ผู้จัดการรายวัน -โกลว์ลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.บนเงื่อนไขที่ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนค่าไฟฟ้า แม้ต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น ขณะเดียวกันคาดเซ็นสัญญาโครงการไอพีพีใหม่ เร็วๆนี้ บริษัทยันไม่มีผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผล เพราะเงินทุนทั้งหมดมาจากกระแสเงินสดและกู้ยืมของบริษัท
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยหลังการร่วมลงนามระหว่างกฟผ.กับบริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด วานนี้(10 ก.ย.) ว่า เป็นการลงนามซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP) รอบใหม่เป็นโรงแรก ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในนิคมมาบตาพุด จ.ระยอง กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ มีอายุสัญญา 25 ปี โดยจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในพ.ย. 2554
ทั้งนี้ การรับซื้อไฟดังกล่าว ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนค่าไฟแม้ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัสดุก่อสร้างแพงขึ้น ส่วนโครงการไอพีพีอื่นขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากอนุกรรมการกำกับกิจการไฟฟ้า ในเรื่องอัตราค่าบริการแล้ว จำนวน 2 รายจาก 4 ราย รวมกำลังการผลิต 4,400 เมกะวัตต์คาดว่าจะมีลงนามสัญญาซื้อขายไฟได้ในไม่ช้านี้
นายอนุตร จาติกวณิช กรรมการบริหารกลุ่มบริษัท โกลว์พลังงาน กล่าวว่า ยอมรับว่าค่าก่อสร้างได้ปรับสูงขึ้น แต่บริษัทยืนยันตามอัตราค่าไฟไว้ตั้งแต่เริ่มแรกตั้งแต่เข้าประมูลไอพีพี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ โดยมีบริษัทดูซาน เฮฟวี่ อินดัสตรี แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ประเทศเกาหลีเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง นับเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีเทคโนโลยีทันสมัย
โครงการดังกล่าวลงทุนรวม 1,150 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเชื้อเพลิงจะใช้ถ่านหินจากอินโดนีเซีย จัดซื้อจาก 2บริษัทหลัก คือ เคทีซี และอาร์โดร่า แหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมเงิน 800 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 70%ของมูลค่าการลงทุน โดยจะกู้เงินสกุลบาทประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะลงนามการกู้เงินได้ภายในสิ้นเดือนนี้
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซูเอท กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานจากยุโรป เพื่อที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าห้วยเฮาะ สปป.ลาว เนื่องจากซุเอทกรุ๊ป ถือหุ้นอยู่ในโรงไฟฟ้าห้วยเฮาะ 80% บริษํทฯสนใจจะซื้อหุ้น 67.5% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1,700 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มเหมราชสนใจซื้อหุ้นดังกล่าว 10% โดยโครงการดังกล่าวจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท โกลว์พลังงาน จำกัดในวันที่ 12 ก.ย.นี้
โดยโครงการนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่กลุ่มบริษัทโกลว์อีกกว่าร้อยละ 50 ภายในปลายปี 2554 นี้ เพราะบริษัทยังได้มีการทำสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าจำนวน 152 เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อ-ขายไอน้ำจำนวน 378 ตันต่อชั่วโมงกับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่หลายราย เพิ่มเติมจากสัญญาการเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ได้รับจากกฟผ. จำนวน 74 เมกะวัตต์อีกด้วย
นายปีเตอร์ เทอร์โมท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่า “โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่นี้จะช่วยให้ประเทศลดระดับการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตลง และเป็นการเสนอขายไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมให้กับ กฟผ. โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจขนาดใหญ่ของบริษัท ซึ่งในระหว่างปี 2551 – 2554 นี้จะมีการใช้เงินทุนของบริษัทมูลค่ากว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการขยายทั้ง 3 โครงการ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของบริษัท
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไปผลประกอบการของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากกำลังการผลิตใหม่นี้ และภายในปี 2554 โกลว์จะมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งในด้านของขนาดและรายได้”
นายสมบัติ ศานติจารี ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยหลังการร่วมลงนามระหว่างกฟผ.กับบริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด วานนี้(10 ก.ย.) ว่า เป็นการลงนามซื้อขายไฟฟ้าจากโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่(IPP) รอบใหม่เป็นโรงแรก ซึ่งจะผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินในนิคมมาบตาพุด จ.ระยอง กำลังการผลิต 660 เมกะวัตต์ มีอายุสัญญา 25 ปี โดยจะเริ่มจ่ายไฟเข้าระบบในพ.ย. 2554
ทั้งนี้ การรับซื้อไฟดังกล่าว ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนค่าไฟแม้ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากวัสดุก่อสร้างแพงขึ้น ส่วนโครงการไอพีพีอื่นขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากอนุกรรมการกำกับกิจการไฟฟ้า ในเรื่องอัตราค่าบริการแล้ว จำนวน 2 รายจาก 4 ราย รวมกำลังการผลิต 4,400 เมกะวัตต์คาดว่าจะมีลงนามสัญญาซื้อขายไฟได้ในไม่ช้านี้
นายอนุตร จาติกวณิช กรรมการบริหารกลุ่มบริษัท โกลว์พลังงาน กล่าวว่า ยอมรับว่าค่าก่อสร้างได้ปรับสูงขึ้น แต่บริษัทยืนยันตามอัตราค่าไฟไว้ตั้งแต่เริ่มแรกตั้งแต่เข้าประมูลไอพีพี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ โดยมีบริษัทดูซาน เฮฟวี่ อินดัสตรี แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด ประเทศเกาหลีเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง นับเป็นบริษัทที่มีประสบการณ์การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีเทคโนโลยีทันสมัย
โครงการดังกล่าวลงทุนรวม 1,150 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับเชื้อเพลิงจะใช้ถ่านหินจากอินโดนีเซีย จัดซื้อจาก 2บริษัทหลัก คือ เคทีซี และอาร์โดร่า แหล่งเงินทุนจะมาจากการกู้ยืมเงิน 800 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 70%ของมูลค่าการลงทุน โดยจะกู้เงินสกุลบาทประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะลงนามการกู้เงินได้ภายในสิ้นเดือนนี้
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซูเอท กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานจากยุโรป เพื่อที่จะเข้าไปซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าห้วยเฮาะ สปป.ลาว เนื่องจากซุเอทกรุ๊ป ถือหุ้นอยู่ในโรงไฟฟ้าห้วยเฮาะ 80% บริษํทฯสนใจจะซื้อหุ้น 67.5% คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1,700 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มเหมราชสนใจซื้อหุ้นดังกล่าว 10% โดยโครงการดังกล่าวจะมีการเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท โกลว์พลังงาน จำกัดในวันที่ 12 ก.ย.นี้
โดยโครงการนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตให้แก่กลุ่มบริษัทโกลว์อีกกว่าร้อยละ 50 ภายในปลายปี 2554 นี้ เพราะบริษัทยังได้มีการทำสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าจำนวน 152 เมกะวัตต์ และสัญญาซื้อ-ขายไอน้ำจำนวน 378 ตันต่อชั่วโมงกับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขนาดใหญ่หลายราย เพิ่มเติมจากสัญญาการเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ได้รับจากกฟผ. จำนวน 74 เมกะวัตต์อีกด้วย
นายปีเตอร์ เทอร์โมท ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่า “โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่นี้จะช่วยให้ประเทศลดระดับการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานในอนาคตลง และเป็นการเสนอขายไฟฟ้าในราคาที่เหมาะสมให้กับ กฟผ. โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจขนาดใหญ่ของบริษัท ซึ่งในระหว่างปี 2551 – 2554 นี้จะมีการใช้เงินทุนของบริษัทมูลค่ากว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการขยายทั้ง 3 โครงการ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสำเร็จของบริษัท
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไปผลประกอบการของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากกำลังการผลิตใหม่นี้ และภายในปี 2554 โกลว์จะมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งในด้านของขนาดและรายได้”