xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นทรุดเมิน “ครม.หมัก 1” เตือน ศก.US ใกล้ดิ่งเหว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตลาดหุ้นไทยทรุด 13 จุด ตามดัชนีดาวโจนส์ วูบ 370 จุด หลังเจอปัญหาตัวเลขดัชนีภาคบริการดิ่งต่ำสุดตั้งแต่ปี 46 ส่งสัญญาณเตือนเศรษฐกิจถดถอยแน่ ด้านกองทุนไทยแห่ขายหุ้นใหญ่ทำกำไรหลังราคาปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่โบรกเกอร์ เผย ครม.รัฐบาลใหม่ไม่เข้าตา เตือนอย่างเร่งซื้ออสังหาริมทรัพย์-รับเหมา แม้นโยบาย “สมัคร” ประกาศเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 9 สาย ชี้แค่ซื้ออนาคต ระบุยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนสินค้าที่สูงขึ้น แนะซื้อเก็งกำไรหุ้นที่มีผลการดำเนินงานปี 50 เด่น

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 ก.พ.) ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงหลังตลาดหุ้นดาวโจนส์ปิดปรับตัวลดลงกว่า 370 จุด มากที่สุดในรอบเกือบครึ่งปี เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจล่าสุด คือ ดัชนีธุรกิจภาคบริการซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของกิจกรรมเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ในเดือน ม.ค.ดิ่งมาปิดสู่ระดับ 41.9 จุด ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546 สะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในสภาวะถดถอยอย่างชัดเจน

จากปัจจัยดังกล่าวกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 794.63 จุด ลดลง 13.05 จุด หรือ 1.62% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 796.21 จุด ต่ำสุดที่ 787.87 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,415.30 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 81.66 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,630.98 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,712.64 ล้านบาท

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วเอเชียได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นดาวโจนส์ จากความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อีกครั้ง ประกอบกับนักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนในช่วงหยุดเทศกาลตรุษจีน ทำให้มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นหลายแห่งปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ คาดว่า ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมทั้งแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ จะยังเป็นตัวแปรที่ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงได้ต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นที่ประกาศผลประกอบการออกมาเติบโตดี แนวรับ 780 จุด แนวต้าน 800 จุด

**หน้าตา รมต.ไม่หนุนดัชนี

นักวิเคราะห์ บล.นครหลวงไทย กล่าวว่า แม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับข่าวเรื่องความชัดเจนในการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแต่เรื่องดังกล่าวนักลงทุนรับทราบมาค่อนข้างนานแล้ว จึงไม่เป็นแรงหนุนให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนมากนัก แต่แรงขายที่ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเกิดจากความไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯหลังตัวเลขดัชนีธุรกิจบริการออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นทั่วเอเชียยังคงต้องติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในสหรัฐฯเป็นหลัก เนื่องจากความมั่นใจต่อสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน และรวดเร็วกับตลาดหุ้น ซึ่งเมื่อนักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นจะเข้ามาลงทุนและทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้

***แนะถือเงินสดรอจังหวะลงทุน***

นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับฐานหลังจากปรับขึ้นแรงๆ ในช่วงที่ผ่านมา โดยส่วนหนึ่งมาจากการทรุดตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลต่อภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อีกครั้ง

“ตลาดหุ้นไทยคงจะปรับตัวลดลงเป็นช่วงสั้นๆ เพราะยังไม่มีแรงขายแรงๆ จากนักลงทุนต่างชาติออกมา ทิศทางวันนี้ตลาดหุ้นยังคงผันผวน มีโอกาสปรับฐานค่อนข้างสูง รวมทั้งยังมีปัจจัยกดดันจากต่างประเทศเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยประเมินแนวรับที่ 785-790 จุด แนวต้านที่ 800-805 จุด”

**อย่ารีบซื้ออสังหาฯ-รับเหมา

ด้านความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มก่อสร้าง หลังได้รับข่าวดีเมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 9 สาย ภายในระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งการเปลี่ยนระบบรางเป็นรางคู่ รวมมูลค่า 8 แสนล้านบาท ส่งผลทำให้หุ้นในกลุ่มดังกล่าวต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับข่าวในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา

โดยหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับ ในช่วงวันที่ 28 ม.ค.-5 ก.พ. 2551 คือ บมจ.แนเชอรัล พาร์ค หรือ N-PARK ปิดที่ 0.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.26 บาท หรือ 185.71%, บมจ.ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น หรือ UNIQ ปิดที่ 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 21.38% และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ปิดที่ 24.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.30 บาท หรือ 21.29%, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ปิดที่ 9.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.35 บาท หรือ 17.65% และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC ปิดที่ 6.15 บาท เพิ่มขึ้น 0.85 บาท หรือ 16.04%

ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ บมจ.ริช เอเชีย สตีล หรือ RICH ปิดที่ 15.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท หรือ 34.72% บมจ.ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น หรือ TCC ปิดที่ 4.34 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 33.95% บมจ.ไทย-เยอรมัน เซรามิค อินดัสทรี่ หรือ TGCI ปิดที่ 0.92 บาท เพิ่มขึ้น 0.19 บาท หรือ 26.03%

นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาหุ้นในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างตอบรับข่าวเชิงบวกในการเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าของรัฐบาล โดยบริษัทที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด คือ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมในการเข้าประมูลโครงการและบริษัทที่มีโครงการคอนโดมิเนียมหรือบ้านจัดสรรที่อยู่ใกล้พื้นที่ที่รถไฟฟ้า

“แม้ว่ากลุ่มดังกล่าวจะได้รับข่าวดีจากโครงการภาครัฐ แต่ยังมีความเสี่ยงจากต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่สูง โดยราคาเหล็กเส้นปรับขึ้นตันละ 200-300 บาท เช่นเดียวกับราคาปูนซีเมนต์ปรับขึ้น 150-200 บาท/ตัน รวมถึงราคาน้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้กำไรของบริษัทต่ำลง”

สำหรับการลงทุนระยะยาวหุ้นในกลุ่มนี้ ถือเป็นการซื้ออนาคตของแผนงานลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในปีนี้ จึงแนะนำให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แรงซื้อที่เข้ามาหนาแน่นทำให้ราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจิตวิทยาจากนโยบายการเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า 9 สาย และปรับปรุงระบบขนส่ง แต่มองว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็นการรับรู้รายได้ในอนาคตที่มากเกินไป เนื่องจากโครงการยังไม่เกิดขึ้นจริง โดยคาดว่าอาจจะมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมาในช่วง 1-2 วันนี้ แต่เมื่อราคาลงมาก็จะมีแรงซื้อกลับมาอีก เพราะในอนาคตกลุ่มยังได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น