นักลงทุนต่างชาติ-กองทุนแห่ซื้อหุ้นไทย รับเฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% บวกกับการเมืองเริ่มมีความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ดันดัชนีพุ่ง 20 จุด ด้านสมาคมนักวิเคราะห์ เผย ผลสำรวจปรับลดดัชนีปีนี้เหลือ 958 จุด จากเดิม 1,030 จุด-ลดเป้าจีดีพีเหลือ 4.8% พร้อมชี้อีพีเอสหุ้นกลุ่มพลังงานปีนี้โตสูงสุด 171% เชียร์ซื้อหุ้น แบงก์ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์
บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย วานนี้ (31 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน แม้จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเล็กน้อยจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% รวมถึงปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศเริ่มมีความจัดเจน จากการจัดตั้งรัฐบาลและรายชื่อคณะรัฐมนตรีเริ่มมีความพร้อมแล้ว
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 787.74 จุด ต่ำสุดที่ 760.75 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 784.23 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 20.75 จุด หรือ 2.72% มูลค่าการซื้อขาย 33,868.05 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 3,776.85 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 189.66 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,966.51 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ การปรับลดดอกเบี้ยเฟด 0.5% และการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 787.74 จุด
หลังจากนั้น ได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ จากที่ตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคมีการปรับตัวลดลง รวมถึงการที่ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าของอเมริกาปรับตัวลดลง และหลังจากนี้ จะไม่มีข่าวดีเข้ามากระตุ้นจะทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาและตลาดหุ้นในภูมิภาครวมถึงตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับฐาน เพราะกว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีการดำเนินงานนโยบายต่างๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในวันนี้ (1 ก.พ.) จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมา หากยังไม่สามารถจัดตั้งได้ก็จะเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังจะได้รับแรงกดดันจากการประกาศงบการเงินของสถาบันการเงินต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไฟรม์)
ทั้งนี้ บริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 770-775 จุด แนวต้านที่ระดับ 790-795 จุด ซึ่งแนะนำให้มีการขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นและซื้อลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในช่วงตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
**เฟดลด ดบ.ดันตลาดหุ้นระยะสั้น
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเพียง 2 วัน จากนั้นจะต้องติดตามในเรื่องปัญหาซับไพรม์ที่ทางการสหรัฐฯ จะมีมาตรการรับมืออย่างไร รวมทั้งในช่วง 1-2 วันนี้ จะต้องมีการติดตามในเรื่องรายชื่อคณะรัฐมนตรี และรวมนโยบายการด้านเศรษฐกิจที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนด้วย
ทั้งนี้ คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกในครั้งถัดไป ไม่ใช่การลดในการประชุมในครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเหลือ 2.50% โดยคาดว่าธปท.จะลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งหากไทยไม่ปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนซึ่งมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยมีการแข็งค่าขึ้น
***นักวิเคราะห์หดเป้า SET ปีนี้เหลือ 958 จุด
นายสมบัติ กล่าวว่า จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2551 จากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 21 แห่ง พบว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เฉลี่ยเหลือ 958 จุด จากเดิมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ 1,030 จุด และมีผู้มองว่าดัชนีสูงสุดจะอยู่ที่ 1,200 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 699จุด
ทั้งนี้ คาดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 4.8% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนอยู่ที่ 4.9% อัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยอยู่ที่ 18.9% สูงขึ้นจากเดิมที่ 18.4% โดยกลุ่มธนาคารยังคงมีอัตราการเติบโตสูงสุด เฉลี่ย 171.0% อันดับสอง คือ อสังหาริมทรัพย์ เฉลี่ย 15.1% และอันดับสาม กลุ่มปิโตรเคมี เฉลี่ย 13.7% ขณะที่มองอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 32.2 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 อยู่ที่ 3.1%
สำหรับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 76% เชื่อว่า ปัญหาซับไพรม์จะส่งผลกระทบระดับปานกลาง และ 19% เชื่อว่า กระทบรุนแรงมาก ส่วนที่เหลืออีก 5% เชื่อว่าจะกระทบรุนแรงน้อย
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาซับไพรม์ไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับไทย แต่มีผลให้เงินทุนไหลออกจากแรงเทขายหุ้นของต่างชาติ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวบางส่วนน่าจะสะท้อนและรับรู้ในตลาดหุ้นแล้ว และเชื่อว่า สหรัฐฯ จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเห็นว่า การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ลดลง จึงคาดว่าผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงไม่น่าจะมากนัก แต่อาจทำให้การส่งออกเติบโตช้าลงได้ในช่วงต้น
นายสมบัติ กล่าวว่า มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม อันดับแรก 62% การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐเช่นโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และขนส่งมวลชน อันดับที่สอง 48% มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและนักลงทุน เช่น ผลักดันมาตรการทางด้านลดภาษีบริษัทจดทะเบียนและส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น อันดับที่สาม 19% ให้มีมาตรการสร้างเสถียรภาพให้ค่าเงินบาท และลดการแทรกแซงค่าเงิน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง โดยควรมีมาตรการจูงใจให้บริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นต้น ซึ่งมีผู้ตอบ 29% ซึ่งอีก 24% ยังเสนอแนะให้มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และรัฐบาลควรส่งเสริมและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อขยายฐานนักลงทุนให้ครอบคลุมถึงกลุ่มใหม่ เช่น ผู้มีเงินออม บริษัทประกัน เป็นต้น ซึ่งมีผู้ตอบ 19%
สำหรับที่หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำลงทุน คือ ธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ช่วยให้ผลประกอบการเติบโตสูงขึ้น และจากการตั้งสำรองที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ พลังงานจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ช่วยให้ผลประกอบการแข็งแกร่ง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น BANPU, BAY, KBANK, PTT, SCB เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยสำหรับการลงทุนระยะยาว ให้ทยอยสะสมหุ้นเมื่ออ่อนตัวลง เน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี มีเงินปันผลสูง และมีปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก อาจลงทุนระยะสั้นได้ แต่ไม่ควรมากกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง
บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย วานนี้ (31 ม.ค.) ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งวัน แม้จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาเล็กน้อยจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ย 0.50% รวมถึงปัจจัยด้านการเมืองภายในประเทศเริ่มมีความจัดเจน จากการจัดตั้งรัฐบาลและรายชื่อคณะรัฐมนตรีเริ่มมีความพร้อมแล้ว
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 787.74 จุด ต่ำสุดที่ 760.75 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 784.23 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 20.75 จุด หรือ 2.72% มูลค่าการซื้อขาย 33,868.05 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 3,776.85 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 189.66 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,966.51 ล้านบาท
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ การปรับลดดอกเบี้ยเฟด 0.5% และการเมืองในประเทศที่มีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 787.74 จุด
หลังจากนั้น ได้มีแรงเทขายทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ จากที่ตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคมีการปรับตัวลดลง รวมถึงการที่ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าของอเมริกาปรับตัวลดลง และหลังจากนี้ จะไม่มีข่าวดีเข้ามากระตุ้นจะทำให้ตลาดหุ้นอเมริกาและตลาดหุ้นในภูมิภาครวมถึงตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับฐาน เพราะกว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีการดำเนินงานนโยบายต่างๆ ต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ หากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในวันนี้ (1 ก.พ.) จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมา หากยังไม่สามารถจัดตั้งได้ก็จะเป็นไปตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ยังจะได้รับแรงกดดันจากการประกาศงบการเงินของสถาบันการเงินต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไฟรม์)
ทั้งนี้ บริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 770-775 จุด แนวต้านที่ระดับ 790-795 จุด ซึ่งแนะนำให้มีการขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นและซื้อลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในช่วงตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
**เฟดลด ดบ.ดันตลาดหุ้นระยะสั้น
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า การที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเพียง 2 วัน จากนั้นจะต้องติดตามในเรื่องปัญหาซับไพรม์ที่ทางการสหรัฐฯ จะมีมาตรการรับมืออย่างไร รวมทั้งในช่วง 1-2 วันนี้ จะต้องมีการติดตามในเรื่องรายชื่อคณะรัฐมนตรี และรวมนโยบายการด้านเศรษฐกิจที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุนด้วย
ทั้งนี้ คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกในครั้งถัดไป ไม่ใช่การลดในการประชุมในครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเหลือ 2.50% โดยคาดว่าธปท.จะลดดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งหากไทยไม่ปรับลดดอกเบี้ยจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนซึ่งมีผลทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยมีการแข็งค่าขึ้น
***นักวิเคราะห์หดเป้า SET ปีนี้เหลือ 958 จุด
นายสมบัติ กล่าวว่า จากผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนมกราคมถึงธันวาคม 2551 จากนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 21 แห่ง พบว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการคาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เฉลี่ยเหลือ 958 จุด จากเดิมเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ 1,030 จุด และมีผู้มองว่าดัชนีสูงสุดจะอยู่ที่ 1,200 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 699จุด
ทั้งนี้ คาดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้อยู่ที่ 4.8% ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนอยู่ที่ 4.9% อัตราการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยอยู่ที่ 18.9% สูงขึ้นจากเดิมที่ 18.4% โดยกลุ่มธนาคารยังคงมีอัตราการเติบโตสูงสุด เฉลี่ย 171.0% อันดับสอง คือ อสังหาริมทรัพย์ เฉลี่ย 15.1% และอันดับสาม กลุ่มปิโตรเคมี เฉลี่ย 13.7% ขณะที่มองอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 32.2 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 อยู่ที่ 3.1%
สำหรับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ตลอดจนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยในปีนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 76% เชื่อว่า ปัญหาซับไพรม์จะส่งผลกระทบระดับปานกลาง และ 19% เชื่อว่า กระทบรุนแรงมาก ส่วนที่เหลืออีก 5% เชื่อว่าจะกระทบรุนแรงน้อย
อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาซับไพรม์ไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับไทย แต่มีผลให้เงินทุนไหลออกจากแรงเทขายหุ้นของต่างชาติ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวบางส่วนน่าจะสะท้อนและรับรู้ในตลาดหุ้นแล้ว และเชื่อว่า สหรัฐฯ จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาและกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังเห็นว่า การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐฯ มีสัดส่วนที่ลดลง จึงคาดว่าผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงไม่น่าจะมากนัก แต่อาจทำให้การส่งออกเติบโตช้าลงได้ในช่วงต้น
นายสมบัติ กล่าวว่า มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม อันดับแรก 62% การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐเช่นโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และขนส่งมวลชน อันดับที่สอง 48% มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและนักลงทุน เช่น ผลักดันมาตรการทางด้านลดภาษีบริษัทจดทะเบียนและส่งเสริมการลงทุนในตลาดหุ้น อันดับที่สาม 19% ให้มีมาตรการสร้างเสถียรภาพให้ค่าเงินบาท และลดการแทรกแซงค่าเงิน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ยังเสนอแนะให้รัฐบาลใหม่ดำเนินการ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง โดยควรมีมาตรการจูงใจให้บริษัทขนาดใหญ่ พื้นฐานดี เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นต้น ซึ่งมีผู้ตอบ 29% ซึ่งอีก 24% ยังเสนอแนะให้มีการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และรัฐบาลควรส่งเสริมและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อขยายฐานนักลงทุนให้ครอบคลุมถึงกลุ่มใหม่ เช่น ผู้มีเงินออม บริษัทประกัน เป็นต้น ซึ่งมีผู้ตอบ 19%
สำหรับที่หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำลงทุน คือ ธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ช่วยให้ผลประกอบการเติบโตสูงขึ้น และจากการตั้งสำรองที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ พลังงานจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ช่วยให้ผลประกอบการแข็งแกร่ง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น BANPU, BAY, KBANK, PTT, SCB เป็นต้น ซึ่งนักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยสำหรับการลงทุนระยะยาว ให้ทยอยสะสมหุ้นเมื่ออ่อนตัวลง เน้นลงทุนในหุ้นที่มีอัตราการเติบโตของกำไรที่ดี มีเงินปันผลสูง และมีปัจจัยพื้นฐานดี นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก อาจลงทุนระยะสั้นได้ แต่ไม่ควรมากกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ต และต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูง