xs
xsm
sm
md
lg

โหด!สั่งไล่ยิงนักศึกษาสกัดประท้วงหมัก-เด็กชุมนุมใหญ่6ก.ย.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - กลียุค สั่งยิ่งนักศึกษา หลังเดินเท้าไปบ้าน "สมัคร" เพื่อกดดันให้ลาออก พิลึกตำรวจบอกอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางนึกว่าไม่เกิดเหตุอะไร "จงรัก" อ้างฝีมือชาวบ้านรำคาญ นักศึกษา-นักเรียนรวมตัวแสดงพลังครั้งใหญ่ 6 ก.ย.นี้ "สนธิ" ชี้การต่อสู้ขอพันธมิตรฯในวันนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องดิ้นรนจนถึงที่สุดเพื่อรักษาอาณาจักรความชั่วที่ตัวเองได้สร้างเอาไว้ ทำนายจุดจบของ "สมัคร" ไม่ดีแน่นอน “สมศักดิ์” จับคาหนังคาเขา ผู้นำเผด็จการพลั้งปากรับสมอ้างสั่งตำรวจพาม็อบถ่อยป่วนกรุงเข้าตีพันธมิตรฯ ที่มัฆวานฯ จี้ทหารทำหน้าที่หิ้วอาชญากรแผ่นดินเข้าคุก

ค่ำวานนี้ (4 ก.ย.) เวลาประมาณ 20.00 น. กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง 200-300 คน ตั้งขบวนเดินเท้าจากมหาวิทยาลัยมุ่งหน้าไปยังบ้านนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งตั้งอยู่หมู่บ้านโอฬาร ซอยนวมินทร์ 81 โดยใช้เส้นทางถนนรามคำแหงขาออก มุ่งหน้าผ่านแยกลำสาลี จนกระทั่งมาถึงแฟลตคลองจั่น แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ บริเวณตรงข้าม สน.ลาดพร้าว เมื่อเดินมาถึงโค้งการเคหะแห่งชาติ ได้มีคนร้ายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ โดยทั้งสองสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ สวมหมวกกันน๊อค คนซ้อนท้ายได้เปิดหน้ากากหมวกกันน๊อค แล้วชักปืนยิงใส่กลุ่มนักศึกษาทำให้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน คือ นายอภิชาติ นาคฤทธิ์ อายุ 22 ปี ถูกยิงที่ข้อศอกซ้ายฝังใน และนายอนุศักดิ์ เศียรอรุณ อายุ 22 ปี ถูกยิงที่ต้นขาขวาฝังใน จากนั้นกลุ่มนักศึกษาทั้งหมดจึงเดินทางกลับมาแจ้งความที่ สน.ลาดพร้าว
พ.ต.อ.สมศักดิ์ บุญแสง ผกก.สน.ลาดพร้าว เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุ ตำรวจได้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลความสงบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากการข่าวเบื้องต้นทราบว่า กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวจะมาถือป้ายแสดงเจตจำนงทางการเมืองเพียงเท่านั้น และคิดว่าจะสลายตัวไปเองโดยไม่มีความรุนแรงใดๆ กระทั่งมีคนขี่รถจักรยานยนต์ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่นักศึกษาดังกล่าว
นักศึกษากลุ่มเครือข่าย นศ.เพื่อประชาชน ม.ราม เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ตนพร้อมเพื่อนนักศึกษาได้มาถึงแฟลตคลองจั่นและกำลังจะข้ามถนนไปอีกฝั่งปรากฏว่าได้มีชายสองคนขับขี่รถจักรยานยี่ห้อนีโอสีดำใช้สติ๊กเกอร์สีดำปิดเลขทะเบียนเอาไว้ ได้จอดประชิดห่างจากขบวนนักศึกษาประมาณ 4 เมตร คนซ้อนท้ายที่ใส่เสื้อสีดำได้ใช้ปืนจ่อยิงส่งผลให้นักศึกษาสองคนได้รับบาดเจ็บที่ต้นแขนและต้นขา จึงเข้าแจ้งความที่ สน.ลาดพร้าวและจะอยู่จนกว่าจะรู้ตัวคนร้ายให้ได้

***"จงรัก" อ้างฝีมือชาวบ้านรำคาญ
ขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังสอบปากคำผู้ที่เห็นเหตุการณ์ กลุ่มนักศึกษายังคงปักหลักปราศัยบริเวณด้านหน้าโรงพัก โดยกล่าวโจมตีการกระทำดังกล่าว พร้อมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ ต่อมา พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร.ได้เดินทางมาที่ สน.ลาดพร้าว โดยขอร้องให้กลุ่มนักศึกษาเลิกการปราศัยเพราะขณะนี้อยู่ในช่วงรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน ส่วนคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุนั้น พล.ต.อ.จงรัก เชื่อว่า อาจจะเป็นชาวบ้านที่รำคาญเสียงการปราศัยเนื่องจากลุ่มนักศึกษาได้ใช้โทรโข่งในการปราศัย รวมทั้งยังมีรถกระบะติดเครื่องเสียงขับตามขบวนมาด้วย หรืออาจจะเป็นมือที่สามที่อาศัยจังหวะสร้างสถานการณ์"ผมได้พูดคุยกับกลุ่มนักศึกษาจนยอมหยุดการปราศัยแล้ว เพราะช่วงนี้อยู่ในภาวะฉุกเฉินทางนักศึกษาก็เข้าใจและยอมหยุดปราศัย" รอง ผบ.ตร.กล่าว

**นักศึกษา-นร.แสดงพลัง 6 ก.ย.
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯเมื่อเวลา 18.35 น. เครือข่ายเยาวชนกู้ชาติ(young pad) ซึ่งประกอบด้วยการรวมตัวของตัวแทนกลุ่มนักศึกษาจาก 21 มหาวิทยาลัยและ 2 โรงเรียน ขึ้นเวทีพันธมิตรฯเพื่อประกาศจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหวโดยนายเหมวัส ชาญชัยวานิช อดีตศิษย์เก่าคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่าย อ่านบทกลอนเรียกร้องให้นิสิตนักศึกษาออกมาร่วมขับไล่รัฐบาลตอนหนึ่งว่า ตื่นเถิดนักสู้อายุน้อย ไม่ต้องคอยความหวังจากผู้อื่น มาวันนี้เรามาประกาศถึงจุดยืน ทวงชาติไทยชาติเรากลับคืนมา” จากนั้นได้ประกาศถึงจุดยืนเครือข่ายเยาวชนฯว่า เราขอต่อต้านการใช้ความรุนแรง และเรียกได้ให้รัฐบาลลาออกโดยไม่ใช้วิธีการยุบสภา
นายเหมวัส กล่าวอีกว่า ที่เรามาที่นี่ไม่ได้ถูกพันธมิตรฯจัดตั้งแต่เรามาเพราะรักชาติจึงอยากมาเรายืนข้างพันธมิตรฯเพราะพันธมิตรฯยืนข้างความถูกต้อง และขอเรียกร้องให้นิสิตนักศึกษาทั่วประเทศออกมาชุมนุมใหญ่ที่เวทีสะพานมัฆวานในวันที่ 6 ก.ย.เวลา17.00-19.00น. ซึ่งในวันดังกล่าวจะร่วมประกาศจุดยืนว่าจะเคลื่อไหวอย่างไรด้วย
ต่อมานักเรียนซึ่งเป็นตัวแทนจากโรงเรียนเตรียมอุดม กล่าวว่า เราขอประกาศอยากให้รู้ว่าเยาวชจะเป็นผู้นำเมื่อชาติต้องการ
ขณะที่น.ส.กมลพร วัฒนเวส น.ศ.ปี3 คณะนิติศาสตร์ ม.ศรีปทุม กล่าวว่า วันนี้มีคำเตือนจากทางมหาวิทลัยว่าห้ามนักศึกษานำตรามหาวิทยาลัยไปใช้ในทางการเมืองหรือในทางเสื่อมเสีย แต่ว่าหนูไม่สนใจ หนูผิดตรงไหน เพราะหนูมีความคิดเป็นของตัวเอง หากทางมหาวิทยาลัยให้ออกหนูก็พร้อม และขอมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยราชดำเนิน
หนูไม่กลัว หนูขอสู้กับลุงหมัก ขอให้ลาออกไปด้วย หนูไม่เอาแล้ว น.ส.กมลพร กล่าวพร้อมกับเสียงปรบมือจากพันธมิตรฯ
ขณะที่ตัวแทนจากอุเทนถวาย พร้อมป้ายผ้าข้อความ อุเทนถวายกู้ชาติ เดินทางขึ้นเวทีพันธมิตรฯเช่นกัน พร้อมกับเรียกร้องให้นายสมัคร ลาออก ในตอนท้าย ตัวแทนนักศึกษาได้ตะโกนเรียกชื่อนายสมัคร สุนทรเวช 2 ครั้ง พร้อมกับประกาศว่า พวกเราไม่ต้องการท่านแล้ว

***"สนธิ" ชี้จุดจบ "สมัคร" ไม่ดีแน่
เวลาประมาณ 22.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯในวันนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องดิ้นรนจนถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่เคยเพียรสร้างมาตั้งแต่ปี 2544 ต้องพังครืน
นายสนธิ กล่าวว่า นายสมัครเป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยมี นายเนวิน ชิดชอบ เป็นตัวขับเคลื่นสำคัญ ดังนั้นกระบวนการสมัครและทักษิณคือกระบวนการเดียวกัน พร้อมให้มองย้อนให้ดูพฤติกรรมของคนรอบข้างของ นายสมัครในวันนี้บางกลุ่มเป็นพวกฝ่ายซ้าย บางคนก็เคยอยู่ตรงข้ามกับ นายสมัคร แต่วันนี้มาจับมือกันได้ ด้วยการยึดโยงในเรื่องผลประโยชน์และอำนาจ
นายสนธิ ชี้ให้เห็นว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกนายสมัคร เพื่อกลบภาพลักษณ์ของตัวเองที่มีปัญหาภาพลักษณ์ในเรื่องความจงรักภักดี อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รู้จักตัวตนของนายสมัคร นอกจากรู้ว่าเป็นลูกของพระยาคนหนึ่งที่มีภาพเลือดสีน้ำเงินเท่านั้น
ทั้งนี้ การต่อสู้ของพันธมิตรฯเป็นเวลา 104 วันนับว่าไม่ธรรมดา เพราะเป็นการต่อสู้ด้วยศรัทธา มีความเชื่อมั่น เพื่อรักษาชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ โดยไม่ท้อต่ออุปสรรค และรู้อยู่แล้วว่านี่เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของคนไทยที่ต่อต้านความชั่ว และในที่สุดธรรมะย่อมชนะอธรรม
"ผมเชื่อว่าจุดจบของ คุณสมัคร ไม่ดีแน่นอน เพราะเวรกรรมจะถั่งโถมเข้ามา แม้ว่าวันนั้นจะรู้สึกตัวในนาทีสุดท้ายแต่ก็ไม่ทันแล้ว ให้คอยดูไปก็แล้วกัน" นายสนธิระบุ

***สมศักดิ์ขึงพืดสมัครให้ทหารจับ
เมื่อเวลา 21.20น. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข กล่าวว่า จากการฟังนายสมัครพูดเมื่อเช้าวันที่ 4 ก.ย. จะเห็นได้ว่าผู้ร้ายอาชญากรต้องทิ้งร่องรอยแห่งความผิดไว้เสมอ เขาบอกว่าได้ให้ตำรวจไปพาประชาชนที่สนามหลวงเดินมาเพื่อจะยึดทำเนียบฯแล้วเกิดมาตีกับพวกเราที่สะพานมัฆวานฯ ก็แสดงว่านายสมัครยอมรับว่าเป็นคนไปพานปก.ที่มีอาวุธมาทำร้ายประชาชนที่ชุมนุมโดยสงบอยู่ที่มัฆวานฯ
“นี่คืออาชญากรของแผ่นดิน ถ้าผมเป็นตำรวจต้องจับเพราะผู้ใช้คือนายสมัคร เขาพูดเอง ไม่มีใครข่มขู่เขา แต่บังเอิญตำรวจเป็นลูกสมุนของสมัคร ถ้าในภาวะฉุกเฉินแบบนี้ทหารมีสิทธิจับคุณสมัครได้เพราะประกาศภาวะฉุกเฉิน และวางแผนเพื่อประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ลูกพี่ทักษิณได้ข้อลี้ภัยทางการเมืองในประเทศอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษคงจะไม่โง่ เพราะทักษิณคือผู้ร้ายหนีหมายจับของศาลประเทศไทย”นายสมศักดิ์กล่าว
นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า นายสมัครพูดบอกว่าจะไม่ไปจะอยู่รักษาระบอบประชาธิปไตย แล้วประกาศภาวะฉุกเฉินทำไม ประชาธิปไตยยังไงห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ประชาธิปไตยสมัครห้ามชุมนุมเกิน 5 คน ห้ามออกจากบ้าน ห้ามไปไหนทั้งสิ้น สุดท้ายคนก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะมันไม่มีความหมาย กลายเป็นประกาศภาวะฉุกละหุก
นายสมศักดิ์กล่าวว่า ครม. มมติทำประชามติ แค่คิดก็ผิดทุกอย่าง การทำประชามติ รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 วรรคสาม เขียนไว้ว่าการจะทำประชามติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ หรือเกี่ยวกับบุคคล หรือคณะบุคคลจะกระทำไม่ได้ รู้ไว้ด้วย จะยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนุญว่าด้วยการทำประชามติฉบับแก้ไขก็ยังไม่ผ่านสภา นี่ก็ขัดกับรัฐธรรมนูญ ที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าทำผิดแล้วไม่ออก แล้วจะไปทำประชามติทำไม ดังนั้น การจะทำประชามติว่าจะเลือกรัฐบาลหรือพันธมิตรฯ มันทำไม่ได้
"เรายังมีภารกิจ เราสู้ต่อไป เราไม่ต้องเหนื่อย คนที่เหนื่อยคือรัฐบาล เราจะตั้งหน่วยเฉพาะกิจไปจับ ครม.ชุดนี้ เมื่อคืนมีนักศึกษาหลายคนไปจับสมัคร แต่ตำรวจไปอยู่ตั้งพันนาย สงสารภรรยาและลูกนายสมัคร บอกให้ออกก็ไม่ออก พวกนี้ไม่รักลูกเมีย แต่บ้าอำนาจ แล้วไปโกหกว่าไปพูดกับทูตทุกประเทศ อ้างทูตบอกว่าอย่ายอมเสียระบอบประชาธิปไตย ถ้าจริง ให้บอกมาสักประเทศสิว่าประเทศไหนที่จะบ้าเหมือนกับนายกฯ ประเทศไทย ฉะนั้นเราอย่าไปเครียดอย่าไปโกรธคนบ้า เรานั่งดูมันอย่างมีความสุขให้มันบ้ามันเครียด เราให้คนอื่นมันเครียดเราอย่าเครียดคนไหนเครียดก่อนคนนั้นตายก่อน"

***แนะทหารจับหมักตัววุ่นวาย
นายประพันธ์ คูณมี อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติ กล่าวว่า นักการเมืองไทยไม่มีจริยธรรม ชอบอ้างว่า มาจากการเลือกตั้ง ที่ตัวเองโกงเข้ามาว่านี่คือประชาธิปไตย คือ เอามาเฉพาะบางส่วนที่ตัวเองได้ประโยชน์ แต่ละเลยไม่ปฏิบัติตามประชาธิปไตยทั้งระบบ เหมือนกับประเทศที่เจริญแล้ว
อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ มองในแง่ดีการที่ นายสมัคร ไม่ยุบสภา หรือลาออก ทำให้การเมืองไทยตื่นตัวพัฒนาเทียบเท่าประเทศในยุโรป และเห็นว่า เวลานี้อำนาจอยู่ในมือของผู้บัญชาการทหารบก สามารถจับกุม นายสมัคร ในฐานะเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในบ้านเมือง
นายประพันธ์ เห็นว่า การเสนอทำประชามติ ก็เพื่อยืดอายุตัวเอง และทำไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกัน การทำประชามติที่เกี่ยวกับบุคคลและคณะบุคคลล้วนทำไม่ได้ ขณะเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้กฎหมายทำประชามติเพิ่งผ่านสภาผู้แทนฯแต่เมื่อพิจารณาในวุฒิสภาต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือน

***“สุริยะใส” ถอนหงอกหมัก
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวถึงท่าที่ของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่ยังยืนยันว่าจะไม่ลาออกว่า เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกินความคาดหมายเพราะเป็นวาระสุดท้ายทางการเมืองของนายสมัคร ดังนั้นจึงต้องดิ้นรน การอ้างว่าจะต้องอยู่เพื่อรักษาระบบนั้น เป็นแค่การอ้างเพื่อรักษาสถานะของตนเอง โดยจับประเทศเป็นตัวประกัน จะบริหารประเทศบนซากปรักหักพังก็ไม่สนใจ สนใจแค่เป็นนายกฯ ให้ได้นานที่สุด
การดื้อด้านดันทุรังจะทำให้เกิดผลกระทบ 2-3 ด้าน จนอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างเกินความคาดหมาย คือ 1.ความแตกแยกจะขยายตัวลุกลามบานปลายไปต่างจังหวัด จนอาจเป็นการจลาจลย่อยๆ หรือพัฒนากลายเป็นสงครามกลางเมือง 2.เสถียรภาพทางการเมืองจะทรุดลงไปเรื่อยๆ จนเกิดสภาวะความล้มละลายของอำนาจรัฐ เกิดการกบฏต่ออำนาจรัฐทั่วราชอาณาจักร คำว่ากบฏจะกลายเป็นแฟชั่นทางการเมืองจนไม่รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่น่าอับอาย และ 3.สภาพการเมืองแบบนี้จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารไม่ช้าก็เร็ว คงต้องถามนายสมัคร ว่า การสร้างเงื่อนไข ให้เกิดรัฐประหารแบบนี้หรือ คือการรักษาระบบ
นายสุริยะใส กล่าวต่อว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุให้พันธมิตรฯ ทบทวนเรื่องการเมืองใหม่นั้น อยากให้นายอภิสิทธิ์ พิจารณาศึกษาแนวคิดการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ให้ละเอียด เรือง 70 :30 นั้น 70 ไม่ได้หมายถึงการแต่งตั้งจากที่ไหนก็ได้ แต่การเมืองใหม่คือ ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างหลายหลาย ไม่ใช่การปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่การเมืองไม่ได้มีความหมายแค่การเลือกตั้งเท่านั้น
ส่วนการทำประชามติให้ประชาชนตัดสินว่าควรให้รัฐบาลทำงานต่อไปหรือให้พันธมิตรฯ ชุมนุมต่อไปนั้น คงจะทำไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญ ม. 165(2) เขียนไว้ชัดเจน การไปถามประชาชนว่า จะให้รัฐบาลบริหารต่อไปหรือไม่นั้น ไม่มีประเทศไหนทำกัน เมื่อบริหารงานไม่ได้ก็ควรจะพิจารณาตัวเอง เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นการใช้หัวคะแนนตนเอง จัดตั้งการมาทำประชามติ ซึ่งจะทำให้เกิดความแตกแยกเป็นวงกว้าง มากว่าที่เป็นอยู่
สำหรับ กรณีที่ศาลอุทธรณ์ สั่งเพิกถอนคำสั่งศาลแพ่งที่ห้ามพันธมิตรชุมนุมในทำเนียบ เนื่องจากมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมอยู่แล้วนั้น คงขึ้นกับ ผบ.ทบ.ว่าจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งเราไม่หวั่นเกรงอะไร เพราะยังต้องรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากรัฐบาล ยังดื้อทำประชามติ พันธมิตรจะทำอย่างไร นายสุริยะใส กล่าวว่า รัฐบาลจะทำได้ก็ต่อเมื่อมี พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติเสียก่อน แต่โดยหลักการแล้วทำไม่ได้ เพราะจะต้องมีการตีความกันอีกว่า สามารถทำได้หรือไม่ และขัดรัฐธรรมนูญ ม. 165(2 )หรือไม่ ซึ่งจะยืดยาวไปอีกหลายเดือน หากถึงเวลานั้น ความขัดแย้งอาจคลี่คลายไปแล้วก็ได้
นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสหพันธ์รัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส.แถลงว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกได้ให้เลขาประสานงานมายังตน แต่ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ตนคงจะไปพบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณ ผบ.ทบ ที่ให้เกียรติซึ่งความปรารถนาดีเหล่านั้นเราไม่ได้ปฏิเสธแต่ขอชะลอออกไปก่อน ขอคุยกับพันธมิตรฯ ก่อนว่าควรจะมีท่าทีอย่างไร ดังนั้นจึงได้ทำหนังสือ แจ้งไปที่สหภาพแรงงานทุกแห่งว่า เราไม่สะดวก และให้ชะลอการเข้าพบไปก่อน ซึ่งจะมีการประชุมกันอีกครั้งว่า ควรจะไปพบ ผบ.ทบ. เมื่อไร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะใช้เวลานานเท่าไรในการตัดสินใน นายสาวิทย์ กล่าว่า วันนี้ ผบ.ทบ. ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะคุยกับเราเรื่องอะไร จึงอยากให้ทำเป็นทางการว่า จะคุยกับเราเรื่องอะไร เพราะการที่ร่วมต่อสู้กับพันธมิตรฯ มา 100 กว่าวันนั้น บางทีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจกาลายเป็นปัญหาใหญ่ได้
ส่วนต้องรอให้นายกฯ ลา ออกก่อนหรือไม่ค่อยเจรจา นายสาวิทย์ กล่าวว่า เงื่อนไขในการต่อสู้ของเรา คือรัฐบาลต้องลาออก แต่ในการพูดคุยกับ ผบ.ทบ.นั้นเรายังไม่ทราบว่าท่านต้องการพูดคุยกับเราเรื่องอะไร อย่างไรก็ตามยืนยันว่า สรส. ยังคงเป็นเอกภาพดีอยู่
ด้านนายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พล.อ.อนุพงษ์ ได้นัดผู้นำแรงงานเข้าพบที่กองบัญชาการทหารบกในช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืนเมื่อวานนี้ ซึ่งตนได้ตอบไปว่า ไม่สามารถเข้าพบได้ และขอบคุณในความหวังดี ซึ่งการไปพบในสถานการณ์ขณะนี้ถือว่าไม่เหมาะสม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้นำแรงงานได้
ส่วนกรณีที่ผู้ว่า กฟผ.กล่าวว่าจะไม่มีการตัดไฟนั้น นายศิริชัย กล่าวว่า กฟผ.เปรียบเป็นต้นน้ำในการผลิดกระแสไฟฟ้า ถ้าทำอะไรไป จะกระทบต่อคนทั้งประเทศ แต่อะไรที่เราสนับสนุนพันธมิตรฯ ได้เราก็พร้อม เช่นเมื่อวานนี้ พนักงาน กฟผ. ก็ได้ลาหยุดงานมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก.
กำลังโหลดความคิดเห็น