ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนต่างชาติกลับลำซื้อหุ้นไทย ดันดัชนีเพิ่มขึ้น ตามทิศทางดาวโจนส์ หลังเฟดคงอัตราดอกเบี้ย-ราคาน้ำมันลด ระบุตั้งแต่ต้นปีต่างชาติทิ้งหุ้นไทยแล้วกว่า 9 หมื่นล้านบาท ด้านบล.ทิสโก้ มั่นใจเฮจ์ดฟันด์เตรียมโยกเงินลงทุนกองทุนน้ำมันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มแบงก์-อสังหาริมทรัพย์ ช่วยหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นเดือนนี้แตะ 720 จุด ด้าน "ภัทรียา" เล็งเสนอบอร์ดพิจารณาเพิ่มช่วงเวลาเทรด 11 ส.ค. นี้
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (9 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายตามดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 300 จุด จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.00% บวกกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงช่วยผ่อนคลายกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลดัชนีปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 678.80 จุด ต่ำสุด 667.17 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 676.35 จุด เพิ่มขึ้น 9.23 จุด คิดเป็น 1.38% มูลค่าการซื้อขาย 16,625.90 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือมียอดซื้อสุทธิ 305.18 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 580.65 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 885.83 ล้านบาท ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 51 นักลงต่างชาติมียอดขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงล่าสุด (5 ส.ค.) มียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 90,407.97 ล้านบาท
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้ บริษัทคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย หลังจากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้ขายหุ้นออกไปแล้วกว่า 8.6 หมื่นล้านบาท หากนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกไปอีกต้องประสบปัญหาขาดทุน เพราะมีต้นทุนอยู่ที่ดัชนี 580-600 จุด แม้จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 8-9% จากต้นทุนค่าเงินอยู่ที่ประมาณ 37.6 บาท
"ผมเชื่อว่านับตั้งแต่สิ้นเดือนก.ค.เป็นต้นไปจะมีแรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอีกประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งจะเท่าๆ กับช่วงเดือนพ.ย. 50-ม.ค. 51 ที่เกิดวิกฤตปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท" นายวิศิษฐ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน กองทุนเพื่อการเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จะโยกเม็ดเงินลงทุนจากการลงทุนในกองทุนน้ำมันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากราคาน้ำมันโลกเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนดังกล่าวต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเพราะดัชนีราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว แต่จากการที่หุ้นกลุ่มพลังงานมีน้ำหนักต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยถึงประมาณ 30% จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 700-730 จุด
จากการสำรวจการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นตรงและผ่านไทยเอ็นวีดีอาร์ พบว่า ต่างชาติมีสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ต่ำสุดในรอบ 30 เดือนแล้ว จึงเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศน่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ โดยบริษัทคาดนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินจากการเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์ที่ต่างชาติมี Net long ประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากนักลงทุนต่างชาติมีการชะลอการขายหุ้นและกลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง ประกอบกับเดือนนี้ยังไม่มีปัจจัยทางการเมืองในด้านการพิจารณาคดีทางการเมืองต่างๆ แต่จะมีการพิจารณาเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นไป โดยเชื่อว่าดัชนีจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 720 จุดได้
โดยหุ้นที่บริษัทแนะนำลงทุนจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และกำไรในไตรมาส2/51 ออกมาดี คือ KBANK, BBL ,SCB, KTB, KK ,TCAP, KEST ,SCC ,DTAC, TOP BCP ,BEC, MCOT, AP, SPALI , LH, PS, LPN ,QH ,ITD ,TDEX
สำหรับการที่รัฐบาลจะมีการยื่นต่อที่ประชุมสภาฯในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ เชื่อว่าจะยังไม่กระทบกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และการที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องนั้น ช่วยทำให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวลในเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศและมีส่วนช่วยชะลอการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยเชื่อว่าการประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการขึ้นดอกเบี้ย เพียง 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมที่เหลือ 3 ครั้งของปีนี้ และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2% จนถึงการประชุมในเดือนตุลาคมนี้
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ว่าปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 300 จุด หลังจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด ที่ระดับ 2 % และยังไม่ได้มีการส่งสัญญาณที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะอันใกล้ เพื่อประคองไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว โดยจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงตลาดหุ้นไทย
รวมถึงการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการปรับตัวลดลงต่ำเนื่อง จากคลายกังวลเกี่ยวกับพายุโซนร้อนที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน
รวมถึงการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงแรงและหลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ 120 ดอลลาร์จากและคาดว่าราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในเดือนหน้า ช่วยคลายความกังวลปัญหาเงินเฟ้อที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง และช่วยลดต้นทุนการผลิตและการส่งผลให้อัตราดอกเบี้บไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงมีแรงซื้อในหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเข้ามาสนับสนุนดัชนีฯให้ปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้คาดว่าดัชนีฯมีทิศทางในการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ต่อหลังจากมุมมองเชิงบวกที่เกิดขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจ หลังจากราคาน้ำมันส่งสัญญาณเป็นขาลงค่อนข้างชัดเจน ซึ่งเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยหากนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งหลังภาวะการลงทุนในสหรัฐฯเริ่มดีขึ้นน่าจะดึงให้ความเชื่อมั่นการลงทุนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแนวรับ 672 จุด แนวต้าน 690 จุด
ชงเพิ่มเวลาเทรดเข้าบอร์ด11ส.ค.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ จะมีการนำเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาซื้อขายหุ้น ในช่วง 19.00-21.00 น.ให้บอร์ดพิจารณา ตามข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาแก้ไขกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวให้บอร์ดพิจารณาเช่นกัน ว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่
"หากบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นชอบในหลักการเพิ่มช่วงเวลาเทรดหุ้น ต่อไปถึงจะพิจารณาถึงรูปแบบการเทรดว่าจะอนุญาตให้ซื้อขายเฉพาะทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น หรือให้ส่งคำซื้อขายได้ทั้งผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดและทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งการเปิดซื้อขายในช่วงเย็นนั้น จะเป็นการเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศมีเวลาในการเทรดหุ้นไทยมากขึ้น"
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (9 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายตามดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 300 จุด จากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.00% บวกกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลงช่วยผ่อนคลายกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลดัชนีปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 678.80 จุด ต่ำสุด 667.17 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 676.35 จุด เพิ่มขึ้น 9.23 จุด คิดเป็น 1.38% มูลค่าการซื้อขาย 16,625.90 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศได้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง คือมียอดซื้อสุทธิ 305.18 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 580.65 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 885.83 ล้านบาท ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 51 นักลงต่างชาติมียอดขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงล่าสุด (5 ส.ค.) มียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 90,407.97 ล้านบาท
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้ บริษัทคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย หลังจากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้ขายหุ้นออกไปแล้วกว่า 8.6 หมื่นล้านบาท หากนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกไปอีกต้องประสบปัญหาขาดทุน เพราะมีต้นทุนอยู่ที่ดัชนี 580-600 จุด แม้จะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 8-9% จากต้นทุนค่าเงินอยู่ที่ประมาณ 37.6 บาท
"ผมเชื่อว่านับตั้งแต่สิ้นเดือนก.ค.เป็นต้นไปจะมีแรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอีกประมาณ 7 พันล้านบาท ซึ่งจะเท่าๆ กับช่วงเดือนพ.ย. 50-ม.ค. 51 ที่เกิดวิกฤตปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมาประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท" นายวิศิษฐ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน กองทุนเพื่อการเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จะโยกเม็ดเงินลงทุนจากการลงทุนในกองทุนน้ำมันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากราคาน้ำมันโลกเริ่มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนดังกล่าวต้องหาแหล่งลงทุนใหม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นเพราะดัชนีราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากแล้ว แต่จากการที่หุ้นกลุ่มพลังงานมีน้ำหนักต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยถึงประมาณ 30% จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 700-730 จุด
จากการสำรวจการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่ถือหุ้นตรงและผ่านไทยเอ็นวีดีอาร์ พบว่า ต่างชาติมีสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ ต่ำสุดในรอบ 30 เดือนแล้ว จึงเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศน่าจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ โดยบริษัทคาดนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินจากการเข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์ที่ต่างชาติมี Net long ประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น จากนักลงทุนต่างชาติมีการชะลอการขายหุ้นและกลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง ประกอบกับเดือนนี้ยังไม่มีปัจจัยทางการเมืองในด้านการพิจารณาคดีทางการเมืองต่างๆ แต่จะมีการพิจารณาเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนเป็นต้นไป โดยเชื่อว่าดัชนีจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 720 จุดได้
โดยหุ้นที่บริษัทแนะนำลงทุนจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และกำไรในไตรมาส2/51 ออกมาดี คือ KBANK, BBL ,SCB, KTB, KK ,TCAP, KEST ,SCC ,DTAC, TOP BCP ,BEC, MCOT, AP, SPALI , LH, PS, LPN ,QH ,ITD ,TDEX
สำหรับการที่รัฐบาลจะมีการยื่นต่อที่ประชุมสภาฯในวันที่ 17 สิงหาคมนี้ เชื่อว่าจะยังไม่กระทบกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และการที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องนั้น ช่วยทำให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวลในเรื่องการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริโภคภายในประเทศและมีส่วนช่วยชะลอการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย โดยเชื่อว่าการประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการขึ้นดอกเบี้ย เพียง 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมที่เหลือ 3 ครั้งของปีนี้ และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2% จนถึงการประชุมในเดือนตุลาคมนี้
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในวันนี้ว่าปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 300 จุด หลังจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด ที่ระดับ 2 % และยังไม่ได้มีการส่งสัญญาณที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะอันใกล้ เพื่อประคองไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว โดยจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงตลาดหุ้นไทย
รวมถึงการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการปรับตัวลดลงต่ำเนื่อง จากคลายกังวลเกี่ยวกับพายุโซนร้อนที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน
รวมถึงการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลดลงแรงและหลุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญที่ 120 ดอลลาร์จากและคาดว่าราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในเดือนหน้า ช่วยคลายความกังวลปัญหาเงินเฟ้อที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง และช่วยลดต้นทุนการผลิตและการส่งผลให้อัตราดอกเบี้บไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงมีแรงซื้อในหุ้นที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเข้ามาสนับสนุนดัชนีฯให้ปรับเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มในวันพรุ่งนี้คาดว่าดัชนีฯมีทิศทางในการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ต่อหลังจากมุมมองเชิงบวกที่เกิดขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจ หลังจากราคาน้ำมันส่งสัญญาณเป็นขาลงค่อนข้างชัดเจน ซึ่งเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงและอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มมีเสถียรภาพมากขึ้นหลังจากเฟดคงอัตราดอกเบี้ยแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยหากนักลงทุนต่างชาติเป็นฝ่ายกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งหลังภาวะการลงทุนในสหรัฐฯเริ่มดีขึ้นน่าจะดึงให้ความเชื่อมั่นการลงทุนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแนวรับ 672 จุด แนวต้าน 690 จุด
ชงเพิ่มเวลาเทรดเข้าบอร์ด11ส.ค.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) ในวันที่ 11 สิงหาคมนี้ จะมีการนำเรื่องการเพิ่มช่วงเวลาซื้อขายหุ้น ในช่วง 19.00-21.00 น.ให้บอร์ดพิจารณา ตามข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาแก้ไขกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และผลการสำรวจความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวให้บอร์ดพิจารณาเช่นกัน ว่าเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าวหรือไม่
"หากบอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นชอบในหลักการเพิ่มช่วงเวลาเทรดหุ้น ต่อไปถึงจะพิจารณาถึงรูปแบบการเทรดว่าจะอนุญาตให้ซื้อขายเฉพาะทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น หรือให้ส่งคำซื้อขายได้ทั้งผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดและทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งการเปิดซื้อขายในช่วงเย็นนั้น จะเป็นการเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศมีเวลาในการเทรดหุ้นไทยมากขึ้น"