ดัชนีหุ้นไทยรูด 11 จุดนักลงทุนไม่ตอบรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้ยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเห็นผล ขณะที่ฝรั่งกระหน่ำขาย 2.6 พันล้านหลังวิตกหนักเศรษฐกิจสหรัฐฯทรุด บล.นครหลวงไทย ชี้เงินเฟ้อกดดันการพิจารณาลดดอกเบี้ย คาดกนง.คงดอกเบี้ยต่อ โบรกฯระบุต้องติดตามคำแถลงเฟดเกี่ยวกับพิษ"ซับไพรม์" ด้านก.ล.ต.เร่งถกบล.-บลจ.จัดสรรเงินลงทุนไปต่างประเทศหลังแบงก์ชาติอนุมัติวงเงินเพิ่ม
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 มี.ค.) แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนจากมติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรี แต่ก็ถือว่เาป็นเรื่องที่นักลงทุนรับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่ยังมีความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายออกมาในหุ้นขนาดใหญ่กว่า 2.6 พันล้านบาท ประกอบกับในช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้จะมีหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัททะยอยขึ้น XD เพื่อรับเงินปันผล
สำหรับตลาดหุ้นไทยแม้ว่าในช่วงเช้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่แรงขายอย่างหนักในหุ้นกลุ่มพลังงานส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 831.41 จุด ลดลง 11.51 จุด หรือ 1.37% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 849.91 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 831.26 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,790. 66 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,665.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 267.48 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,397.87 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยบวกในประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่นักลงทุนรับรู้อยู่แล้ว ประกอบกับมาตรการต่างๆที่ออกมาส่วนใหญ่จะส่งผลในระยะกลางถึงระยาว ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษีซึ่งมีผลในงวดบัญชีปีหน้าซึ่งเรื่องดังกล่าวตลาดก็ตอบรับไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามในคืนนี้ คือ การแถลงการของเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะปราศรัยเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ รวมถึงเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime) ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องบวก ว่าในท้ายที่สุดจะประกาศออกมาในทิศทางใด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วเอเชียเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าจะมีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมติคณะรัฐมนตรีออกมานักลงทุนก็ไม่ได้ตอบรับในเรื่องดังกล่าวมากนักเนื่องจากเป็นเรื่องที่รับทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาแม้ว่าจะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อตลาดหุ้น แต่นักลงทุนก็รับรู้มาในระดับหนึ่งแล้ว โดยมาตรการดังกล่าวมีผลต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน
ขณะที่เดียวกันการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียนรายเดิมในตลาดหลักทรัพย์(SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ maiปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรคาบเกี่ยว 200-300 ล้านบาทมีอยู่มากในตลาด SET ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์
" แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะยังส่งผลบวกต่อตลาด แต่ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงินบาท และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อ่อนตัวลงจึงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา"นางสาววิริยากล่าว
**SCIBSคาดกนง.คงดอกเบี้ย
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า จากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในเดือนล่าสุด อาจส่งผลให้การลดดอกเบี้ยของกนง. อาจจะไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ โดยในเบื้องต้นแล้วจากการที่ธปท. ได้มีการยกเลิกนโยบายกันสำรอง 30% ส่งผลให้เกิดแรงกดดันทางจิตวิทยากับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอย่างมาก
ทั้งนี้ หลายฝ่ายรคาดกันว่าจะต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อเป็นการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามบล.นครหลวงไทยคาดว่าการลดดอกเบี้ยเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทจะช่วยได้แค่ในเรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น ซึ่งทำให้ในเบื้องต้นคาดว่าการตัดสินใจของกนง. อาจจะต้องให้น้ำหนักกับเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้อในประเทศ มากกว่าเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทำให้อาจจะมีการยืดระยะเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% ออกไปอีก อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูอัตราเงินเฟ้อในเดือนมี.ค. ที่จะมีประกาศก่อนการประชุมกนง. ในวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งถ้าอัตราเงินเฟ้อมีการชะลอตัวลงอาจจะได้เห็นการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของทางกนง. ก็เป็นได้
**หุ้นใหญ่แขวนXDฉุดดัชนี
ด้านบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. หุ้นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายบริษัทจะขึ้นเครื่องหมายผู้ซื้อไม่มีสิทธิรับเงินปันผล ( XD) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 14 จุดโดยประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุนในตลาดหุ้น
โดยวานนี้ (4 มี.ค.) มีหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD เช่น CCET จ่ายปันผล 0.20 บาท, PSL จ่ายปันผล 0.75 บาท, PTTEP จ่ายปันผล 1.67 บาท, TASCO จ่ายปันผล 0.80 บาท และ TMT จ่ายปันผล 0.40 บาท ขณะที่ในวันนี้จะมีหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD เช่น AI จ่ายปันผล 0.25 บาท และ KEST จ่ายปันผล 0.68 บาท
**ก.ล.ต.ถกอนุมัติวงเงินลุยนอก
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการประสานงานไปยังสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เพื่อจัดสรรวงเงินการไปลงทุนในต่างประเทศ และวิธีการขั้นตอนการดำเนินงานเรื่องดังกล่าว ว่าบริษัทใดต้องการวงเงินการไปลงทุนเท่าไรแต่วงเงินที่ขอไปจะต้องใช้จริง หลังจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีการเพิ่มวงเงินลงทุนต่างประเทศเพิ่มอีก 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้เมื่อรวมกับวงเงินการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่ง ธปท. ได้อนุมัติไว้แล้ว และวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนที่ต่ำกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (เดิม ธปท. เป็นผู้อนุมัติให้ผู้ลงทุนโดยตรง) คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการของธปท.นั้นเป็นการปูพื้นฐานในการเชื่อมโยงในการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นต่างๆให้มีการซื้อขายคล่องตัวมากขึ้นและเป็นโอกาสให้บริษัทหลักทรัพย์มีสินค้าใหม่ๆมากขึ้นในการเสนอบริการต่อนักลงทุน และเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
“การผ่อนคลายดังกล่าวจะช่วยในการพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างตลาดทุนในภูมิภาคและเป็นช่องให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถพัฒนาแนวทางการทำธุรกิจใหม่ๆ ได้มากขึ้น จึงขอแนะนำให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ใช้โอกาสนี้ในการวางแผนธุรกิจในอนาคตต่อไป”นายธีระชัย กล่าวว่า
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 มี.ค.) แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับแรงหนุนจากมติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรี แต่ก็ถือว่เาป็นเรื่องที่นักลงทุนรับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่ยังมีความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายออกมาในหุ้นขนาดใหญ่กว่า 2.6 พันล้านบาท ประกอบกับในช่วงมี.ค.-เม.ย.นี้จะมีหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัททะยอยขึ้น XD เพื่อรับเงินปันผล
สำหรับตลาดหุ้นไทยแม้ว่าในช่วงเช้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่แรงขายอย่างหนักในหุ้นกลุ่มพลังงานส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 831.41 จุด ลดลง 11.51 จุด หรือ 1.37% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 849.91 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 831.26 จุด มูลค่าการซื้อขาย 19,790. 66 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,665.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 267.48 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,397.87 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยบวกในประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่นักลงทุนรับรู้อยู่แล้ว ประกอบกับมาตรการต่างๆที่ออกมาส่วนใหญ่จะส่งผลในระยะกลางถึงระยาว ไม่ว่าจะเป็น การลดภาษีซึ่งมีผลในงวดบัญชีปีหน้าซึ่งเรื่องดังกล่าวตลาดก็ตอบรับไปเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามในคืนนี้ คือ การแถลงการของเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะปราศรัยเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ รวมถึงเรื่องปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime) ซึ่งไม่น่าจะเป็นเรื่องบวก ว่าในท้ายที่สุดจะประกาศออกมาในทิศทางใด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วเอเชียเนื่องจากนักลงทุนยังไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าจะมีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมติคณะรัฐมนตรีออกมานักลงทุนก็ไม่ได้ตอบรับในเรื่องดังกล่าวมากนักเนื่องจากเป็นเรื่องที่รับทราบมาก่อนหน้านี้แล้ว
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาแม้ว่าจะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อตลาดหุ้น แต่นักลงทุนก็รับรู้มาในระดับหนึ่งแล้ว โดยมาตรการดังกล่าวมีผลต่อการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน
ขณะที่เดียวกันการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทจดทะเบียนรายเดิมในตลาดหลักทรัพย์(SET) และ ตลาดหลักทรัพย์ maiปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรคาบเกี่ยว 200-300 ล้านบาทมีอยู่มากในตลาด SET ซึ่งเชื่อว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์
" แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะยังส่งผลบวกต่อตลาด แต่ยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแข็งค่าของเงินบาท และเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อ่อนตัวลงจึงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมา"นางสาววิริยากล่าว
**SCIBSคาดกนง.คงดอกเบี้ย
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า จากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในเดือนล่าสุด อาจส่งผลให้การลดดอกเบี้ยของกนง. อาจจะไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ โดยในเบื้องต้นแล้วจากการที่ธปท. ได้มีการยกเลิกนโยบายกันสำรอง 30% ส่งผลให้เกิดแรงกดดันทางจิตวิทยากับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอย่างมาก
ทั้งนี้ หลายฝ่ายรคาดกันว่าจะต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อเป็นการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท แต่อย่างไรก็ตามบล.นครหลวงไทยคาดว่าการลดดอกเบี้ยเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทจะช่วยได้แค่ในเรื่องของจิตวิทยาเท่านั้น ซึ่งทำให้ในเบื้องต้นคาดว่าการตัดสินใจของกนง. อาจจะต้องให้น้ำหนักกับเสถียรภาพอัตราเงินเฟ้อในประเทศ มากกว่าเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งทำให้อาจจะมีการยืดระยะเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% ออกไปอีก อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูอัตราเงินเฟ้อในเดือนมี.ค. ที่จะมีประกาศก่อนการประชุมกนง. ในวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งถ้าอัตราเงินเฟ้อมีการชะลอตัวลงอาจจะได้เห็นการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของทางกนง. ก็เป็นได้
**หุ้นใหญ่แขวนXDฉุดดัชนี
ด้านบทวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยา ระบุว่า ในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย. หุ้นบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายบริษัทจะขึ้นเครื่องหมายผู้ซื้อไม่มีสิทธิรับเงินปันผล ( XD) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 14 จุดโดยประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุนในตลาดหุ้น
โดยวานนี้ (4 มี.ค.) มีหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD เช่น CCET จ่ายปันผล 0.20 บาท, PSL จ่ายปันผล 0.75 บาท, PTTEP จ่ายปันผล 1.67 บาท, TASCO จ่ายปันผล 0.80 บาท และ TMT จ่ายปันผล 0.40 บาท ขณะที่ในวันนี้จะมีหุ้นที่ขึ้นเครื่องหมาย XD เช่น AI จ่ายปันผล 0.25 บาท และ KEST จ่ายปันผล 0.68 บาท
**ก.ล.ต.ถกอนุมัติวงเงินลุยนอก
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการประสานงานไปยังสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เพื่อจัดสรรวงเงินการไปลงทุนในต่างประเทศ และวิธีการขั้นตอนการดำเนินงานเรื่องดังกล่าว ว่าบริษัทใดต้องการวงเงินการไปลงทุนเท่าไรแต่วงเงินที่ขอไปจะต้องใช้จริง หลังจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีการเพิ่มวงเงินลงทุนต่างประเทศเพิ่มอีก 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้เมื่อรวมกับวงเงินการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่ง ธปท. ได้อนุมัติไว้แล้ว และวงเงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศส่วนที่ต่ำกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (เดิม ธปท. เป็นผู้อนุมัติให้ผู้ลงทุนโดยตรง) คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการของธปท.นั้นเป็นการปูพื้นฐานในการเชื่อมโยงในการซื้อขายระหว่างตลาดหุ้นต่างๆให้มีการซื้อขายคล่องตัวมากขึ้นและเป็นโอกาสให้บริษัทหลักทรัพย์มีสินค้าใหม่ๆมากขึ้นในการเสนอบริการต่อนักลงทุน และเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
“การผ่อนคลายดังกล่าวจะช่วยในการพัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างตลาดทุนในภูมิภาคและเป็นช่องให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถพัฒนาแนวทางการทำธุรกิจใหม่ๆ ได้มากขึ้น จึงขอแนะนำให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ใช้โอกาสนี้ในการวางแผนธุรกิจในอนาคตต่อไป”นายธีระชัย กล่าวว่า