ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงารับเทศกาลตรุษจีน มูลค่าการซื้อขายวูบเหลือ 7.4 พันล้านบาท ต่ำสุดในรอบเกือบ 10 เดือน บล.ทิสโก้ แนะนักลงทุนลดน้ำหนักลงทุนหุ้นถือเงินสดมากขึ้น เน้นลงทุนหุ้นปันผลงบสวย เหตุ ภาวะตลาดหุ้นผันผวนถึงครึ่งปีนี้ ด้าน "ไพบูลย์ " เผยตลาดหุ้นผันผวนจูงใจเฮดจ์ฟันด์เข้าลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนระยะยาวยังรอความชัดเจนการแก้ปัญหาซับไพรม์และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7ก.พ.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากเป็นช่วงตรุษจีนตลาดหุ้นในแถบเอเชียมีการปิดทำการ โดยดัชนีปิดที่ 793.17 จุด ปรับตัวลดลง 1.46 จุด หรือปรับตัวลดลง 0.18%ซึ่งระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 796.96 จุด ปรับตัวต่ำสุดที่ 790.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7,464.38 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายต่ำสุดในรอบเกือบ 10 เดือน จากเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 7,007.98 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 248.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 228.47 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 476.73 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึง การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ว่า เป็นแรงซื้อจากกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) เนื่องจากภาวะตลาดที่ผันผวนเป็นแรงจูงใจที่ทำให้กองทุนเก็งกำไรดังกล่าวจึงเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนระยะยาวนั้นยังไม่เข้ามาลงทุน เพราะต้องรอดูความชัดเจนจากความเสียหายของปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐฯ ก่อน
"แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นแรงซื้อจากเฮดจ์ฟันด์ เพราะดูจากพฤติกรรมการลงทุนที่เข้ามาลงทุนระยะสั้น และมีการซื้อจำนวนมาก รวมถึงเข้ามาลงทุนในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ซึ่งเฮดจ์พันด์นั้นชอบเข้ามาลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวนเพราะสามารถทำกำไรได้"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 1/51 นี้จะปรับตัวลดลงมากที่สุด แต่จะถึงขั้นติดลบหรือไม่ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนนี้ โดยมุมมองของบริษัทประเมินว่าจะมีมุมมองทางด้านลบมากกว่าทางบวก จากไตรมาส 4/50 นั้นเติบโตเพียง 0.6% และคาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/51
สำหรับปัจจัยภายนอกที่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกและปัจจัยภายในประเทศถึงแม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องทิศทางนโยบายต่างๆ และโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรีใหม่อาจไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เชื่อว่าน่าจะไม่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะนักลงทุนในตลาดนั้นไม่ได้มีการคาดหวังไว้สูง
"ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนและมีความเสี่ยงที่สูงไปจนถึงกลางปีนี้ ดังนั้นบริษัทจึงแนะนำให้นักลงทุนมีการลดน้ำหนักการถือหุ้นเหลือ 60% ถือเงินสด 40% จากเดิมที่แนะนำถือหุ้น 80% ถือเงินสด 20% และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากที่รัฐบาลจะมีการพลักดันการลงทุนต่างๆซึ่งจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไทย และความชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งจากผลสำรวจสมาคมนักวิเคราะห์ประเมินว่าปีนี้กำไรบจ.จะโตไม่ต่ำกว่า 20%แรงจูงใจนักลงทุนเข้ามาลงทุน โดยบริษัทจึงคงเป้าว่าดัชนีปีนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 1,000 จุด"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในสัปดาห์บริษัทจะมีการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ที่นิวยอร์กซึ่งจะพาบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ไปจำนวน 4 บริษัท และจากนั้นจะไปประเทศแถบยุโรปทั้งหมด เพื่อไปให้ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีการสอบถามข้อมูลจำนวนมาก แต่ยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก เพราะ รอข้อมูลต่างๆชัดเจนมากกว่านี้
***หุ้นไทยสับดาห์หน้าผันผวน
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทคาดแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 กุมภาพันธ์ ถึง 15 มีนาคม 2551 ยังคงผันผวนอยู่ ซึ่งหากดัชนีไม่หลุดแนวรับที่780 จุด ยังมีแนวโน้มสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 830 จุด ได้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 860 จุด จากปัจจัยสนับสนุนคือ การฟื้นตัวของดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นทั่วโลก หลังเฟดปรับลดดอกเบี้ย 1.25 % ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ มูลค่า 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีแนวทางทั้ง การยกเลิกมาตรการ 30 %,โครงการลงทุนรถไฟฟ้า 9 สาย การประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 พร้อมทั้งอาจมีการประกาศการจ่ายเงินปันผล ช่วงเดือน มีนาคมและเดือนเมษายนนี้
สำหรับปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจเข้าสู่ช่วงภาวะชะลอตัวมีสูงขึ้นในไตรมาส 2 และหากเป็นจริงดัชนีดาวโจนส์ จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงมาอยู่ที่ 11,000 จุด และหากดัชนีดาวโจนส์สูงขึ้นมากกว่า 12,450 จุด ได้ ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง 13,000 จุด
อย่างไรก็ตามบริษัทแนะนำการลงทุนในหุ้นสำหรับเดือนกุมภาพันธ์นี้ นักลงทุนควรเน้นลงทุนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ หรือ Domestic Play และหุ้นปันผล อาทิ 1.กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ เช่น KBANK โดยราคาเป้าหมายที่ 90 บาท,BBL โดยราคาเป้าหมายที่ 150 บาท,SCBโดยราคาเป้าหมายที่ 90 บาท ,KTBโดยราคาเป้าหมายที่ 14 บาท
2.กลุ่มสื่อสาร คือ DTAC โดยราคาเป้าหมายที่ 47 บาท,ADVANC โดยราคาเป้าหมายที่ 101 บาท 3.กลุ่มบันเทิง คือ MAJORโดยราคาเป้าหมายที่ 22 บาท , BECโดยราคาเป้าหมายที่ 32 บาท, MCOTโดยราคาเป้าหมายที่ 38 บาท4.กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ITD โดยราคาเป้าหมายที่ 8.7 บาท ,STEC โดยราคาเป้าหมายที่ 5.3 บาท,PLE โดยราคาเป้าหมายที่ 8.7 บาท ,SEAFCOโดยราคาเป้าหมายที่ 9.6 บาท, QHโดยราคาเป้าหมายที่ 2.65 บาท , PSโดยราคาเป้าหมายที่ 9.8 บาท , LPNโดยราคาเป้าหมายที่ 9.6 บาท, LHโดยราคาเป้าหมายที่ 9 บาท
5.อื่นๆ DELTA โดยราคาเป้าหมายที่ 29.25 บาท,TVOโดยราคาเป้าหมายที่ 18.2 บาท, CPALLโดยราคาเป้าหมายที่ 12 บาท,MAKROโดยราคาเป้าหมายที่ 6 บาท และ 6.กองทุนETF , TDEX
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงเล็กน้อยท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนทำให้นักลงทุนบางส่วนหยุดการซื้อขาย ประกอบกับตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลดลง หลังประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียออกมาเตือนเกี่ยวกับอันตรายของเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่าเฟดอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัว
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบปรับลดลง ส่งผลให้หุ้นบมจ.ปตท. (ปตท.) และบมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) ปรับลงตาม ขณะที่ตลาดหุ้นยังขาดปัจจัยบวกแม้จะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่จากตัวบุคคลที่ไม่มีประสบการณ์และไม่ตรงสายงาน ทำให้ไม่ได้รับการตอบรับจากตลาดหุ้นเท่าที่ควร รวมทั้งนักลงทุนบางส่วนต้องการรอดูความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสซบเซาได้ต่อ เพราะยังอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยให้สังเกตการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นดาวโจนส์เป็นหลัก แนะนำนักลงทุนชะลอการเล่นเก็งกำไร รอจนผ่านช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนไปก่อน ประเมินแนวรับที่ 785-787 จุด แนวต้านที่ 796-798 จุด
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ออเดอร์ของนักลงทุนต่างชาติหายไป เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียปิดทำการ เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เป็นต้น ส่งผลให้การซื้อขายเมื่อวานนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาอิงกับเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยคาดว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้คงทรงตัว เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวันหยุดตรุษจีน ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีที่ 780-800 จุด แนะนำนักลงทุนถือเงินสดรอดูสถานการณ์ก่อน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7ก.พ.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากเป็นช่วงตรุษจีนตลาดหุ้นในแถบเอเชียมีการปิดทำการ โดยดัชนีปิดที่ 793.17 จุด ปรับตัวลดลง 1.46 จุด หรือปรับตัวลดลง 0.18%ซึ่งระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 796.96 จุด ปรับตัวต่ำสุดที่ 790.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 7,464.38 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายต่ำสุดในรอบเกือบ 10 เดือน จากเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2550 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 7,007.98 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 248.26 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 228.47 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 476.73 ล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึง การเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ว่า เป็นแรงซื้อจากกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) เนื่องจากภาวะตลาดที่ผันผวนเป็นแรงจูงใจที่ทำให้กองทุนเก็งกำไรดังกล่าวจึงเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ขณะที่นักลงทุนระยะยาวนั้นยังไม่เข้ามาลงทุน เพราะต้องรอดูความชัดเจนจากความเสียหายของปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ของสหรัฐฯ ก่อน
"แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นแรงซื้อจากเฮดจ์ฟันด์ เพราะดูจากพฤติกรรมการลงทุนที่เข้ามาลงทุนระยะสั้น และมีการซื้อจำนวนมาก รวมถึงเข้ามาลงทุนในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ซึ่งเฮดจ์พันด์นั้นชอบเข้ามาลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวนเพราะสามารถทำกำไรได้"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 1/51 นี้จะปรับตัวลดลงมากที่สุด แต่จะถึงขั้นติดลบหรือไม่ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนนี้ โดยมุมมองของบริษัทประเมินว่าจะมีมุมมองทางด้านลบมากกว่าทางบวก จากไตรมาส 4/50 นั้นเติบโตเพียง 0.6% และคาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/51
สำหรับปัจจัยภายนอกที่ยังไม่ชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยมากน้อยแค่ไหนนั้น เป็นปัจจัยที่กดดันให้ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกและปัจจัยภายในประเทศถึงแม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว แต่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องทิศทางนโยบายต่างๆ และโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรีใหม่อาจไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่เชื่อว่าน่าจะไม่มีผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะนักลงทุนในตลาดนั้นไม่ได้มีการคาดหวังไว้สูง
"ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนและมีความเสี่ยงที่สูงไปจนถึงกลางปีนี้ ดังนั้นบริษัทจึงแนะนำให้นักลงทุนมีการลดน้ำหนักการถือหุ้นเหลือ 60% ถือเงินสด 40% จากเดิมที่แนะนำถือหุ้น 80% ถือเงินสด 20% และคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากที่รัฐบาลจะมีการพลักดันการลงทุนต่างๆซึ่งจะเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไทย และความชัดเจนในเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย ซึ่งจากผลสำรวจสมาคมนักวิเคราะห์ประเมินว่าปีนี้กำไรบจ.จะโตไม่ต่ำกว่า 20%แรงจูงใจนักลงทุนเข้ามาลงทุน โดยบริษัทจึงคงเป้าว่าดัชนีปีนี้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 1,000 จุด"
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในสัปดาห์บริษัทจะมีการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)ที่นิวยอร์กซึ่งจะพาบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ไปจำนวน 4 บริษัท และจากนั้นจะไปประเทศแถบยุโรปทั้งหมด เพื่อไปให้ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีการสอบถามข้อมูลจำนวนมาก แต่ยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก เพราะ รอข้อมูลต่างๆชัดเจนมากกว่านี้
***หุ้นไทยสับดาห์หน้าผันผวน
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทคาดแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 กุมภาพันธ์ ถึง 15 มีนาคม 2551 ยังคงผันผวนอยู่ ซึ่งหากดัชนีไม่หลุดแนวรับที่780 จุด ยังมีแนวโน้มสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 830 จุด ได้มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 860 จุด จากปัจจัยสนับสนุนคือ การฟื้นตัวของดัชนีดาวโจนส์ และตลาดหุ้นทั่วโลก หลังเฟดปรับลดดอกเบี้ย 1.25 % ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ มูลค่า 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีแนวทางทั้ง การยกเลิกมาตรการ 30 %,โครงการลงทุนรถไฟฟ้า 9 สาย การประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 พร้อมทั้งอาจมีการประกาศการจ่ายเงินปันผล ช่วงเดือน มีนาคมและเดือนเมษายนนี้
สำหรับปัจจัยลบที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอาจเข้าสู่ช่วงภาวะชะลอตัวมีสูงขึ้นในไตรมาส 2 และหากเป็นจริงดัชนีดาวโจนส์ จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงมาอยู่ที่ 11,000 จุด และหากดัชนีดาวโจนส์สูงขึ้นมากกว่า 12,450 จุด ได้ ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ถึง 13,000 จุด
อย่างไรก็ตามบริษัทแนะนำการลงทุนในหุ้นสำหรับเดือนกุมภาพันธ์นี้ นักลงทุนควรเน้นลงทุนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ หรือ Domestic Play และหุ้นปันผล อาทิ 1.กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ เช่น KBANK โดยราคาเป้าหมายที่ 90 บาท,BBL โดยราคาเป้าหมายที่ 150 บาท,SCBโดยราคาเป้าหมายที่ 90 บาท ,KTBโดยราคาเป้าหมายที่ 14 บาท
2.กลุ่มสื่อสาร คือ DTAC โดยราคาเป้าหมายที่ 47 บาท,ADVANC โดยราคาเป้าหมายที่ 101 บาท 3.กลุ่มบันเทิง คือ MAJORโดยราคาเป้าหมายที่ 22 บาท , BECโดยราคาเป้าหมายที่ 32 บาท, MCOTโดยราคาเป้าหมายที่ 38 บาท4.กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ITD โดยราคาเป้าหมายที่ 8.7 บาท ,STEC โดยราคาเป้าหมายที่ 5.3 บาท,PLE โดยราคาเป้าหมายที่ 8.7 บาท ,SEAFCOโดยราคาเป้าหมายที่ 9.6 บาท, QHโดยราคาเป้าหมายที่ 2.65 บาท , PSโดยราคาเป้าหมายที่ 9.8 บาท , LPNโดยราคาเป้าหมายที่ 9.6 บาท, LHโดยราคาเป้าหมายที่ 9 บาท
5.อื่นๆ DELTA โดยราคาเป้าหมายที่ 29.25 บาท,TVOโดยราคาเป้าหมายที่ 18.2 บาท, CPALLโดยราคาเป้าหมายที่ 12 บาท,MAKROโดยราคาเป้าหมายที่ 6 บาท และ 6.กองทุนETF , TDEX
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงเล็กน้อยท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีนทำให้นักลงทุนบางส่วนหยุดการซื้อขาย ประกอบกับตลาดหุ้นดาวโจนส์ปรับตัวลดลง หลังประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียออกมาเตือนเกี่ยวกับอันตรายของเงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่าเฟดอาจจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัว
ประกอบกับราคาน้ำมันดิบปรับลดลง ส่งผลให้หุ้นบมจ.ปตท. (ปตท.) และบมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) ปรับลงตาม ขณะที่ตลาดหุ้นยังขาดปัจจัยบวกแม้จะได้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่จากตัวบุคคลที่ไม่มีประสบการณ์และไม่ตรงสายงาน ทำให้ไม่ได้รับการตอบรับจากตลาดหุ้นเท่าที่ควร รวมทั้งนักลงทุนบางส่วนต้องการรอดูความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสซบเซาได้ต่อ เพราะยังอยู่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน โดยให้สังเกตการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นดาวโจนส์เป็นหลัก แนะนำนักลงทุนชะลอการเล่นเก็งกำไร รอจนผ่านช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนไปก่อน ประเมินแนวรับที่ 785-787 จุด แนวต้านที่ 796-798 จุด
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ออเดอร์ของนักลงทุนต่างชาติหายไป เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในเอเชียปิดทำการ เช่น จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ เป็นต้น ส่งผลให้การซื้อขายเมื่อวานนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาอิงกับเงินลงทุนจากต่างประเทศ โดยคาดว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้คงทรงตัว เนื่องจากยังอยู่ในช่วงวันหยุดตรุษจีน ประเมินกรอบการแกว่งตัวของดัชนีที่ 780-800 จุด แนะนำนักลงทุนถือเงินสดรอดูสถานการณ์ก่อน