ที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยา จ.ชลุบรี วานนี้ (31 ม.ค.) พรรคประชาธิปัตย์จัดการสัมมนา ส.ส.และคณะกรรมการบริหารพรรค โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กล่าวเปิดงานสัมมนาหัวข้อ "พรรคคุณภาพ ส.ส.คุณภาพ" ตอนหนึ่งว่า ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชนะการเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2535 แม้เราจะได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่ได้ที่นั่งมากที่สุด ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก และจากประวัติศาสตร์การต่อสู้ของพรรคเราเหนื่อยยากลำบาก ทำให้ทราบว่าคะแนนที่ได้มานั้นยากกว่าของคู่แข่งมากแค่ไหน โดยแต่ละคนต้องแลกด้วยความอดทนและความแน่วแน่
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองได้เริ่มปรับเข้าสู่กระบวนการการมี 2 พรรคใหญ่ ตั้งแต่เมื่อปี ปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควบรวมพรรคต่างๆ เข้ามารวมกัน แต่พ.ต.ท.ทักษิณคิดไปไกลถึงขั้นจะทำให้การเมืองไทยมีเพียงพรรคเดียวเหมือนประเทศสิงคโปร์ และเขาได้เดินหน้าทำจริงๆโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมย์รัฐธรรมนูญ ทำให้ช่วงปี 2548-2549 จึงทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองหลายอย่างเปลี่ยนแปลง ทำให้สื่อสารมวลชน มีปัญหาในการทำงาน สังคมและระบบราชการเกิดความแตกแยก รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกกระทำจากการปิดกั้นสื่อและผู้สนับสนุนของเราถูกข่มขู่คุกคามต่างๆ แต่เราในฐานะกลุ่มการเมืองได้ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ต่อมาเกิดปฏิกิริยาจากภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ พอมีการปฏิวัติก็เป็นบทดสอบว่าการเมืองไทยจะเดินไปในทางใด
“แม้ขณะนี้ พรรคไทยรักไทยจะยุติความคิดที่จะทำให้เป็นการเมือง พรรคเดียวไว้ แต่ยังไม่ละทิ้ง เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุล แต่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการการเมือง 2 พรรค แม้จะมีหลายคนคิดว่าการเมืองจะกลับมาหลายพรรคแต่พัฒนาการและผลการเลือกตั้งที่ออกมาพิสูจน์ได้ชัดว่าจะมีหลายเหตุการณที่ทำให้พรรคขนาดกลางและเล็กไปรวมกับพรรคที่เป็นรัฐบาล และการเมืองตอนนี้พัฒนาไปไกลแล้ว จะไม่ย้อนกลับไปมีหลายพรรค”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงการเมืองที่มี 2 พรรคใหญ่ แล้วถ้าเราอยากชนะได้เป็นรัฐบาล ต้องได้ 240 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ตนเชื่อว่าเรามีโอกาสทำได้ เพราะจากการที่เราทำงานหนักและขณะนี้มีสัญญาณที่ดีหลายอย่างนอกเหนือจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน เช่น คนรุ่นใหม่และนักธุรกิจเริ่มให้ความสนใจเรามากกว่าพรรคอื่นๆ ซึ่งน่าจะทำให้เขา เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองกับเราและเราต้องระดมคนเหล่านี้เป็นฐานเสียงให้กับเรา ซึ่งตนคิดว่าจะเป็นกุญแจสำคัญให้เราก้าวเดินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แม้ต่างประเทศมองว่าการเมืองไทยกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวังกับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาชน ไม่มีกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชานอย่างชัดเจน และไม่มีการพูดถึงปัญหาที่เข้าขั้นวิกฤต เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ สินค้าราคาแพง แต่กลับพูดถึงการปกป้องหรือการเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา และยังวนเวียนเรื่องนิรโทษกรรม รวมถึงการยุบ คตส.
ดังนั้น เราเป็นพรรคอันดับ 1 ที่มีความเข้มแข็งในสภาฯ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ต้อง ฝึกฝนคนใหม่ๆ โดยต้องเน้นการทำภารกิจต่างๆ และสร้างความมั่นใจและศรัทธาให้กับประชาชน เพื่อให้เห็นว่าเราเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เราต้องทำงานหนักกว่ารัฐบาล ถ้าคิดว่าป็นฝ่ายค้านทำงานสบายกว่ารัฐบาล เราก็ไม่มีทางเป็นรัฐบาล อย่าหวังตัวช่วย เพราะเราไม่มีฝ่ายราชการประจำช่วยเรา แต่เราต้องขวนขวายด้วยตัวเอง ทำงานหนักกว่า ส.ส.รัฐบาล
ปชป.ตั้งครม.เงาเช็คการทำงานรัฐ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนขอเสนอ 2 เรื่อง คือ1.การทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายตรวจสอบ เราต้องตั้งคณะรัฐมนตรีเงาขึ้นมาที่ต้องมีการประชุมทุกสัปดาห์ และคนที่เป็นคณะรัฐมนตรีเงาต้องไม่เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่ง ครม.เงา ต้องนำวาระ ครม.มาดูและมีการแสดงออกต่อสาธารณะว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เราคิดอะไรบ้างที่แตกต่างและดีกว่าอย่างไร รวมถึงทุกคนต้องติดตามเกาะติดการทำงานของรัฐมนตรีและให้ถือเป็นโฆษกในงานนั้นๆ ด้วย ซึ่งถ้า ครม.จริงชุดนี้ตั้งเสร็จภายใน 1-2 วัน พรรคจะเริ่มทำงาน ครม.เงาในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราได้เป็นรัฐบาลแล้วคนที่เป็นครม.เงาจะต้องได้เป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าใครใน ครม.เงาทำงานไม่ดี ตนก็ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยน
2.การปรับปรุงโครงสร้างพรรค เพราะเรามีปัญหาหลายเรื่องเริ่มจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เช่น สาขาพรรคที่ขณะนี้เขตเลือกตั้งเดียวมีหลายสาขา ปัญหาจำนวนสมาชิกพรรคที่ตามกฎหมายนับจำนวนสมาชิกพรรคที่จ่ายเงินค่า สมาชิกรายปี รวมถึงการรื้อฟื้นโครงการยุวประชาธิปัตย์ที่ต้องมีการปรับองค์ประกอบ ข้อเสนอจัดตั้งสถาบันการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การมีกลุ่มต่างๆ ที่ให้คำปรึกษา และการระดมทุนของพรรคที่ควรทำให้แหล่งทุนมีความหลากหลายและมีความต่อเนื่อง
ส่วนกรรมการบริหารพรรคที่เกิดความไม่คล่องตัวในยุคที่มีการสื่อสาร การเรียกประชุมแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การปรับโครงสร้างพรรค จึงต้องได้ข้อยุติภายใน 1-2 เดือน อย่าให้คาราคาซังหรือเสียเวลากับเรื่องภายใน เพราะศึกภายนอกเป็นเป้าหมายใหญ่ ต้องทุ่มเทเดินเครื่องให้เร็วที่สุด
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งครม.เงา ว่า เราจะทำงานในลักษณะไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ตรวจสอบเท่านั้น แต่พร้อมเสมอที่จะบริหารและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศและประชาชน โดยทำหน้าที่เหมือนกับ ครม.จริง เพื่อทำให้ประชาชนได้เปรียบเทียบว่าทางเลือก ของประเทศในแต่ละปัญหามีอะไรบ้างรัฐบาลมีจุดยืนอย่างไร และพรรคประชาธิปัตย์ยืนอย่างไร
“การทำตรงนี้ทำให้ชัดเจนว่าบุคลากรของพรรคมีความพร้อมแค่ไหน ในการแก้ปัญหาหรือการทำงานในกระทรวงต่างๆ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการจับผิดอย่างแน่นอน แต่เป็นเรื่องที่จะยกมาตรฐานการทำงานในระบบรัฐสภา เพราะระบบรัฐสภาทั่วโลก เขาใช้ระบบนี้กันทั้งนั้น ทำให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้าน ต้องพร้อมเสมอที่จะเข้าไปบริหารประเทศ นอกจากนี้ พรรคจะทำข้อเสนอ โดยผ่านสื่อ หรือ นำเสนอโดยตรงถึงรัฐบาล ทั้งนี้ในการตั้งครม.เงา คงต้องรอให้มี ครม.ขึ้นมาก่อน แต่จะตั้งโดยเร็ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลที่จะเป็นครม.เงาต้องมีความน่าเชื่อถือมากกว่า รมต.ตัวจริงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นี่จะเป็นการชี้เพื่อให้ประชาชนตัดสิน ในแง่ความเหมาะสม สำหรับจำนวน ครม.เงาจะตรงกับครม.ชุดจริง อย่างน้อย เรื่องของตำแหน่งต้องตรงกันเพื่อให้ความรับผิดชอบในแต่ละเรื่องมีความชัดเจน ไปในแต่ละคนที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ โดยจะใช้บุคลากรของพรรคมาทำงานตรงนี้ เพราะด้วยความเป็นฝ่ายค้านจะนำบุคคลภายนอกมาทำงานตรงนี้คงไม่ได้
ติง “หมัก”ควรปรองดองอย่ามัวหาเรื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจการตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียกำจัดขยะของกทม. ซึ่งนายสมัคร ระบุว่า เป็นโครงการของผู้ว่ากทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีใส่ใจ เรื่องของบ้านเมืองและปัญหาของประชาชนก่อน มากกว่าความขัดแย้งกับ ป.ป.ช. หรือความขัดแย้งกับใครก็ตาม อยากให้ลบตรงนี้ไป เพราะประชาชนจะได้มีความหวังและความมั่นใจ อีกทั้งเรื่องใดที่เป็นการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระหรือกลไกการ ตรวจสอบต่างๆ ก็ขอให้ดำเนินการไปตามปกติ และเชื่อว่าในกระบวนการ คนที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพาดพิงต้องมีสิทธิชี้แจง
ส่วนที่นายสมัครยังระบุว่ามีมือที่มองไม่เห็นจ้องเล่นงานยังไม่เลิก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ตรงกับสิ่งที่พูดเอาไว้ว่าต้องการสร้างความปรองดองสามัคคี และสมานฉันท์ รวมถึงต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกลับคืนทำงานตามปกติ เพราะส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย คือการตรวจสอบ ความผิดพลาดก่อนการปฏิวัติคือความเข้าใจผิดว่าประชาธิปไตย เป็นเรื่องของเสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว และเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ แต่ประชาธิปไตยประกอบไปด้วยการมีกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ทุกคนอยู่ภายใต้ กฎเหล่านี้อย่างเสมอภาค มีการตรวจสอบและมีสิทธิเสรีภาพของฝ่ายต่างๆ ในการทำงานของตนเอง
ปชป.ขอจัดรายการผ่านวิทยุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายสมัครประกาศว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี 4 ปี นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การจะอยู่นานหรือไม่ไม่สำคัญเท่ากับระหว่างที่อยู่นั้นได้ทำอะไร ถ้าทำดีทำงานมีประสิทธิภาพ ก็อยู่ได้นาน แต่ถ้าทำงานไม่ดีและคิดแต่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งได้นานก็ไม่เป็นประโยชน์กับใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่าการพูดเช่นนี้จะเป็นการข่มขู่ข้าราชการหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะโดยหลักการ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องตั้งใจอยู่ให้ครบวาระ ยกเว้นมีเงื่อนไขพิเศษ เช่น มีการปฏิรูป และมีการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ ถ้าไม่ใช่ ก็ควรตั้งใจอยู่ให้ครบวาระ
ต่อข้อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะจัดรายการวิทยุ พูดคุยกับปราะชาชน เหมือนกับรายการพูดจาประสาสมัคร ของนายสมัคร หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านก็ควรมีสิทธิ์ได้พูด แต่ยังไม่ทราบ เพราะต้องทำเรื่องไปยังกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเคยทำเรื่องไปยังกรมประชาสัมพันธ์ไปแล้ว ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่มีการตอบกลับมา อย่างไรก็ตาม ตนไม่ติดใจต่อการที่นายสมัครจะจัดรายการดังกล่าว เพราะเป็นสิทธิ์ของนายสมัครที่อยากใช้เวลาที่เป็นประโยชน์กับการสื่อสาร
ส่วนจะกลายเป็นการโหมประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอให้การประชาสัมพันธ์นั้น เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งตนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อยากให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากหลาย ๆ ทาง
ลูกทีมปชป.ชี้ “เติ้ง”มีชู้ไม่ควรคบ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยจะนัดรับประทานอาหารกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้วว่า ส่วนตัวมองว่า พรรคไม่ควรไปรับประทานอาหารร่วมกับพรรคชาติไทยอีกแล้ว ซึ่งการกระทำของ นายบรรหารเหมือนกับว่า 2 ปีที่แล้ว ผู้หญิงกับผู้ชายที่เป็นคนรักกัน จะมั่นหมายกัน แต่อยู่ๆ มีคนเอาฝ่ายหญิงไป แต่แล้วก็จะกลับมา บอกว่าไม่ได้มีอะไรกัน ซึ่งก็เหมือน นายบรรหารกับพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหน นายบรรหารจะหอบเสื้อผ้าหนีไปนอนกับพรรคพลังประชาชน แบบนั้นแสดงว่าแฟนมีชู้ ถ้ามาอยู่กันต่อ ก็เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลพรรคพลังประชาชนสิ้นสลายลง นายบรรหารจะตอบกับประชาชนอย่างไร
นายนิพิฏฐ์ ยอมรับด้วยว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทยได้ว่าจ้างให้ตนเป็นทนายความในคดีที่นายบรรหารฟ้องนายชูวิทย์ ข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทซึ่งตนได้นัดเจอนายชูวิทย์ ในสัปดาห์หน้า เพื่อพูดคุยกันถึงรายละเอียดของคดีดังกล่าว จากนั้นจะเดินหน้าต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป
“มีชัย”แนะควรให้โอกาสรัฐบาล
นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ถึง สถานการณ์การเมืองภายหลังมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ชีวิตคนเราอยู่ได้ต้องมีความหวัง ต้องหวังในทางดี อย่าหวังในทางร้าย เมื่อ 2-3 วันก่อน ได้อ่านหนังสือชื่อ “เดอะ ซีเคร็ท” หรือความลับในการดำเนินชีวิต สิ่งที่คิดว่าจะมีพลัง หากคิดดีจะได้พลังที่ดีออกมา แต่ถ้าคิดไม่ดี พลังที่ไม่ดีจะออกมา เป็นไปตามที่เราคิด ต้องรอดูรัฐบาลไปก่อน อย่าไปคาดการณ์ในทางร้าย เพราะจะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย คือคนที่คาดการณ์ก็มีทุกข์ คนที่ถูกคาดการณ์ก็หมดกำลังใจ ดังนั้นคงไม่ต้องไปแนะนำอะไรรัฐบาลใหม่ รัฐบาลก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ตนอยู่มามานาแล้วรู้ดีว่าไม่ควรแนะนำใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลชุดนี้อาจถูกแทรกแซงได้ง่าย นายมีชัยกล่าวว่า ต้องรอดู แต่การที่มีคนเป็นห่วงรัฐบาลอย่างนี้จะเป็นการบอกรัฐบาลไปในตัว เรื่องนี้ต้องให้โอกาสซึ่งกันและกัน
ห่วงสื่อถูก “สมัคร”ว๊าก ใส่
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้คุยกับนายสมัครในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ 01 หลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี นายมีชัยกล่าว่า ไม่ได้คุย แต่ดีใจที่นิติศาสตร์รุ่นเดียวกันได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 2
ผู้สื่อข่าวถามว่าลักษณะของนายสมัครจะทำให้มีปัญหาในการทำงานหรือไม่ นายมีชัย กล่าว่า นายสมัครเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเปลี่ยน เป็นรูปแบบหนึ่งที่สร้างจนคนชอบและเลือกเข้ามาด้วยคะแนนท่วมท้น แสดงว่าสื่อกับประชาชนได้"ผมไม่ห่วงคุณสมัคร แต่ห่วงพวกคุณ ดังนั้นต่อไปนี้เวลาไปตั้งคำถาม ต้องคิดให้ดี คิดให้รอบคอบ"
ส่วนภาพลักษณ์ของนายสมัครจะกระทบต่อความเชื่อมั่นจากต่างประเทศหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า เป็นเรื่องที่นายสมัครต้องคิดเอาเอง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเมืองได้เริ่มปรับเข้าสู่กระบวนการการมี 2 พรรคใหญ่ ตั้งแต่เมื่อปี ปี 2544 ที่พรรคไทยรักไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ควบรวมพรรคต่างๆ เข้ามารวมกัน แต่พ.ต.ท.ทักษิณคิดไปไกลถึงขั้นจะทำให้การเมืองไทยมีเพียงพรรคเดียวเหมือนประเทศสิงคโปร์ และเขาได้เดินหน้าทำจริงๆโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมย์รัฐธรรมนูญ ทำให้ช่วงปี 2548-2549 จึงทำให้วัฒนธรรมทางการเมืองหลายอย่างเปลี่ยนแปลง ทำให้สื่อสารมวลชน มีปัญหาในการทำงาน สังคมและระบบราชการเกิดความแตกแยก รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกกระทำจากการปิดกั้นสื่อและผู้สนับสนุนของเราถูกข่มขู่คุกคามต่างๆ แต่เราในฐานะกลุ่มการเมืองได้ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ต่อมาเกิดปฏิกิริยาจากภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ พอมีการปฏิวัติก็เป็นบทดสอบว่าการเมืองไทยจะเดินไปในทางใด
“แม้ขณะนี้ พรรคไทยรักไทยจะยุติความคิดที่จะทำให้เป็นการเมือง พรรคเดียวไว้ แต่ยังไม่ละทิ้ง เพราะเขาไม่เชื่อเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุล แต่พรรคประชาธิปัตย์ต้องการการเมือง 2 พรรค แม้จะมีหลายคนคิดว่าการเมืองจะกลับมาหลายพรรคแต่พัฒนาการและผลการเลือกตั้งที่ออกมาพิสูจน์ได้ชัดว่าจะมีหลายเหตุการณที่ทำให้พรรคขนาดกลางและเล็กไปรวมกับพรรคที่เป็นรัฐบาล และการเมืองตอนนี้พัฒนาไปไกลแล้ว จะไม่ย้อนกลับไปมีหลายพรรค”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าพูดถึงการเมืองที่มี 2 พรรคใหญ่ แล้วถ้าเราอยากชนะได้เป็นรัฐบาล ต้องได้ 240 ที่นั่ง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ตนเชื่อว่าเรามีโอกาสทำได้ เพราะจากการที่เราทำงานหนักและขณะนี้มีสัญญาณที่ดีหลายอย่างนอกเหนือจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน เช่น คนรุ่นใหม่และนักธุรกิจเริ่มให้ความสนใจเรามากกว่าพรรคอื่นๆ ซึ่งน่าจะทำให้เขา เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองกับเราและเราต้องระดมคนเหล่านี้เป็นฐานเสียงให้กับเรา ซึ่งตนคิดว่าจะเป็นกุญแจสำคัญให้เราก้าวเดินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แม้ต่างประเทศมองว่าการเมืองไทยกลับเข้าสู่ประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวังกับนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาชน ไม่มีกระบวนการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชานอย่างชัดเจน และไม่มีการพูดถึงปัญหาที่เข้าขั้นวิกฤต เช่น ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ สินค้าราคาแพง แต่กลับพูดถึงการปกป้องหรือการเอา พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา และยังวนเวียนเรื่องนิรโทษกรรม รวมถึงการยุบ คตส.
ดังนั้น เราเป็นพรรคอันดับ 1 ที่มีความเข้มแข็งในสภาฯ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่ต้อง ฝึกฝนคนใหม่ๆ โดยต้องเน้นการทำภารกิจต่างๆ และสร้างความมั่นใจและศรัทธาให้กับประชาชน เพื่อให้เห็นว่าเราเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ เราต้องทำงานหนักกว่ารัฐบาล ถ้าคิดว่าป็นฝ่ายค้านทำงานสบายกว่ารัฐบาล เราก็ไม่มีทางเป็นรัฐบาล อย่าหวังตัวช่วย เพราะเราไม่มีฝ่ายราชการประจำช่วยเรา แต่เราต้องขวนขวายด้วยตัวเอง ทำงานหนักกว่า ส.ส.รัฐบาล
ปชป.ตั้งครม.เงาเช็คการทำงานรัฐ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนขอเสนอ 2 เรื่อง คือ1.การทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายตรวจสอบ เราต้องตั้งคณะรัฐมนตรีเงาขึ้นมาที่ต้องมีการประชุมทุกสัปดาห์ และคนที่เป็นคณะรัฐมนตรีเงาต้องไม่เป็นประธานคณะกรรมาธิการ ซึ่ง ครม.เงา ต้องนำวาระ ครม.มาดูและมีการแสดงออกต่อสาธารณะว่าถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เราคิดอะไรบ้างที่แตกต่างและดีกว่าอย่างไร รวมถึงทุกคนต้องติดตามเกาะติดการทำงานของรัฐมนตรีและให้ถือเป็นโฆษกในงานนั้นๆ ด้วย ซึ่งถ้า ครม.จริงชุดนี้ตั้งเสร็จภายใน 1-2 วัน พรรคจะเริ่มทำงาน ครม.เงาในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราได้เป็นรัฐบาลแล้วคนที่เป็นครม.เงาจะต้องได้เป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าใครใน ครม.เงาทำงานไม่ดี ตนก็ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยน
2.การปรับปรุงโครงสร้างพรรค เพราะเรามีปัญหาหลายเรื่องเริ่มจากรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เช่น สาขาพรรคที่ขณะนี้เขตเลือกตั้งเดียวมีหลายสาขา ปัญหาจำนวนสมาชิกพรรคที่ตามกฎหมายนับจำนวนสมาชิกพรรคที่จ่ายเงินค่า สมาชิกรายปี รวมถึงการรื้อฟื้นโครงการยุวประชาธิปัตย์ที่ต้องมีการปรับองค์ประกอบ ข้อเสนอจัดตั้งสถาบันการฝึกอบรม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การมีกลุ่มต่างๆ ที่ให้คำปรึกษา และการระดมทุนของพรรคที่ควรทำให้แหล่งทุนมีความหลากหลายและมีความต่อเนื่อง
ส่วนกรรมการบริหารพรรคที่เกิดความไม่คล่องตัวในยุคที่มีการสื่อสาร การเรียกประชุมแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การปรับโครงสร้างพรรค จึงต้องได้ข้อยุติภายใน 1-2 เดือน อย่าให้คาราคาซังหรือเสียเวลากับเรื่องภายใน เพราะศึกภายนอกเป็นเป้าหมายใหญ่ ต้องทุ่มเทเดินเครื่องให้เร็วที่สุด
นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งครม.เงา ว่า เราจะทำงานในลักษณะไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่ตรวจสอบเท่านั้น แต่พร้อมเสมอที่จะบริหารและแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศและประชาชน โดยทำหน้าที่เหมือนกับ ครม.จริง เพื่อทำให้ประชาชนได้เปรียบเทียบว่าทางเลือก ของประเทศในแต่ละปัญหามีอะไรบ้างรัฐบาลมีจุดยืนอย่างไร และพรรคประชาธิปัตย์ยืนอย่างไร
“การทำตรงนี้ทำให้ชัดเจนว่าบุคลากรของพรรคมีความพร้อมแค่ไหน ในการแก้ปัญหาหรือการทำงานในกระทรวงต่างๆ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีการจับผิดอย่างแน่นอน แต่เป็นเรื่องที่จะยกมาตรฐานการทำงานในระบบรัฐสภา เพราะระบบรัฐสภาทั่วโลก เขาใช้ระบบนี้กันทั้งนั้น ทำให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ว่าพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายค้าน ต้องพร้อมเสมอที่จะเข้าไปบริหารประเทศ นอกจากนี้ พรรคจะทำข้อเสนอ โดยผ่านสื่อ หรือ นำเสนอโดยตรงถึงรัฐบาล ทั้งนี้ในการตั้งครม.เงา คงต้องรอให้มี ครม.ขึ้นมาก่อน แต่จะตั้งโดยเร็ว”
ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลที่จะเป็นครม.เงาต้องมีความน่าเชื่อถือมากกว่า รมต.ตัวจริงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า นี่จะเป็นการชี้เพื่อให้ประชาชนตัดสิน ในแง่ความเหมาะสม สำหรับจำนวน ครม.เงาจะตรงกับครม.ชุดจริง อย่างน้อย เรื่องของตำแหน่งต้องตรงกันเพื่อให้ความรับผิดชอบในแต่ละเรื่องมีความชัดเจน ไปในแต่ละคนที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ โดยจะใช้บุคลากรของพรรคมาทำงานตรงนี้ เพราะด้วยความเป็นฝ่ายค้านจะนำบุคคลภายนอกมาทำงานตรงนี้คงไม่ได้
ติง “หมัก”ควรปรองดองอย่ามัวหาเรื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่พอใจการตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียกำจัดขยะของกทม. ซึ่งนายสมัคร ระบุว่า เป็นโครงการของผู้ว่ากทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ว่า ขอให้นายกรัฐมนตรีใส่ใจ เรื่องของบ้านเมืองและปัญหาของประชาชนก่อน มากกว่าความขัดแย้งกับ ป.ป.ช. หรือความขัดแย้งกับใครก็ตาม อยากให้ลบตรงนี้ไป เพราะประชาชนจะได้มีความหวังและความมั่นใจ อีกทั้งเรื่องใดที่เป็นการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระหรือกลไกการ ตรวจสอบต่างๆ ก็ขอให้ดำเนินการไปตามปกติ และเชื่อว่าในกระบวนการ คนที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพาดพิงต้องมีสิทธิชี้แจง
ส่วนที่นายสมัครยังระบุว่ามีมือที่มองไม่เห็นจ้องเล่นงานยังไม่เลิก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าทำเช่นนี้ก็ไม่ตรงกับสิ่งที่พูดเอาไว้ว่าต้องการสร้างความปรองดองสามัคคี และสมานฉันท์ รวมถึงต้องการให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกลับคืนทำงานตามปกติ เพราะส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย คือการตรวจสอบ ความผิดพลาดก่อนการปฏิวัติคือความเข้าใจผิดว่าประชาธิปไตย เป็นเรื่องของเสียงข้างมากเพียงอย่างเดียว และเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งไม่ใช่ แต่ประชาธิปไตยประกอบไปด้วยการมีกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ทุกคนอยู่ภายใต้ กฎเหล่านี้อย่างเสมอภาค มีการตรวจสอบและมีสิทธิเสรีภาพของฝ่ายต่างๆ ในการทำงานของตนเอง
ปชป.ขอจัดรายการผ่านวิทยุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายสมัครประกาศว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี 4 ปี นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การจะอยู่นานหรือไม่ไม่สำคัญเท่ากับระหว่างที่อยู่นั้นได้ทำอะไร ถ้าทำดีทำงานมีประสิทธิภาพ ก็อยู่ได้นาน แต่ถ้าทำงานไม่ดีและคิดแต่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งได้นานก็ไม่เป็นประโยชน์กับใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่าการพูดเช่นนี้จะเป็นการข่มขู่ข้าราชการหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะโดยหลักการ เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ต้องตั้งใจอยู่ให้ครบวาระ ยกเว้นมีเงื่อนไขพิเศษ เช่น มีการปฏิรูป และมีการเปลี่ยนแปลง แต่วันนี้ ถ้าไม่ใช่ ก็ควรตั้งใจอยู่ให้ครบวาระ
ต่อข้อถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะจัดรายการวิทยุ พูดคุยกับปราะชาชน เหมือนกับรายการพูดจาประสาสมัคร ของนายสมัคร หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านก็ควรมีสิทธิ์ได้พูด แต่ยังไม่ทราบ เพราะต้องทำเรื่องไปยังกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเคยทำเรื่องไปยังกรมประชาสัมพันธ์ไปแล้ว ในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่มีการตอบกลับมา อย่างไรก็ตาม ตนไม่ติดใจต่อการที่นายสมัครจะจัดรายการดังกล่าว เพราะเป็นสิทธิ์ของนายสมัครที่อยากใช้เวลาที่เป็นประโยชน์กับการสื่อสาร
ส่วนจะกลายเป็นการโหมประชาสัมพันธ์งานของรัฐบาลหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอให้การประชาสัมพันธ์นั้น เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ซึ่งตนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่อยากให้ประชาชนได้มีโอกาสรับรู้ข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็นจากหลาย ๆ ทาง
ลูกทีมปชป.ชี้ “เติ้ง”มีชู้ไม่ควรคบ
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยจะนัดรับประทานอาหารกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นแล้วว่า ส่วนตัวมองว่า พรรคไม่ควรไปรับประทานอาหารร่วมกับพรรคชาติไทยอีกแล้ว ซึ่งการกระทำของ นายบรรหารเหมือนกับว่า 2 ปีที่แล้ว ผู้หญิงกับผู้ชายที่เป็นคนรักกัน จะมั่นหมายกัน แต่อยู่ๆ มีคนเอาฝ่ายหญิงไป แต่แล้วก็จะกลับมา บอกว่าไม่ได้มีอะไรกัน ซึ่งก็เหมือน นายบรรหารกับพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหน นายบรรหารจะหอบเสื้อผ้าหนีไปนอนกับพรรคพลังประชาชน แบบนั้นแสดงว่าแฟนมีชู้ ถ้ามาอยู่กันต่อ ก็เป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้ารัฐบาลพรรคพลังประชาชนสิ้นสลายลง นายบรรหารจะตอบกับประชาชนอย่างไร
นายนิพิฏฐ์ ยอมรับด้วยว่า นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทยได้ว่าจ้างให้ตนเป็นทนายความในคดีที่นายบรรหารฟ้องนายชูวิทย์ ข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทซึ่งตนได้นัดเจอนายชูวิทย์ ในสัปดาห์หน้า เพื่อพูดคุยกันถึงรายละเอียดของคดีดังกล่าว จากนั้นจะเดินหน้าต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป
“มีชัย”แนะควรให้โอกาสรัฐบาล
นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้สัมภาษณ์ถึง สถานการณ์การเมืองภายหลังมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ชีวิตคนเราอยู่ได้ต้องมีความหวัง ต้องหวังในทางดี อย่าหวังในทางร้าย เมื่อ 2-3 วันก่อน ได้อ่านหนังสือชื่อ “เดอะ ซีเคร็ท” หรือความลับในการดำเนินชีวิต สิ่งที่คิดว่าจะมีพลัง หากคิดดีจะได้พลังที่ดีออกมา แต่ถ้าคิดไม่ดี พลังที่ไม่ดีจะออกมา เป็นไปตามที่เราคิด ต้องรอดูรัฐบาลไปก่อน อย่าไปคาดการณ์ในทางร้าย เพราะจะไม่ดีกับทั้งสองฝ่าย คือคนที่คาดการณ์ก็มีทุกข์ คนที่ถูกคาดการณ์ก็หมดกำลังใจ ดังนั้นคงไม่ต้องไปแนะนำอะไรรัฐบาลใหม่ รัฐบาลก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ตนอยู่มามานาแล้วรู้ดีว่าไม่ควรแนะนำใคร
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลชุดนี้อาจถูกแทรกแซงได้ง่าย นายมีชัยกล่าวว่า ต้องรอดู แต่การที่มีคนเป็นห่วงรัฐบาลอย่างนี้จะเป็นการบอกรัฐบาลไปในตัว เรื่องนี้ต้องให้โอกาสซึ่งกันและกัน
ห่วงสื่อถูก “สมัคร”ว๊าก ใส่
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้คุยกับนายสมัครในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ 01 หลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี นายมีชัยกล่าว่า ไม่ได้คุย แต่ดีใจที่นิติศาสตร์รุ่นเดียวกันได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 2
ผู้สื่อข่าวถามว่าลักษณะของนายสมัครจะทำให้มีปัญหาในการทำงานหรือไม่ นายมีชัย กล่าว่า นายสมัครเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเปลี่ยน เป็นรูปแบบหนึ่งที่สร้างจนคนชอบและเลือกเข้ามาด้วยคะแนนท่วมท้น แสดงว่าสื่อกับประชาชนได้"ผมไม่ห่วงคุณสมัคร แต่ห่วงพวกคุณ ดังนั้นต่อไปนี้เวลาไปตั้งคำถาม ต้องคิดให้ดี คิดให้รอบคอบ"
ส่วนภาพลักษณ์ของนายสมัครจะกระทบต่อความเชื่อมั่นจากต่างประเทศหรือไม่ นายมีชัยกล่าวว่า เป็นเรื่องที่นายสมัครต้องคิดเอาเอง