xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤต-โอกาส-กลียุคกับการเมืองใหม่?

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “อนาคตประชาธิปไตยภายใต้เงา รสช.” เป็นการรวมบทความ 9 บทที่แยกย้ายกันตีพิมพ์ในนสพ.รายวัน แนวหน้า สยามรัฐ มติชน เพื่อให้สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยนำไปจำหน่ายในวันที่สมาคมจัดอภิปราย เรื่อง “ทิศทางการเมืองไทย” ณ หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2534

ผมพยากรณ์ว่าจะเกิดนองเลือด และการเมืองไทยจะเข้าวังวนของ “วงจรอุบาทว์”และ “วัฏจักรน้ำเน่า” อีกไม่รู้จบ

หลังจากนั้น 6 เดือนก็เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “พฤษภาทมิฬ” อันสืบเนื่องมาจากการยึดอำนาจของคณะรสช.

ผมอยากจะเรียนว่าทั้งการยึดอำนาจ การต่อต้าน และการนองเลือดเป็นสิ่งที่คาดการณ์และพยากรณ์ได้ล่วงหน้าเป็นเวลานาน และน่าจะป้องกันได้ ดังปรากฏในหนังสืออัตชีวประวัติของพลเอกสายหยุด เกิดผล ที่บันทึกในตอนหนึ่งว่า นพ.ประเวศ วะสี กับผมได้เข้าไปขอร้องให้ห้ามลูกศิษย์และอดีตผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่าให้ยึดอำนาจ พลเอกสายหยุดตอบว่าทำไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ เพราะคนเราพอมีตำแหน่งแล้วมันบ้าอำนาจ

การต่อต้าน รสช.ครั้งนั้นเจ็บปวดมาก เพราะคนสำคัญของ รสช.และพรรคสามัคคีธรรม 3 คน คือ พลเอกสุจินดา คราประยูร นาวาตรีฐิติ นาครทรรพ และน้องชายคนสุดท้อง คนแรกเป็นรุ่นพี่ร่วมโรงเรียนหนองคายวิทยาคาร สองคนหลังเป็นพี่น้องคลานตามกันมา แต่ชาติต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

การคัดค้านระบอบทักษิณของผมเกิดขึ้นก่อนคดีซุกหุ้น เพราะข้อมูลและหลักการและหลักกฎหมายที่ผมยึดมั่น ทำให้เหตุผลสนับสนุนทักษิณของกัลยาณมิตรสำคัญ คือ คุณอานายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว และคุณหมอประเวศ วะสี ฟังไม่ขึ้น

ผมเริ่มเขียนบทความใน “ผู้จัดการ” เตือนให้ท่านผู้อ่านจับตาอันตราย ตั้งแต่สนธิ ลิ้มทองกุลยังไม่เคลื่อนไหว และ “ผู้จัดการ” ยังเชียร์ทักษิณอยู่ ใครก็ตามที่คิดว่าผมหลงเชื่อสนธิ ลิ้มทองกุล และอยู่ใต้อาณัติของพันธมิตรฯ นั้น ท่านคิดผิด

แต่คุณูปการของสนธิ ASTV และพันธมิตรฯ ในการปลุกตื่นสังคมไทยให้มีจิตสำนึกเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์นั้น ผมปฏิเสธมิได้ และยังต้องสรรเสริญโดยไม่มีข้อแม้


บัดนี้ ชาติไทยของเรากำลังเดินเข้าสู่จุดอันตราย อุบัติเหตุอันจะบานปลายไปสู่การนองเลือดและสงครามการเมืองอาจเกิดได้ทุกเมื่อ รวมทั้งการเข้าแทรกแซงยึดอำนาจโดยทหารที่รังจะทำให้บ้านเมืองตกต่ำซ้ำซ้อนจนเกิดกลียุค ก็ไม่อาจมองข้ามได้

ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2550 ผมพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง เตือนว่า “เลือกตั้งน้ำเน่าเราจะพากันไปตาย” ผมขอให้เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปก่อน เพราะขืนเลือกตั้งไป ก็จะเกิดผลเหมือนกับที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ทุกคนแทบจะมองหาทางออกไม่เจอนอกจากพากันคิดไปตามความเชื่อ ผลประโยชน์และอุปาทานของตนและพวกพ้อง

ในหนังสือเล่มเดียวกัน ผมได้เสนอทางออกไว้สองทาง ที่เป็นทางอ้อมหรือจุดเริ่มอยู่ในบทความอีกชุดหนึ่งในหนังสือเล่มเดียวกัน ภายใต้หัวข้อ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” และทางออกโดยตรงอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความกล้าหาญและปัญญาสมาธิของ “ผู้นำ” ในสถาบันต่างๆ ของประเทศ ได้แก่ศาล ทหาร ข้าราชการ และพลเรือนทั่วไปในภาคประชาชน ที่จะต้องช่วยกันใช้วิธีการที่เป็นประชาธิปไตยสร้าง “สุญญากาศทางการเมือง” ให้เกิดขึ้น เพราะพระเจ้าอยู่หัว “จะได้พร้อมที่จะลงมาช่วยได้อีก ถ้าเกิดสุญญากาศขึ้นมาอีก” ข้อความในสัญประกาศข้างหน้านี้คือพระราชดำรัสของในหลวง

ผมเคยเสนอบทความหลายบทเป็นเวลาหลายปีว่า การผันวิกฤตให้เป็นโอกาส ได้แก่การที่ปวงชนชาวไทยและพระเจ้าอยู่หัวต่างก็ช่วยกันสร้างระบบการเมืองที่เรียกว่า “ราชประชาสมาสัย” หรือ “ประชาธิปไตยที่แท้จริงอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” คำว่า “ราชประชาสมาสัย” พระเจ้าอยู่หัวทรงบัญญัติขึ้น และทรงอธิบายว่า “แปลว่าพระเจ้าอยู่หัวกับประชาชนพึ่งซึ่งกันและกัน” ผมยังมองไม่เห็นว่าจะมีโอกาสที่ไหนอีกในโลกนี้ที่เราจะผันวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ ถ้ามิใช่ครั้งนี้

“วิกฤตที่หนักที่สุดในโลก” ครั้งนี้ยังมีอยู่ และกลับหนักยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากพระราชดำรัสครั้งล่าสุดต่อศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2557 ซึ่งพระองค์ตรัสว่า “ตอนนี้บ้านเมืองถอยไปเรื่อยๆ” “ถ้าท่านปฏิบัติงานได้สำเร็จ ก็จะเป็นความภูมิใจในหน้าตา ไม่ใช่แค่นั้น พระมหากษัตริย์ก็ภูมิใจกับท่าน ถ้าท่านไม่สำเร็จก็ไม่รู้จะพูดว่าไง งานของพระมหากษัตริย์ ต้องล่มจม”

ผมมีโอกาสร่วมอภิปรายหลายแห่งหลายครั้ง การอภิปรายแต่ละครั้งก็ล้วนแต่บกพร่องมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ก่อนที่จะมีการชุมนุมมาราธอน 44 วันและยังไม่รู้วันจบของพันธมิตรฯ ครั้งนี้ ผมถูกถามเป็นประจำว่า เมื่อผมทำนายถูกว่าขืนเลือกตั้งไปจะเกิดความโกลาหลวุ่นวายขนาดหนักในประเทศ ผมจะฟันธงต่อไปได้หรือไม่ว่า ผลสุดท้ายจะจบลงกันอย่างไร ระหว่างยุบสภา ยึดอำนาจ และนองเลือด

ในตอนนั้น ผมตอบว่า เป็นไปได้ทั้งสิ้นทั้ง 3 อย่าง แล้วแต่ว่าผู้เล่นจะเดินหมากกันอย่างไร แต่ใจผมยังอดรู้สึกลึกๆ ไม่ได้ว่า ไม่ใช่ทั้งสามอย่าง อย่างที่ผมอยากให้เกิดขึ้น และน่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่น้อย ก็คือ การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยประชาชน

ประชาชนนี้ประกอบขึ้นด้วยปวงชนชาวไทยหรือองค์ประกอบที่เป็นตัวแทนทั้งที่เป็นพลเรือน ทหาร แรงงาน ราชการ ชาวบ้านและอื่นๆ ผมได้เห็นองค์ประกอบเหล่านั้นในการปลุกตื่นทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการชุมนุม 44 วันที่ผ่านมา ของพันธมิตรฯ ที่ผมถือว่าเป็นมหกรรมทางการเมืองทางสันติ อหิงสาและประชาธิปไตยที่สุดในโลกอันหนึ่ง

ผมจึงเบาใจว่า การนองเลือดและยึดอำนาจอาจจะหลีกเลี่ยงได้

แต่ปฏิวัติประชาธิปไตยโดยประชาชนจะสำเร็จหรือไม่ ใครจะเป็นผู้นำ ผมเริ่มจะมองออก แต่ยังไม่ยากทำนายในวันนี้

เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “สำเร็จโทษรัฐบาลโคตรโกหก” เป็นการรวมบทความที่ผมเขียนระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนมิถุนายน 2551

ในหนังสือเล่มนี้ไม่มีคำทำนาย แต่มีคำอธิบายว่า ขณะนี้ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลแล้ว เพราะการจัดตั้งรัฐบาลเป็นโมฆะมาแต่ต้น ตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งที่ 23 ธันวาคม 2550 ด้วยซ้ำไป

เสร็จแล้วรัฐบาลนอกกฎหมายที่สวมรอยเข้ามาใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์โดยความมักง่ายรู้ไม่เท่าทันของสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักกฎหมาย นักวิชาการ และสถาบันที่เกี่ยวข้อง คือ กกต.และรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็ยิ่งกลับมากระทำผิดกฎหมายเป็นระลอก ล้วนแต่หนักหนาสากรรจ์คิดไม่ถึงทั้งสิ้น แต่รวมกันได้เป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ

1. ทำลายอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนไทย โดยการแอบไปทำสัญญายกเนื้อที่ทับซ้อนที่เขาพระวิหารและในอ่าวไทยให้เขมร

2. ทำลายอำนาจบริหาร ซึ่งเป็นอำนาจอธิปไตยหนึ่งในสาม ด้วยการไม่บริหารตามหลักรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่กลับไปบริหารโดยการออกคำสั่ง ซึ่งส่วนใหญ่คลุมเครือไม่ชอบด้วยระเบียบและขบวนการกฎหมาย เป็นเรื่องโยกย้ายบุคคลที่เป็นสมัครพรรคพวกกลับเข้าสู่หรือกลับเข้าครองอำนาจ และการอนุมัติเมกะโปรเจกต์ต่างๆแบบข้ามขั้นตอน เพื่อมุ่งหวังผลประโยชน์

3. ทำลายอำนาจนิติบัญญัติ โดยตลอดสมัยประชุมสภา สภาผู้แทนราษฎรมิได้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และไม่ได้ออกกฎหมายซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของตนแม้แต่ฉบับเดียว

เพราะฉะนั้นต้องถือได้ว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเถื่อนที่อยู่ไปวันๆ ประชาชนจะพากันทำให้ยกเลิกการปฏิบัติหน้าที่เสียโดยวิธีใดก็ได้

นั่นไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ที่ยากกว่าก็คือหลังจากนั้น ทำอย่างไรจึงจะปฏิวัติประชาธิปไตยโดยประชาชนให้เกิดประชาธิปไตยขึ้นสมจริง มิใช่อนาธิปไตยหรือเผด็จการ

การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ เป็นแค่วาทกรรมทางการเมืองหรือเป็นการเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ที่จะต้องรอให้ตกผลึกเสียก่อนใช่หรือไม่ และพันธมิตรฯ จะต้องตอบคำถามว่าที่พร้อมกันขับไล่รัฐบาลนายสมัคร และระบอบทักษิณก็เพื่อจะพิทักษ์ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มิใช่หรือ

การผันวิกฤตให้เป็นโอกาสครั้งนี้ไม่เหลือวิสัย แต่สงสัยว่าไม่มีผู้ใด รวมทั้งผมด้วย ที่จะมีคำตอบสำเร็จรูปอันเป็นข้อยุติ

พรุ่งนี้ เราจะต้องถกกันอีกต่อไป และต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น