xs
xsm
sm
md
lg

วันแตกหัก

เผยแพร่:   โดย: คนผ่านทาง

ในที่สุดวันแตกหักก็มาถึง นายกฯ นอมินีทรราชอ้างว่า อาสาเบื้องสูงมาแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง แต่พฤติกรรมทุกวันนี้เหมือนกับทรราชรุ่นพี่ คือ สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองเป็นรายวัน และพยายามสร้างภาพลักษณ์รณรงค์ให้คนไทยรักกัน จัดงาน “จากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี” โดยหวังใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเกราะคุ้มหัว

แต่สันดานเผด็จการบ้าอำนาจสมัย 6 ตุลาคม 2519 ก็ไม่ได้จางหายไปไหน จากอดีตที่เคยเป็น รมต.มหาดไทย ที่ทำให้คนไทยฆ่าคนไทย จนคอมมิวนิสต์เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นคือผลพวงที่นายสมัครมีบทบาททางการเมืองและเป็นตัวปัญหาของบ้านเมือง ซึ่งได้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้แก้ปัญหาในเวลาต่อมา โดยใช้นโยบายที่ 66/2523 ในการต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์จนหมดไป และท่านก็ได้รับยกย่องให้เป็นรัฐบุรุษจากลูกข้าราชการชั้นผู้น้อยคนธรรมดาสามัญที่ทำคุณประโยชน์เพื่อชาติ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณแต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรี เพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาท เป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของวงศ์ตระกูล

นี่เองทำให้ลูกพระยาบางคนเกิดความอิจฉาริษยาว่า ตนเองก็เป็นถึงเชื้อพระยา ไฉนเลยลูกบ้านนอกสงขลาจึงได้รับเกียรติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่ไม่เคยส่องกระจกเทียบคุณธรรมความดีของตนเองกับผู้อื่น ได้แต่หวังว่า สักวันจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย วาดฝันด้วยบันได 3 ขั้น โดยเห็นการเมืองเป็นเรื่องของตัณหา ความทะยานอยาก เผอิญบันไดนั้นหักเสียก่อน แต่เรื่องของกรรมที่ไม่เข้าใครออกใคร จึงทำให้สบช่องเหมือนผีกับป่าช้า ที่ทรราชต้องการนอมินี ในขณะที่ตนเองก็ต้องการอยากเป็นนายกฯ เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของคนชั่ว จึงยอมลดศักดิ์ศรีลูกพระยาลงอาศัยชื่อของลูกพ่อค้าจนได้เป็นนายกฯ สมใจ แต่นี่เป็นเรื่องของกรรมไม่ใช่บุญ งานนี้จึงเป็น “ทุกขลาภ”

เป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวชว่า คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเรียกร้องให้คนในชาติสามัคคีกัน แต่กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม เรียกคนชุมนุมกันว่า แก๊งข้างถนน และบอกให้คนไทยเลือกข้าง ตอนสายปากบอกว่า รัฐบาลจะถอย ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา พอค่ำกลับใช้ตำรวจทำร้ายประชาชน วางแผนให้คนไทยทำร้ายกัน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างประกาศภาวะฉุกเฉิน สิ่งนี้เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับการจัดงานจากวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วันสร้างสามัคคี ที่รัฐบาลอัญเชิญสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเป็นองค์ประธาน บ่ายกราบทูลเรื่องความสามัคคี ค่ำเป็นตัวทำลายความสามัคคี นับเป็นเรื่องที่น่าละอายใจอย่างยิ่ง นี่คือความสับปลับของนายกฯ ประเทศไทย

ความสามัคคีในความคิดของนายกฯ และพวกจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าข้ออ้างเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง เราจึงได้ยินความสามัคคีแบบแปลกๆ เช่น ให้นิรโทษกรรมทรราชและพวกถูกคดียุบพรรค ซึ่งความสามัคคีอย่างนี้เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผล ไม่มีทางที่ความดีกับความชั่วจะสามัคคีกันได้ การต่อสู้ของสังคมทุกวันนี้ที่แปลกแยกออกเป็น 2 ขั้ว ที่เข้าใจกันว่า พวกรักทักษิณกับพวกไม่เอาทักษิณนั้น ตอนนี้ได้พัฒนากลายเป็นการต่อสู้ของสองแนวความคิด คือ กลุ่มแนวคิด “โกง(ชาติ) ไม่เป็นไร ขอให้ทำประโยชน์ (ต่อตัวกูและพวกกู) บ้าง” กับกลุ่มแนวความคิด “โกงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” การต่อสู้ในครั้งนี้จึงมีอนาคตของชาติบ้านเมืองเป็นเดิมพัน ขึ้นอยู่กับว่า บ้านเมืองนี้จะเลือกไปทางไหน ถ้ากลุ่มแนวความคิดแรกมีกำลังมากกว่า เราก็จะเห็นการสิ้นชาติในเร็ววัน อย่างที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า บ้านเมืองใกล้จะล่มจม เพราะใช้เงินไม่ระวัง นั่นเพราะการเมืองจะมีแต่พวกโกงกิน โดยอาศัยโครงการประชานิยมซื้อเสียงประชาชน

สำหรับทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤตบ้านเมืองในครั้งนี้ จึงมีอยู่ทางเดียว คือ จำเป็นต้องหารัฐบาลที่เป็นคนกลาง ไม่ใช่มาจากนักการเมืองเลือกตั้งอย่างที่เป็นอยู่ และควรเป็น “รัฐบาลราชประชาสมาสัย” ตามแนวคิดที่ท่านอาจารย์ปราโมทย์ได้เคยเสนอไว้ ต้องเป็นรัฐบาลที่มีภาพลักษณ์ความใสสะอาด และต้องสรรหาบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้า ทำงานเป็น ไม่ใช่รัฐบาลที่มีแต่ข้าราชการประจำที่ทำงานไปวันๆ แบบไม่ทำอะไรเลยเหมือนสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ ซึ่งเหตุการณ์นองเลือดในวันนี้ก็เป็นผลพวงของการไม่ทำอะไรเลยของวันนั้น

ดังนั้นนักวิชาการหรือใครก็ตามที่เสนอความคิดว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤตของบ้านเมืองขณะนี้ เพียงแค่ให้นายสมัครยุบสภาหรือลาออก ขอให้ช่วยตอบคำถามด้วยว่า ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ นักการเมืองที่เข้ามาก็ยังเป็นพวกไอ้ห้อยไอ้โหน อาจมีนายกฯ คนใหม่ที่ชื่อ นายสมี เพราะนายสมัครโดนคดีจนกลับมาเป็นนายกฯ ไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นนักการเมืองสกปรกกลุ่มเดิมๆ นั้น คนกลุ่มแนวความคิด “โกงอะไรไม่ได้ทั้งนั้น” จะยอมรับได้หรือเปล่า

ในที่สุดก็จะมีการชุมนุมเดินขบวนแบบนี้ไปไม่สิ้นสุด ถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ระบบการเมืองไม่ได้มีปัญหาแต่นักการเมืองต่างหากที่เป็นปัญหา และนักการเมืองชั่วเหล่านี้กำลังใช้ระบบการเมืองเป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจ รูปแบบของการต่อสู้ของนักการเมืองสกปรก จึงยังใช้วิธีการแบบเดิมๆ เหมือนสมัยทรราชที่อ้างว่า ตนเองมาจากการเลือกตั้ง จึงมีความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และล่าสุดก็จะใช้ “ประชามติ” ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกตั้งใหม่ ส่วนจริยธรรมนั้นกฎหมายบังคับอะไรไม่ได้ เราจึงเห็นลูกนักการเมืองหนีคดีมาเป็นเลขารัฐมนตรี เห็นอดีตข้าราชการที่เป็นผู้ต้องหาคดีคอร์รัปชันมาเป็นคณะกรรมการ ธปท. และถ้าใครคิดว่า นักการเมืองฝ่ายค้านละน่าจะดีกว่าฝ่ายรัฐบาลในขณะนี้ ก็ขอให้ไปศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมา

แม้นายอภิสิทธิ์อาจจะเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่น่าจะมือสะอาด แต่ถ้ายังรอบล้อมไปด้วยนักการเมืองกลุ่มนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เราก็จงดูรัฐบาลสมัยนายชวน หลีกภัย ที่เป็นคนซื่อสัตย์สุจริตเหมือนกัน แต่มีนายสุเทพ เป็นกำลังสำคัญ จนต้องลาออกเพราะคดี ที่ดิน สปก. นี่แหละการเมืองประเทศไทยในวันนี้ ก็ยังมีอยู่แค่ 2 พรรค คือ พรรคเลวมากกับพรรคเลวมากกว่า ขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนมาเป็นรัฐบาลก็จะเป็นพรรคแบบหลัง เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่า จะแก้ปัญหาด้วยวิธีการแบบนี้ ต้องคิดให้รอบคอบ

ดังนั้น ถ้าเราต้องการแก้ไขปัญหาของชาติในวันนี้เพื่อวันข้างหน้า ต้องหยุดวังวนน้ำเน่าให้ได้ก่อน ต้องตัดฐานอำนาจของพวกนักการเมืองชั่ว นักการเมืองที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตน เราจึงจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มาจากคนกลาง รัฐสภาต้องไม่มาจากการเลือกตั้งจากนักการเมืองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ แต่ถ้ายังจะดันทุรังให้นายกฯ ยุบสภาหรือลาออกเพื่อเลือกตั้งใหม่ ในที่สุดก็จะได้นักการเมืองพวกเดิมมาบริหารบ้านเมืองอีก บ้านเมืองก็ต้องวุ่นวายไปไม่รู้อีกนานเท่าใด และอย่าคิดว่า ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ถ้าแนวความคิดอย่างนี้มันจริง โลกนี้คงมีความสุขสงบนานแล้ว และสำหรับนักการเมืองน้ำดีทั้งหลายก็ต้องอดทน อดใจ เพราะถ้าคิดจะเข้าไปทำงานในตอนนี้ ที่มีแต่นักการเมืองน้ำครำอยู่กันเต็ม คงทำอะไรไม่ได้

หลายท่านอาจสงสัยว่า การใช้รัฐบาลประชาสมาสัยแล้ว จะแก้ไขปัญหาระยะยาวได้อย่างไร พวกนี้ก็อาจกลับมาอีกจนได้ แน่นอนว่า สังคมย่อมมีทั้งคนดี คนเลว แต่ทุกวันนี้คนเลวมาเป็นนักการเมืองเต็มไปหมด บ้านเมืองถึงเกิดวิกฤต แต่คนเลวพวกนี้ส่วนใหญ่มีคดีความ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีโดยฝ่ายตุลาการ เพราะฉะนั้นถ้านักการเมืองเหล่านี้หมดอำนาจ จะทำให้ไม่มีโอกาสในการแทรกแซงหรือบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมได้ และคนพวกนี้ก็จะถูกกำจัดออกไปด้วยกฎหมายของบ้านเมือง ถ้าเราไม่หยุด ไม่ตัดเสบียงและที่พักพิงของนักการเมืองชั่วด้วยวิธีแบบนี้ อย่าหวังว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้

สุดท้ายนี้ ผมขออัญเชิญพระบรมราโชวาทขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเตือนสติคนไทยที่รักชาติทั้งหลาย

“….ในบ้านเมืองนี้ มีทั้งคนดีและคนไม่ดีไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็น
คนดีได้ทั้งหมด
การจะทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี
ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ
ไม่ให้ก่อความวุ่นวายได้...”


พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 ธันวาคม 2512

ผมจึงขอฝากให้คนไทยช่วยกันคิดเปรียบเทียบว่า การแก้ปัญหาวิกฤตบ้านเมืองในครั้งนี้ ด้วยการเรียกร้องให้ยุบสภา ลาออกของนายสมัคร ที่ต้องมีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งนายกฯ จากนักการเมืองที่มีอยู่ในรัฐสภาขณะนี้กลับเข้ามาใหม่ กับการมีรัฐบาลราชประชาสมาสัย วิธีการใดจะก่อให้เกิดผลตามพระบรมราโชวาทที่ได้พระราชทานชี้แนะคนไทยมานานเกือบ 40 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น