ศูนย์ข่าวศรีราชา -พรรคประชาธิปัตย์เปิดสัมมนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร/กรรมการบริหารพรรค ที่พัทยา เผยเตรียมจัดตั้งคณะรัฐมนตรีเงาเปรียบเทียบการทำงานตามกระทรวงตัวต่อตัว หวังเปลี่ยนภาพลักษณ์การเมืองไทยโบราณ
เช้าวันนี้ (31 ม.ค.) ที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ท พัทยา จ.ชลบุรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร/กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีผู้แทนราษฎรในสังกัดจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วมในกิจกรรม เพื่อชี้แจงนโยบายการทำงานของพรรคในอนาคตอันใกล้ ภายหลังจากเสร็จสิ้นการเลือกตั้งที่ผ่านมา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบเพียงอย่างเดียว แต่พร้อมเสมอที่จะบริหารงานแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศชาติ และของประชาชน เพราะฉะนั้น ประชาธิปัตย์จะมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเงา ที่ทำหน้าที่เหมือนกับว่าประกบกับรัฐมนตรีจริง เพื่อที่จะทำให้ประชาชนได้เปรียบเทียบว่าจริงๆ แล้วทางเลือกของประเทศแต่ละปัญหามีอะไรบ้าง รัฐบาลเค้ายืนอย่างไร ประชาธิปัตย์ยืนอย่างไร ถ้าทำตรงนี้แล้วก็จะทำให้มีความชัดเจนว่าบุคลากรของเรามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนหากได้เป็นรัฐบาลจริงๆ
กรณีดังกล่าว หลายกระแสมองว่า เป็นเรื่องการจ้องจับผิด แต่ที่จริงแล้วเป็นการยกมาตรฐานของการทำงานในระบบรัฐสภา เพราะว่าในระบบรัฐสภาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือแคนาดา ประเทศเหล่านี้ก็ใช้ระบบนี้กันทั้งนั้น ทำให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า พรรคการเมืองที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน ต้องมีความพร้อมเสมอที่จะเข้าไปบริหารประเทศ หากได้เป็นรัฐบาล
ต่อข้อซักถามถึงการให้สัมภาษณ์ของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่พูดถึงประเด็นการตรวจสอบเรื่องขยะ และกล่าวถึง 16 โครงการของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ที่มีคนของพรรคประชาธิปัตย์ดำรงตำแหน่งอยู่นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากย้ำถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่ให้คำนึงถึง 2 เรื่องใหญ่ คือ เรื่องปัญหาของบ้านเมือง และประชาชนที่ประสบเรื่องข้าวของ และค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นรอบด้าน เพราะประชาชนอยากฟังเรื่องพวกนี้ มากกว่าเรื่องของนายกรัฐมนตรีที่มีข้อโต้แย้งกับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น
ในส่วนคำพูดที่รุนแรงของ นายสมัคร ที่พูดถึงเรื่องมีมือที่สามจ้องเล่นงาน และเรื่องการเอาคืนนั้น นายอภิสิทธิ์ แสดงทรรศนะว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็จะไม่เป็นการสมานฉันท์ ไม่สร้างความปรองดอง ความสามัคคี ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการที่จะเห็นการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขกลับคืนมา
ทั้งนี้ เพราะส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย คือ การตรวจสอบ ความผิดพลาดก่อนการปฏิวัติ คือ ความเข้าใจผิดว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของเสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว และเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องประกอบไปด้วยการมีกฎหมาย การมีกฎเกณฑ์ที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้อย่างเสมอภาค มีการตรวจสอบ มีสิทธิเสรีภาพของฝ่ายต่าง ๆ ที่จะทำงานของตัวเองอย่างเสรี ซึ่งรวมไปถึงองค์กรอิสระ และองค์กรภาคสื่อมวลชน ซึ่งสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และไม่ถูกลิดรอนสิทธิ์อันชอบธรรมด้านการทำงาน