xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นเด้งลุ้น “สมชาย” โดนตะเพิดหลุดวันนี้ เคจีไอฯ ชี้จุดต่ำสุดปีหน้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหุ้นไทยผันผวนจากช่วงเช้าดิ่งหนักกว่า 10 จุด ก่อนบ่ายจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังเกิดข่าวนายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” โดน “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ตะเพิดกลางอากาศให้หลุดจากตำแหน่ง แม้จะไม่ยินยอมพร้อมใจ ขณะที่ SECC โดยกระหน่ำหนัก ราคาร่วงติดฟลอร์ หลังเกิดข่าวผู้บริหารหลบหนีออกนอกประเทศ จนต้องหลักทรัพย์ฯ ต้องเรียกให้ชี้แจง ด้านโบรกฯ ชี้ตลาดหุ้นไทยตกต่ำสุด 236 จุด ครึ่งแรกปีหน้า คาดเศรษฐกิจยังทรุดหนัก แก้ปัญหาวิกฤตยังไม่คลี่คลาย

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างแกว่งตัว โดยในช่วงเช้าได้ปรับตัวเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบ จากความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง หลังจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ในช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวดีขึ้น ขานรับข่าวที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงข่าวว่าที่ประชุมร่วมกับผู้นำภาคราชการ เอกชน และวิชาการ ได้ลงมติให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่ง โดยการยุบสภา และคืนอำนาจให้กับประชาชน

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำสุดในภาคเช้าที่ระดับ 380.05 จุด ก่อนที่จะเด้งกลับและปิดที่ราคาสูงสุด 395.22 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 3.37 จุด หรือคิดเป็น 0.86% มูลค่าการซื้อขายรวม 10,060.53 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,464.34 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 946.08 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 518.26 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 85 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 3 บาท หรือคิดเป็น 3.66% มูลค่าการซื้อขาย 1,450.94 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 143 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ 3.62% มูลค่าการซื้อขาย 1,305.29 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 43 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ 2.82% มูลค่าการซื้อขาย 1,141.69 ล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยถูกกดดันด้วยปัจจัยเดิมคือ ปัจจัยต่างประเทศเรื่องของวิกฤตสถาบันการเงินที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก รวมถึงการประกาศปลดคนงานของบริษัทขนาดใหญ่ ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงเป็นเรื่องความดื้อด้านของรัฐบาลสมชาย ที่ไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหา และหนีโดยการอ้างไปประชุมต่างประเทศ แล้วโยนความผิดให้กับกลุ่มผู้ชุมชุม ขณะเดียวกัน ก็ประเมินว่า ผลกระทบในการปิดสนามบิน อาจมีบ้าง และเป็นแค่ระยะสั้น เพราะนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติเข้าใจ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ) ได้หารือรวมกับผู้นำภาคราชการ เอกชน รวมถึงนักวิชาการ เพื่อหาทางออกทางการเมืองของไทย โดยได้มีข้อสรุปร่วมกันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกแล้วยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ นักลงทุนต้องรอดูสถานการณ์ทางการเมืองว่าจะมีผลสรุปออกมาอย่างไร โดยเฉพาะการชิงไหวชิงพริบระหว่างนายสมชาย และพล.อ.อนุพงษ์ ที่เริ่มเปิดเผยตัวตนในการเลือกข้าง โดยต้องลุ้นว่าใครจะไปก่อนกัน หลังสมาชิกพรรคพลังประชาชน (พปช.) ออกมากดดันนายสมชาย ให้สั่งปลด พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งงานนี้ เป็นการเปิดหน้าชก ตลาดคงต้องจับตาว่า ใครจะไปก่อนกัน

***เคจีไอ ประเมินดัชนีปีหน้าต่ำสุด 236 จุด

นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐศาสตร์และกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า บริษัทประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปีหน้าโดยใช้ราคาต่อผลกำไร(P/E) ซึ่งบริษัทคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวมจะเติบโตลดลง 5% อยู่ที่ 4.71 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่ 4.95 แสนล้านบาท จึงทำให้ค่าP/E ปีหน้าจะสูงสุดเพียง 9 เท่า และต่ำสุดที่ 4 เท่า ส่งผลให้ดัชนีปีหน้าจะอยู่ระหว่าง 236-532 จุด

ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรกปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 236 จุด เนื่องจาก เศรษฐกิจสหรัฐจะตกต่ำสุด และรัฐบาลของนาย บารัค โอบามา ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเงินได้ นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยจากปัจจุบันที่เหลืออยู่ 1.10 แสนล้านบาทหลังจากปีนี้ขายสุทธิ 1.47 แสนล้านบาท และหากปัญหาทางการเมืองยังยืดเยื้อ แต่เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังดัชนีตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวได้

“บริษัทมองว่าการประเมินดัชนีปีหน้าของตลาดหุ้นไทยโดยใช้ค่า P/E นั้น เหมาะสมสุดจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งจากกำไรบจ.ปีหน้าจะลดลง 5% นั้น ทำให้ดัชนีเป็นไปได้ยากที่ค่าP/Eจะโตได้ 2 หลัก ซึ่งค่าP/Eสูงสุดจะอยู่ที่ 9 เท่า และต่ำสุด 4 เท่า กรอบดัชนีปีหน้าจะอยู่ที่ 236-532 จุด แต่หากนำกำไรหุ้นรายตัวมาคิดดัชนีปีหน้าจะอยู่ที่ 575 จุด ซึ่งวอลุ่มเฉลี่ยปีหน้าอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ 1.62 หมื่นล้านบาท ”นายรักพงศ์ กล่าว

สำหรับหุ้นกลุ่มที่จะมีกำไรเติบโตดีในปีหน้าคือหุ้นกลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากมีการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนจึงทำให้มีกำไรเติบโตเพิ่มขึ้น 7.1% อยู่ที่ 1.29 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดจะมีกำไรสุทธิ 1.21หมื่นล้านบาท และหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีกำไรโต 2.5% อยู่ที่ 8.48 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มี 8.25 หมื่นล้านบาท

ส่วนหุ้นที่มีกำไรลดลงต่ำสุด คือ กลุ่มสื่อสารจะมีกำไรลดลง 7.8% อยู่ที่ 3.34 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 3.62 หมื่นล้านบาท รองมาหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์กำไรลดลง 5.7% อยู่ที่ 2.39 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่2.53 หมื่นล้านบาท ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานโดยประเมินราคาน้ำมันอยู่ที่ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลลดลง 3.4% อยู่ที่ 1.81 แสนล้านบาท จากปีนี้ที่อยู่ที่ 1.88 แสนล้านบาท จากช่วง 8เดือนแรกปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง

นายรักพงศ์ กล่าวว่า บริษัทคาดจีดีพีปีหน้าของไทยจะโตได้ 4% ซึ่งเติบโตลดลงจากปีนี้ที่คาดว่าจะโต จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต4.7% ปัจจัยหลักที่จะหนุนให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าโตได้ คือการใช้จ่ายของภาครัฐบาลในการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็ก จากที่ไทยมีการทำงบประมาณขาดดุล 3 ปีติดต่อกัน และหากปัจจัยการเมืองคลี่คลายได้ก็จะทำให้ภาคเอกชนมีการลงทุนมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น 4.5% จากปีนี้ที่ 4.4%

“เรามองจีดีพีปีหน้าโตได้ 4% ซึ่งถือว่าดีกว่ามุมมองของคนในวงการ ที่สภาพัฒน์ฯ มองว่าจะโต 3-4% ธปท.มองว่าจะโต 3.8-5% ซึ่งจากการหารือกับธปท.เชื่อว่า ธปท.จะมีการปรับลดจีดีพีลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งบริษัทมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายปีหน้าจะลดลงเหลือ 2.75-3% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 3.75% ”นายรักพงศ์ กล่าวว่า

***SECC หุ้นดิ่งเซ่นข่าวผู้บริหารหลบหนี

รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งเพิ่มเติมว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศขึ้นเครื่องหมาย NP (Notice Pending) หลักทรัพย์ของบริษัท เอส อี ซี ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (SECC) ตั้งแต่การซื้อขายหลักทรัพย์รอบบ่ายของวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 หลังจากปรากฏข่าวว่าผู้บริหารของบริษัทได้หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างให้บริษัทชี้แจงข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะเหตุการณ์ณ์ดังกล่าวอาจจะมีผลต่อความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบนกระดานหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย NP จนกว่าจะได้รับการชี้แจงจากบริษัท

ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น SECC และ SECC-W1 วานนี้ (26 พ.ย.) ได้ปรับตัวลดลงอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า และลดต่ำติดฟลอร์ โดย SECC ปิดที่ 1.30 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.44 บาท หรือคิดเป็น 29.93% มูลค่าการซื้อขายรวม 0.39 ล้านบาท ขณะที่ SECC-W1 ราคาปิดที่ 0.12 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.08 บาท หรือคิดเป็น 40.00% มูลค่าการซื้อขาย 33.55 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อไปยังผู้บริหารของบริษัท เอส อี ซี ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (SECC) เพื่อสอบถามเรื่องดังกล่าว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบแต่อย่างใด
กำลังโหลดความคิดเห็น