xs
xsm
sm
md
lg

“อารยะขัดขืน” ต่อ “ธุรกิจการเมือง-ประชาธิปไตยจอมปลอม!”

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

“...ปัญหาชาติบ้านเมืองที่เกิดขึ้นทุกวัน มิได้เพิ่งจะเกิดขึ้นเพียง 7-8 ปีที่ผ่านมา แต่เกิดขึ้นมานานแล้วหลายทศวรรษ โดยเฉพาะการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเราที่เพียรพยายามสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาให้จงได้ แต่ก็ต้องสะดุดล้มลุกคลุกคลานมาตลอดระยะเวลา 76 ปี ตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา โดยที่สาเหตุสำคัญของปัญหาชาติบ้านเมือง คือ ประชาธิปไตยที่เพรียกร้องหาพร้อมโพทนาอย่างภาคภูมิใจว่าประเทศไทยมีระบบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว...”

“...แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว เป็นธนาธิปไตยมาโดยตลอด ที่มุ่งใช้เงินทุนเป็นปัจจัยหลักในการเดินเข้าสู่วงจรอำนาจ และในที่สุดก็เอาอำนาจรัฐนั้นมาเสาะแสวงหาผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อ กระเป๋านักเลือกตั้ง นักซื้อตั้ง เป็นการถอนทุนบวกดอกเบี้ย บวกกำไรมหาศาล จากภาษีอากรของประชาชน...”

“...ในช่วง 8 ปีกว่าๆ ที่ผ่านมา เงินทุนที่ใช้กับการปูทางสู่สนามการเมืองนั้น นับวันยิ่งเลวร้ายมากกว่าในอดีต ที่มีการทุ่มเงินอย่างมหาศาลเพื่อต้องการยึดครองอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนมีการเรียกขานกันว่า เป็นธุรกิจการเมืองและตักตวงกอบโกยผลประโยชน์นับพันนับหมื่น จนเลวร้ายถึงขั้นนับแสนล้านบาท จนต้องเรียกขานอย่างเลวร้ายสุดขีดว่าเผด็จการทุนนิยมสามานย์!”


ข้อความทั้งหมดข้างต้นเป็นข้อความที่เราทุกคนต่างต้องยอมรับความจริงว่า การเมืองทุกวันนี้ “เงิน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการปูทางสู่ “อำนาจการเมือง” และใช้ “อำนาจรัฐ” ที่ตนเองกลุ่มคณะพรรคพวกนำมาเสาะแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเอง ครอบครัว และคณะพรรคพวก จน “ประเทศไทยเกือบถูกฮุบ!” ไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ยังโชคดีที่ประเทศไทยเป็น “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ที่ยัง “รู้ทัน” และไม่สำคัญเท่ากับว่า “สามารถหยุด-ยุติ” ให้ “กระบวนการฮุบชาติ” นั้นพอ “สะดุด-หกล้ม” ลงได้ในระดับหนึ่ง เนื่องด้วย “ความศักดิ์สิทธิ์” ของ “พระสยามเทวาธิราช” ตลอดจนบ้านเมืองเราเต็มไปด้วย “วัดวาอาราม-มัสยิด-โบสถ์คริสต์ฯ” มากมายทั่วทั้งประเทศ!

แต่ที่สำคัญไปมากกว่านั้น ด้วย “พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ที่ทรงเปี่ยมล้นไปด้วย “ทศพิธราชธรรม” จนหมู่เหล่าอาณาประชาราษฎร์ทั่วทุกหัวระแหงที่มีแต่ความจงรักภักดีและเทิดทูน “สถาบันพระมหากษัตริย์” เยี่ยงพ่อแม่ของชาวไทยทุกคน จึงทำให้ชาติบ้านเมืองหลุดรอดมาได้จาก “กลุ่มกบฏ” ชาติบ้านเมือง ที่มีเพียงปากพร่ำพรรณนาว่า “เทิดทูน-จงรักภักดี” ต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” แต่ใจลึกๆ แล้ว ปรารถนาที่สุดที่จะ “สถาปนา” ตนเองและครอบครัวให้ถึงขั้น “ราชา-จักรพรรดิ” ทีเดียว เหมือนอย่างเช่น โครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองของประเทศเพื่อนบ้าน “กัมพูชา!”

“ธุรกิจการเมือง”
เป็นระบบการเมืองที่แท้จริงของสังคมไทยการเมืองไทยและเกิดขึ้นมานานนับหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่เลวร้ายถึงขั้นเป็น “ธนาธิปไตย” ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ระบอบการเมือง” ไปแล้วที่กล่าวอย่างภาษาชาวบ้านว่า “ระบอบการเมืองการปกครองด้วยเงิน” มิใช่เป็น “ประชาธิปไตย : ปกครองจากประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” อีกต่อไปได้แล้ว ขอตอกย้ำว่าเป็น “ธนาธิปไตย : ปกครองจากเงิน โดยเงิน เพื่อเงิน”

ถามว่า “เงิน” นั้นมาจากไหน ก็ต้องตอบแบบไม่ลังเลว่าเกิดจาก “นายทุน” ที่ในอดีตอาจเป็นเพียง “ผู้อยู่เบื้องหลัง!” แต่ตั้งแต่ปี 2542-2543 เป็นต้นมา “กระโดด” จากแถวหลังมาอยู่แถวหน้าอย่างเปิดเผย และเป็น “กลุ่มทุนการเมือง” เสียเอง จนในที่สุด เกิดกระบวนการ “ฮุบ” ทุกฐานเสียงจากทุกกลุ่มการเมืองหรือจะเรียกให้ชัดๆ ว่า “พรรคการเมือง” ก็คงไม่ผิดนัก จึงเป็นที่มาของ “เผด็จการรัฐสภา” ที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากที่สุดในสภาผู้แทนราษฎร เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีจำนวน ส.ส.ในสภาฯ มากเสียจน “ฝ่ายค้าน” ไม่สามารถที่จะ “ตรวจสอบ-ถ่วงดุล” ได้!

“ความฮึกเหิม” ของการได้มาซึ่ง “อำนาจ” แบบ “เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” จึงทำให้การแสวงหา “ผลประโยชน์” ด้วยการ “เล่นแร่แปรธาตุ-ฉ้อฉล” จนถึงขั้น “รังแก-เบียดเบียน” กลุ่มผู้ที่มี “อำนาจน้อยกว่า” หรือถ้าใครมิใช่พวก ก็จะล้มล้างให้ม๊วยมรณาไม่มีที่จะยืนอยู่ในสังคม และก็กลายเป็น “เผด็จการทุนนิยมเบ็ดเสร็จชั่วช้าสามานย์!”

ก่อนหน้านี้ ถามว่า “ธุรกิจการเมือง” เกิดขึ้นหรือไม่ก็ต้องตอบว่า “เกิดขึ้น!” เพียงแต่มิได้สาหัสสากรรจ์เช่นนี้ ถามว่า การจะได้ ส.ส.เข้ามาในสังกัดพรรคตนเองนั้น ต้องใช้เงินทุนจำนวนเท่าไหร่ ถึงจะได้ ส.ส.มาหนึ่งคน จากข้อมูลที่ได้สดับตรับฟังมานั้น อย่างมากสุดก็ไม่เกิน 3-5 ล้านบาทต่อคน ถ้าจะให้ได้จำนวน ส.ส.สังกัดพรรคตนเอง สมมติอย่างต่ำ 100 คน ก็อาจใช้เงินเพียง 500-600 ล้านบาทเท่านั้น หรืออาจจะน้อยกว่านั้น มิใช่หลักพันหลักหมื่นล้านเหมือนในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา

ความจริงที่เราต้องยอมว่า “ธนาธิปไตย-ธุรกิจการเมือง” เกิดขึ้นกับสังคมการเมืองไทยมานมนานแล้ว เพียงแต่มิได้ “เหิมเกริม-อหังการ” มากขึ้นดังในสมัยของรัฐบาลทักษิณ ที่ “กระบวนการเลือกตั้ง-กระบวนการซื้อตั้ง” หรือ “ซื้อเสียง” นั้น ก่อกำเนิดมาจาก “การจัดตั้ง” ของบรรดา “นักการเมือง” ทั้งสิ้น ที่มี “หัวคะแนน” ที่เป็นทั้งข้าราชการและนักปกครองท้องถิ่น โดยเฉพาะ “กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน” เป็น “แกนนำ-หัวหอก” สำคัญ

เท่านั้นยังไม่พอ “เงิน” ที่ใช้ซื้อเสียงจากประชาชนระดับล่างแบบ “จัดตั้ง-ซื้อตั้ง” แล้วยังมี “กระบวนการโกง!” เกิดขึ้นสารพัดรูปแบบ ตั้งแต่ “บัตรปลอม” ไปจนถึง “ยกหีบ-เปลี่ยนหีบ” และ “การนับคะแนน” พูดง่ายๆ คือ “โกงสารพัดรูปแบบ” เพื่อให้ได้จำนวนประชาชนที่มาลงคะแนนหย่อนบัตรเลือกตั้งมากที่สุด

นอกเหนือจากนั้น “อิทธิพล” ยังมีบทบาทสำคัญเช่นเดียวกัน จากทั้งข้าราชการตั้งแต่ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น ที่ “บังคับ-ข่มขู่” จนชาวบ้านต้องยอมจำนน

จากปี 2542-2543 เป็นต้นมา นอกเหนือจากบรรดาข้าราชการทุกระดับชั้นมีบทบาทสำคัญกับ “กระบวนการโกง” แล้วยังมี “นักการเมืองท้องถิ่น” ที่ล้วนเป็น “กลุ่มหัวคะแนน” และ “นายทุนท้องถิ่น” เริ่มสยาย “ปีกอิทธิพล” เข้ามาปกคลุมกระบวนการโกงการเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเพิ่มเติมความเลวร้ายเข้าให้อีก ถามว่า “ประชาชน” จะทำอะไรได้ นอกจาก “กลัว-รับเงิน!” ซึ่งปลอดภัยและสบายที่สุด!

ประเด็นสำคัญของ “กระบวนการโกง” ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาก “เงิน-ทุน” ทั้งสิ้น จน “การเมือง” กลายเป็น “ธุรกิจ” ไปแล้ว และเลวร้ายถึงเขยิบไต่ระดับจากหลักสิบล้านร้อยล้านเป็นหลักพันหลักหมื่นล้านบาทจากการเลือกตั้งปี 2544-2548 และ 2550 ตามลำดับ เนื่องด้วย “เงินทุนหนาเยอะ!” ของ “นายทุนการเมือง”

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญของ “กระบวนการธุรกิจการเมืองไทย” แน่นอนที่เกิดจากปัญหาสถานะทางสังคมเศรษฐกิจของคนไทยระดับล่างและระดับกลางบางส่วน กล่าวคือ พี่น้องประชาชนระดับล่างทั้งในเมืองและชนบทต่างมีการศึกษาน้อยและยากจน ตลอดจนเกรงกลัวอิทธิพลที่ไม่สามารถอยู่อย่างสะดวกปลอดภัยได้ จึงตกอยู่ในสภาพ “จำยอม” จนกลายเป็น “ความเคยชิน” ไปเรียบร้อย จึงเป็นที่มาของคำว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น!”

“ความน่ากลัว”
ของ “เงินทุน” ที่ก่อให้เกิด “ธุรกิจการเมือง” ที่นับวันทวีคูณความเลวร้ายสามานย์มากยิ่งขึ้น ที่มีจำนวนเม็ดเงินในการลงทุนกับการเมืองที่ใช้สูงกันถึงหลักหลายพันจนถึงหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งต้องถามว่า “ทำไมจึงลงทุนมากมายก่ายกองเช่นนั้น” จนทำให้โครงสร้างและระบบการเมืองการปกครองในบ้านเรา “อ่อนแอ” มากที่สุด แต่ปากก็พร่ำพรรณนาว่าเป็น “ประชาธิปไตย!”

นิดก็อ้าง “มาจากการเลือกตั้ง” หน่อยก็อ้าง “มาตามครรลองประชาธิปไตย” ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า “ซื้อเสียง” มาเกือบทั้งนั้น และยิ่งถ้าต้องการที่จะมีที่นั่งในส่วนของเขตพื้นที่มากเพื่อการจัดสรรโควตาเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยิ่งต้อง “ลงทุนมาก!” พูดง่ายๆ คือถ้าได้จำนวน ส.ส.มาอยู่ในสังกัดมากเท่าใด การได้ตำแหน่งรัฐมนตรีก็ยิ่งมากเท่านั้น ถามว่า เงินเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดใช่หรือไม่?

ดังนั้น “การเมืองจึงเป็นธุรกิจ” ที่ต้องมีการลงทุน ยิ่งระดับหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรค ยิ่งต้องลงทุนมาก เพื่อได้ตำแหน่งสูงสุดในการบริหารประเทศ ถ้าลงทุนน้อยมีจำนวน ส.ส.อยู่ในมือน้อยเพียง 7-8 คน ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีในฝ่ายบริหารแล้ว และถ้ามีเงินน้อย เอาตัวรอดมาได้เพียงคนเดียว ก็เป็น “ทาสทางการเมือง” ก็แล้วกัน คอยยกมือสนับสนุนเพียงอย่างเดียวแล้วก็รับทรัพย์ไป!

ความจริงของ “โครงสร้างและระบบการเมืองสากล” ด้วย “อำนาจอธิปไตย” มี 3 สถาบันหลัก กล่าวคือ สถาบันนิติบัญญัติ ที่เรียกว่า “รัฐสภา” สถาบันบริหาร ที่เรียกว่า “คณะรัฐมนตรี” และสถาบันตุลาการ ที่เรียกว่า “ศาล”

หลักการสำคัญของ 3 สถาบัน (ฝ่าย) นั้นคือ “การตรวจสอบ-การถ่วงดุล” เพื่อจะให้ทั้งสามสถาบันคอย “คานอำนาจ” ต่อกัน เมื่อสามสถาบัน “คานอำนาจ” กันได้ ด้วย “การตรวจสอบ” ระหว่างกัน “ความสมดุล-ความถ่วงดุล” ของ “อำนาจรัฐ” ก็จะเกิดขึ้น โดยหลักการเช่นนี้เชิงอุดมคติ ความเป็น “ประชาธิปไตย” อย่าง “ธรรมาธิปไตย” ก็จะเกิดขึ้นดั่งเช่นนานาอารยประเทศเขายึดมั่นปฏิบัติกัน และขอย้ำว่า “อารยะ (Civilized)”

แต่ด้วยโครงสร้างและระบบการเมืองสากลที่เป็นเพียง “หลักการ-อุดมการณ์ประชาธิปไตย” เท่านั้นของ “การเมืองไทย” เนื่องด้วย พรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) มากที่สุดเกินครึ่งและรวบรวมพรรคการเมืองอื่นมาร่วมกันได้ ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ดังนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นฐานเสียงสำคัญที่มีจำนวน ส.ส.มาก สามารถจัดตั้งรัฐบาล และ/หรือฝ่ายบริหารได้ “การควบคุม” เลยเถิดไปจนถึง “การครอบงำ” ที่หัวหน้าฝ่ายบริหารซึ่งเป็น “แกนนำ” สำคัญทั้งจากสองสถาบันสามารถดำเนินการได้ “การตรวจสอบ-การถ่วงดุล” จึงไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มีทางได้เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของการเรียกขานว่า “เผด็จการรัฐสภา” และ “เผด็จการบริหาร”

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อสามารถ “กุม-ฮุบ” ฝ่ายนิติบัญญัติฯ ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎรแล้วตั้งแต่ 2544-2549 ตลอดมา ฝ่ายแกนนำพรรคการเมืองยังมี “ความสามารถพิเศษ” ที่จะ “ยื่นมือกุม” เข้าไปถึงในส่วนของสมาชิกวุฒิสภาได้อีกจำนวนมากถึง 80-100 สมาชิกวุฒิสภา

และเลยเถิดไปจนถึง “องค์กรอิสระ” ที่สำคัญต่างๆ อีกหลายองค์กรที่ต้องทำการตรวจสอบการปฏิบัติงานของทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเพื่อ “ความโปร่งใส” และ “ความเป็นธรรม” และที่สำคัญที่สุด เพื่อตอบสนอง “ความเป็นประชาธิปไตย” แต่ก็ถูก “ฮุบ” เช่นเดียวกัน!

ประเด็นสำคัญที่ต้องขอกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่กล่าวอ้างว่า “มาจากการเลือกตั้ง” และ “ประชาธิปไตย” นั้น จริงๆ แล้วเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม (Pseudo Democracy)” และ “ทุจริต-โกง-ฉ้อฉล” ทั้งเพ!

ดังนั้น พอกันทีเถอะ! กับ “ธุรกิจการเมือง” เราต้องพร้อมเพรียงกันในการที่จำต้องประกอบกิจ “อารยะขัดขืนต่อธุรกิจการเมือง!”
กำลังโหลดความคิดเห็น