xs
xsm
sm
md
lg

อนาคตลาดหุ้นไทยยังมืดมน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทยอนาคตมืดมน หลังราคาน้ำมันโลกลดกดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นขนาดใหญ่ บวกกับปัจจัยการเมืองยังไร้ทางออก ส่งผลนักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นไทยต่ออีก 3.2 พันล้านบาท รวม 2 วันหลังใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขายสิทธิรวม 6.6 พันล้านบาทแล้ว ดัชนีหลุดแนวรับ 650 จุด ด้านโบรกเกอร์ แนะนักลงทุนที่ต้องการช้อนหุ้นถูกแตะเบรกรอการเมืองนิ่งก่อน ระบุหากยืดเยื้อดัชนีอาจหลุด 600 จุด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยมีแรงขายออกมามากที่สุดในกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง บวกกับปัจจัยด้านการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย โดยดัชนีปรับตัวลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 648.95 จุด สูงสุดที่ 658.74 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 649.93 จุด ลดลง 9.58 จุด หรือคิดเป็น 1.45% มูลค่าการซื้อขาย 10,069.56 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทยอย่างออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิ 3,216.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 308.15 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,908.58 ล้านบาท ทำให้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติรวม 2 วัน หลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มียอดขายสุทธิรวม 6,611.44 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากปัจจัยทางการเมืองในประเทศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยังคงกดดันรัฐบาลต่อไป และจากการที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลงส่งผลให้มีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาสูงถึง 3.49% รวมทั้งยังมีแรงขายหุ้นกระจายในหุ้นกลุ่มพื้นฐานด้วย
ทั้งนี้ หากรวมแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยถึง 50% ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงต่ำกว่า 650 จุด ซึ่งแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานที่ออกมานั้นเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ เป็นหลักจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงและความกังวลในปัจจัยทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (4 ก.ย.) ขึ้นอยู่กับทิศทางราคาน้ำมันดิบ หากราคานำมันมีการปรับตัวลดลงแตะที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานมีการปรับตัวลดลงต่อ แต่หากราคาน้ำมันมีการทรงตัวและมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จะส่งผลดีต่อหุ้นพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด แม้เชื่อว่าปัจจัยทางการเมืองจะคงปรับตัวในทิศทางเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ เพราะหากงบประมาณปี 2552 ผ่าน จะทำให้รัฐบาลไม่ดำเนินการที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายต่อประเทศชาติ หลังจากช่วงที่ผ่านมาได้รับบทเรียนไปแล้วจากเหตุการณ์ปะทะกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
"กลยุทธ์การลงทุนขณะนี้ หากนักลงทุนที่มีการลงในหุ้นอยู่แล้ว ควรจะถือหุ้นต่อไป ขณะที่นักลงทุนที่ยังไม่ได้เข้าลงทุนควรจะฉวยจังหวะและเลือกลงทุน โดยประเมินแนวรับไว้ที่ระดับ 645 จุด และแนวต้านที่ระดับ 660 จุด"

**ชุมนุมยืดเยื้อหุ้นตกแตะ600จุด
นางสาววิริยา ลาภพรมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เกียรตินาคิน กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง เกิดจากนักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่ชัดเจนจึงกดดันให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดขาลง และจากการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงส่งผลให้นักลงทุนมีแรงขายหุ้นออกมาต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นระดับที่ดี
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ ต้องติดตามปัจจัยทางการเมืองหากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงและเปลี่ยนแปลงมากจะทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไม่มากนัก ประกอบกับทิศทางของราคาน้ำมัน ทั้งนี้ หลังจากที่ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 660 จุด หากการชุมนุมยังคงยืดเยื้อ การเมืองยังไม่คลี่คลายอาจจะกดดันให้ตลาดหุ้นปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 600-620 จุดได้ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 640 จุด แนวต้านที่ระดับ 650-655 จุด

**ก.ค.ปัจจัยลบรอถล่มอีกเพียบ
***นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจาก 2 ปัจจัยหลัก คือปัจจัยทางการเมืองในประเทศ และปัจจัยต่างประเทศการที่ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลงจาก พายุกุสตาฟไม่รุนแรงที่จะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซในอ่าวเม็กซิโก และการที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงนั้นก็ลดลงจากปัจจัยพื้นฐานจากความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง เพราะราคาที่สูง ซึ่งแนวโน้มราคาน้ำมันจะยังคงปรับตัวลดลง
"จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงส่งผลทำให้หุ้นที่มีการเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกับราคาน้ำมัน เช่นสินค้าโภคภัณท์ ราคาทองคำ มีการปรับตัวลดลง ซึ่งหากราคาหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบริษัทแนะนำให้มีการขายหุ้นออกมาก่อน"
สำหรับประเด็นที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงมีแรงขายหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง เกิดจาก 2 ปัจจัยจากการที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ทำให้ต้องติดตามว่าจากที่มีการตัดหนี้สูญนั้นจะเพียงพอกับความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามในไตรมาส 3/51 หากยังคงมีปัญหาอยู่ จะทำให้มีการดึงเม็ดเงินกลับไปและไม่มีเงินเพียงพอในการลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตามดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงต่อ จากความความเสี่ยงหลายเรื่อง ทั้งคดีทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คดียุบพรรคพลังประชาชน รวมถึงการพิจารณาคุณสมบัติของนายสมัคร สุนทรเวช ในกรณีชิมไปบ่นไป โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 640-647 จุด แนวต้านที่ระดับ 655-664 จุด ขณะที่หุ้นที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสาร และโรงพยาบาล ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดโดยรวม
ด้านนางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ รูดลงอย่างต่อเนื่องลงไปเกือบ 10 จุด คิดเป็น 1.45% มูลค่าการซื้อขาย 1.56 หมื่นล้านบาท สอดคล้องกับตลาดหุ้นในต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีทางออก
สำหรับแนวตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้ ยังคงอ่อนตัวลง เพราะยังไม่มีปัจจัยมากระตุ้นการลงทุนของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยแนะนำให้นักลงทุนที่คิดจะช้อนซื้อหุ้นราคาถูกช่วงนี้ชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอให้สถานการณ์ทางการเมืองและตลาดหุ้นนิ่งก่อน พร้อมให้แนวรับที่ 640 จุด และแนวต้านที่ 650 จุด

***ตลาดหุ้นมืดมน-การเมืองไร้ทางออก
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มเติมว่า วันนี้ (4 ก.ย.) ตลาดหุ้นยังยังคงต้องเผชิญแรงเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อและยังไม่มีทางออก ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน ขณะเดียวกัน หากสหภาพรัฐวิสาหกิจเพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาลด้วยการหยุดให้บริการในหลายภาคส่วนที่สำคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการลงทุนทั้งการขนส่งทางเรือ ทางอากาศและการส่งออก-นำเข้ากับต่างประเทศจะเป็นผลเสียที่ร้ายแรงต่อภาพเศรษฐกิจโดยรวม
นอกจากนี้ ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่จะมีผลกระทบต่อเนื่องถึงตลาดหุ้นไทย ยังถือว่าไม่ดีนักเพราะปัญหาวิกฤตภาคการเงินสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบไม่จบสิ้น ขณะที่ในเอเชียเองต้องระวัง คือ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่กำลังเผชิญวิกฤตค่าเงิน หลังอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินวอนอ่อนค่าลงมาแล้ว 16% ทำให้เงินวอนเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่าลงมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ส่งผลกระทลเชิงลบต่อการลงทุนในภูมิภาคเอเชีย
กำลังโหลดความคิดเห็น