เป้าหมายคือ ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น

ถ้าลองสังเกตให้ดี จะเห็นว่าแผนชั่วดังกล่าวได้เริ่มต้นอย่างเป็นจริงเป็นจังและบังเอิญสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ “สองผัว-เมีย” คู่นี้ได้หนีคดีไปอยู่ลอนดอน ในครั้งนั้นเขาอุตส่าห์เขียนแถลงการณ์ด้วยลายมือ ใส่ร้ายป้ายสีศาลอย่างรุนแรง แม้ว่าจะเลี่ยงใช้คำว่ากระบวนการยุติธรรมโดยรวม แต่ถ้าพินิจให้ดีแล้ว เป้าหมายก็คือกระบวนการศาลยุติธรรม ที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธยนั่นเอง

ถัดมาก็มีการมุ่งโจมตีทั้งใต้ดิน และบนดิน อย่างต่อเนื่อง มีทั้งการเขียนบทความโดยนักวิชาการบางกลุ่ม และโปรยใบปลิวโจมตีศาล แล้วกระทบชิ่งไปถึงสถาบันเบื้องสูง เป็นระยะ

ล่าสุด แม้กระทั่งมีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดให้ สมัคร สุนทรเวช ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีพฤติกรรมขัดกันแห่งผลประโยชน์ โดยมีมติเป็นเอกฉันท์

ขบวนการชั่วก็ออกมาโจมตีตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่านอย่างทันควัน เพราะมีการเผยแพร่บทความในสื่อต่างประเทศ มีการหยิบข้อมูลส่วนตัวของตุลาการแต่ละคนมาบิดเบือนชำแหละอย่างละเอียด เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของไทยในสายตาของต่างชาติเป็นหลัก

ส่วนภายในประเทศก็มีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกันเริ่มจากการเกณฑ์มวลชนในต่างจังหวัด ปลุกระดมให้เห็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่า ไม่โปร่งใส มีอคติ โจมตีที่มาของตุลาการแต่ละคนอย่างสาดเสียเทเสีย ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้ เพิ่งเกิดขึ้นเป็นตัวอย่างที่หน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น เพราะมีการชักนำโดย ส.ส. และรัฐมนตรีสังกัดพรรคพลังประชาชน

สอดรับกับบทบาทของระดับลิ่วล้อปลายแถวอย่าง “สามเกลอหัวกลม” วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ ที่ออกโรงถล่ม จรัญ ภักดีธนากุล หนึ่งในตุลาการรัฐธรรมนูญอย่างไม่ยั้ง โดยหยิบยกเอาเรื่องการเป็นอาจารย์พิเศษทางกฎหมาย ในมหาวิทยาลัยเอกชน มาเปรียบเทียบกับกรณีของ สมัคร สุนทรเวช ที่รับค่าจ้างเอกชน ในการจัดรายการชิมไปบ่นไป และรายการ ยกโขยง 6 โมงเช้า

มันช่างน่าขำ ที่การเป็นอาจารย์พิเศษถือเป็นบริการสาธารณะทางวิชาการของ จรัญ ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการแสวงหากำไร ในการเป็นลูกจ้างบริษัทเอชนหาผลประโยชน์ หารายได้จากการโฆษณาได้อย่างแพะชนแกะ

นี่ยังไม่นับการปล่อยข่าวลือแบบปากต่อปากอีกต่างหาก ตามแนวถนัดของกลุ่มฝ่ายซ้ายอกหัก ที่แวดล้อมอยู่ข้างกายคนหน้าเหลี่ยม

กระบวนการภายใต้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ และป่าล้อมเมือง” ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ทางหนึ่งเมื่อ “คนหน้าเหลี่ยม” รับรู้สัญญาณแล้วว่าต้อง “จบเห่” โอกาสติดคุกมีสูง โดยเฉพาะคดีทุจริตที่ดินย่านรัชดาภิเษก ที่ศาลฎีกามีกำหนดนัดพิพากษาคดีในวันพุธที่ 17 ก.ย.นี้ ซึ่งตรงกับวันที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร นัดประชุมสภาผู้แทนฯเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่พอดี และนาทีนี้ ก็ยังไม่แน่ใจว่า สมัคร หอกหัก จะยังดึงดันกลับมาอีกหรือไม่

แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช ถือว่าเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ไม่มีความหมายในตัวเอง เพียงแต่ถูกเชิด หรือสั่งให้เดินไปทางไหนโดยที่ตัวเองก็สมยอมด้วยความโลภโมโทสัน ในอำนาจ

ต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์ !!

อย่างไรก็ดี อีกมุมหนึ่งเมื่อมาถึงตรงนี้ถือว่าทุกอย่างได้เดินมาถึงจุดสำคัญ มีเดิมพันสูง เพราะเป้าหมายของ “คนหน้าเหลี่ยม” ย่อมไม่ธรรมดา

เมื่อเดิมพันสูง เป้าหมายไม่ธรรมดา ผลที่ตามมาก็ย่อมมีแรงสั่นสะเทือนสูงมากตามไปด้วย หมายความว่า ถ้ากระบวนการทำลายศาลยุติธรรมได้ผล ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในสายตาต่างประเทศก็จะย่อยยับ

ขณะเดียวกันการเสนอชื่อ สมัคร หรือใครก็ตามขึ้นมาเป็น “หุ่นเชิด” คนใหม่ จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม แต่ความเสี่ยงต่อหายนะภายในก็เป็นไปได้สูง เพราะจะเกิดความแตกแยก ความโกลาหล สุ่มเสี่ยงต่อสงครามประชาชนตามที่ “บางคน” แอบฝันเอาไว้

ถ้าให้ย้ำอีกทีก็คือ สำหรับคนอย่าง สมัคร สุนทรเวช เป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกวางกรอบให้เดิน เพื่อจุดชนวนบางอย่าง

ก็บอกแล้วไงว่า เกมนี้มันอำมหิต เลือดเย็น ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ที่น่าเจ็บปวดก็คือ ยังมีคนในชาติกลุ่มใหญ่ยังไม่รู้ตัว ขณะที่บางกลุ่มกลับไปเสนอหน้ารับใช้ เพื่อแลกกับอำนาจและผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น !!
กำลังโหลดความคิดเห็น