ผู้จัดการรายวัน – “สมัคร” เล่นปาหี่ อ้างเปิดรัฐสภาระดมสมองแก้วิกฤตบ้านเมือง แต่กลับใช้เป็นเวทีแก้ตัวและเล่นงานพันธมิตรฯ ยันไม่เคยทำผิดสั่งทำร้ายผู้ชุมนุม โยนพันธมิตรฯตัดต่อภาพทหารเอาปืนจี้หัว ส่วนแก๊สน้ำตาโบ้ยมือที่สามทำ พร้อมขุดก๊อตอาร์มีอัดกลับ ปชป. ด้าน ปชป.- ส.ว.รุมยำ “หมัก” ตัวการก่อให้เกิดปัญหา “ชวน” กรีดตั้งคนมีแผลเป็นบอร์ดแบงก์ชาติและการบินไทย สร้างเงื่อนไขแตกแยก “อภิสิทธิ์”สอนมวยนายกฯ แนะให้ยอมเจ็บยุบสภา เพื่อแสดงความรับผิดชอบ ขณะที่ “หมัก” เผยธงในใจ “ไม่ลาออก-ยุบสภา” แต่จะขออยู่ต่อไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนขอเปิด อภิปรายทั่วไป เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.30 น วานนี้ (31 ส.ค.) โดยมี นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งสมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ ส.ว. และส.ส.ฝ่ายค้าน ที่ส่วนใหญ่อภิปรายตำหนิ การบริหารงานของรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่เป็นตัวสำคัญในการเร่งให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น และตำหนิการใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และในบริเวณกองบัญชาตำรวจนครบาล (บช.น.) จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ก่อนที่สมาชิกจะอภิปรายเข้าประเด็น ส.ส.ฝ่ายค้านได้ทวงถามถึง ความจริงใจที่จะรับฟังความเห็นจากสมาชิกรัฐสภาเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา หรือจะเอารัฐสภาแห่งนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการขยายความขัดแย้งเพิ่มเติมมากขึ้น เพราะท่าทีที่แสดงออกในรายการ “สนทนาภาษาสมัคร” ขัดแย้งกับเหตุผลในการขอ เปิดอภิปรายอย่างมาก ขณะที่นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลกรุณารับฟังแบบต้องการแก้ปัญหา แต่ท่าทีของนายกรัฐมนตรีมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจึงเกรงว่าเวทีนี้จะไม่ได้ผล
**”หมัก”อ้างแค่ตีปลาหน้าไซ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อเริ่มอภิปราย นายสมัคร ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า การเปิดประชุมครั้งนี้เกิดจากนาย บรรหาร ศิลปะอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยได้ให้ข้อคิดว่า สถานการณ์ บ้านเมืองรัฐบาลและศาลก็เอาไม่อยู่ ทำไมสภาฯไม่ทำหน้าที่ ตนจึงทำหนังสือมาถึงสภาฯ แต่สำนวนก่อนหน้านี้ที่สมาชิกอภิปรายกันเขาเรียกว่า “ตีปลาหน้าไซ” ตนไม่ได้ท้าทาย แต่เป็นสิทธิของประชาชนคนหนึ่งที่ได้มาเป็นนายกฯ ก็พูดดักคอไว้เท่านั้น และขอให้สมาชิกจะพูดอะไรเต็มที่เลย อย่าได้ยั้ง
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความจริง นายกฯอาจไม่ทราบว่าการเปิดสภาฯวันนี้เป็นเพราะพวกตนได้แสดงเจตจำนงต่อประธานวุฒิสภา อย่างไรก็ตาม ได้มีรัฐมนตรีคนหนึ่งบอกว่าเวทีนี้จะเป็นเวทีที่แก้ปัญหาได้ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูวิกฤติการเมืองในอดีตก็มีน้อยครั้งมากที่กระบวนการนิติบัญญัติจะแก้ปัญหาได้ ดังนั้นอย่าคาดหวังและประเมินตัวเองสูงเกินไป เพราะการเมืองในยุคสมัยนี้ไปไกลกว่าการเมืองระบบตัวแทน เพราะยังมีการเมืองภาคประชาชน เราอาจมองบทบาทเราเป็นเพียงเสียงสะท้อน แต่อย่าเป็นกระจกสะท้อนความแตกแยก เพื่อขยายผล ถ้าจะให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ปัญหาต้องเป็นมากกว่ากระจก ดังนั้นวันนี้จึงต้องทำอย่างสร้างสรรค์
**”จุรินทร์”ชี้พฤติกรรมรัฐบาลทำประเทศป่วน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรกที่ผู้ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลและสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ในส่วนของนายกฯได้แสดงความเห็นว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้กระทำผิด หลายครั้งนายกฯ ให้ความเห็นว่าจะต้องดำเนินการโดยเด็ดขาดและจะไม่ยุบสภาหรือลาออก ซึ่งการชุมนุมที่เกิดขึ้นเกิดจากนายกฯแก้ปัญหาให้ตัวเองและแก้ปัญหาให้กับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยพฤติกรรมก็คือ1.รัฐบาลประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองทั้งมาตรา 237 มาตรา 309
2.นายกฯใช้สื่อของรัฐโจมตีฝ่ายตรงข้าม สนับสนุนรายการ “ความจริงข้างเดียว” ที่ออกอากาศทาง NBT 3.รัฐบาลมีพฤติกรรมมุ่งล้างแค้น องค์กรอิสระ ต้องการเปลี่ยนก.ก.ต. ,ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ 4.นายกฯมีพฤติกรรม ลักษณะก้าวร้าวองค์กรต่างๆ ผิดวิสัยของคนเป็นนายกฯ นอกจากนั้นการบังคับให้คนเลือกข้างแสดงถึงความไร้ภาวะผู้นำของนายกฯ พฤติกรรมเหล่านี้ นำมาซึ่งการชุมนุมและเรียกร้องให้นายกฯลาออก
ข้อเสนอมี 2 ข้อคือ 1.รัฐบาลและนายกฯต้องไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลายมากขึ้น 2.ถึงเวลาที่นายกฯจะต้องหันมาทบทวน บทบาทของตัวเองอย่างจริงจังและต้องถามตัวเองว่าท่านเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ต่อไปหรือไม่ ถ้ายังจะอยู่ต่อก็คงจะได้ซักระยะ พรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงกอดคออยู่ร่วมด้วย นายกฯอยู่ได้ แต่เชื่อว่าจะยากที่จะบริหารราชการแผ่นดิน ต่อไปได้ ถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาตัวเอง เพราะถ้ายังอยู่บ้านเมืองจะสุ่มเสี่ยง ต่อความสูญเสียประชาธิปไตยหรือไม่ เข้าใจดีว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ ท่านได้สั่งสมอะไรมายาวนาน เป็นนายกฯมาแค่ 6-7 เดือนเอง แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวและความกลัวจะทำให้เสื่อม ทางออกทั้งหมดอยู่ที่นายกฯวาจะตัดสินใจพิจารณาตัวเองโดยวิถีทางประชาธิปไตยอย่างไร
**”หมัก”ไม่ยอมรับผิดแถมเล่นงานปชป.
ขณะที่นายสมัคร ชี้แจงทันควันว่า ตนพิจารณาตัวเอง แต่ไม่เคยคิดว่าจะถูกกล่าวหาขนาดนี้เพราะครั้งนี้ไม่ใช่อภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นการพูดเกินเหตุเพราะเหตุการณ์ที่พูดมันเกิดขึ้นหลังวันที่ 25 ส.ค.แล้ว ตนแน่ใจว่าตนไม่มีพฤติการณ์เช่นนั้น ส่วนพฤติการณ์ที่จะแก้รัฐธรรมนูญมันผิดหรือ แล้วรัฐธรรมนูญปี 2550เขียนไว้ทำไม ว่าหากจะแก้ไขต้องทำอย่างไร ถ้าผิดต้องไม่เขียนไว้และที่แก้เพราะมันมีข้อบกพร่อง ที่ท่านพูดอย่างนั้นเขาทำถูก นายกฯทำผิด แปลว่าไอ้คนที่ปลุกระดมยึดทำเนียบรัฐบาลถูก ความผิดอยู่ที่นายกฯเพราะเอารายการความจริงวันนี้ออกอากาศ เขามีแต่ลุกล้ำก้ำเกินตน เรื่องที่จะใช้ความรุนแรงไม่มี แต่รัฐบาลอื่นอย่างเช่นเมื่อปี 2543 พม่าไปยึดโรงพยาบาล ยึดตัวประกันยิงพม่าตายไปเป็นสิบ ขอให้สมาชิก แสดงความเห็นได้ลองย้อนดูในสิ่งที่พูดไว้ด้วยว่ามีความเท็จอย่างไร ไม่อย่างนั้นคนจะคิดว่าคนพูดอยู่กับพันธมิตร
ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ส.สรรหา กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้รัฐบาลอ้างว่า ต้องการรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกเพื่อนำไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีโต้วาที หากนายกฯไม่พอใจในสิ่งที่สมาชิกอภิปรายฯก็ใช้อำนาจสั่งปิดประชุมไปเลย
**ชี้ตั้งข้อหากบฏเหมือนกลั่นแกล้ง
จากนั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ประชาชนถูกกระทำมากที่สุดในรัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง ซึ่งเหตุการณ์ในวันที่ 29 ส.ค. 2551 จะถูกบันทึกว่าเกิดขึ้นในรัฐบาล ของนายสมัคร สุนทรเวช ตนไม่ทราบว่านายกฯ ได้ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวว่าทำตามคำสั่งศาลน่าจะเป็นความเข้าใจผิดของผู้ปฏิบัติหน้าที่ และจากการพูดคุยก็ได้รับคำตอบว่าได้รับคำสั่งจากรองนายกฯ ที่อยู่ที่บช.น.ว่าให้ดำเนินการ
ส่วนที่มีคนเดินกุมหัวแล้วมีสีแดงติดที่เสื้อผ้า แต่พล.ต.ต. เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น. ก็บอกว่าเลือดหรือสี เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้ปฏิบัติหน้าที่ หากใช้คนแบบนี้ ความรุนแรงก็ไม่จบ การกระทำเช่นนี้ทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสียหาก นอกจากนี้ หมายบังคับคดี ก็บังคับแค่ 6 แกนนำ ไม่มีสิทธิไปกระทำการรุนแรง หากมีผู้ขัดขวาง ก็แค่ควบคุมตัวก็พอ และการที่มีภาพตำรวจใช้ปืนจ่อหัวและผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ก็ถูกทำร้ายที่ศีรษะ ถือว่ากระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุหรือไม่
ทั้งนี้ ตนไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ถือเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ กฎหมาย ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า ส่วนที่อ้างว่าเป็นการกระทำตามคำสั่งศาล ทำเช่นนี้ศาลยังทำไม่ได้เลย
ส่วนการที่รัฐบาลตั้งข้อหาแกนนำกลุ่มพันธมิตร ว่าเป็นกบฏ ตนไม่เข้าใจว่า มีการบุกเข้าทำเนียบ ทำไมถึงไม่ฟ้องในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ แต่กลับไประบุข้อหาเป็นกบฏ ซึ่งทำให้เขารู้สึกถูกกลั่นแกล้ง และระดมคนเข้ามาชุมนุมมากขึ้น ดังนั้นทั้งด้านกฎหมายและการบริหารประเทศชาติ นายกฯหมดความชอบธรรมแล้ว แต่หากนายกฯยังทนบริหารต่อไป แต่บ้านเมืองจะมีแต่เสียหายมากขึ้น จึงต้องยุติด้วยสันติวิธี
**”หมัก”บิดเบือนอ้างรูปปืนจ่อหัวตัดต่อ
นายสมัคร ลุกขึ้นตอบโต้ ว่า ตนรับผิดชอบเรื่องนี้ ตนเป็นนายกฯ แต่ต้องรับผิดชอบ คนมาเป็นหมื่นมายึดทำเนียบฯ เพราะสภาพอย่างนั้น จึงต้องไปยื่นร้อง ขอต่อศาล ซึ่งเขาก็ประกาศชัดเจนว่าต้องการล้มล้างรัฐบาล และคนที่ประกาศล้มล้างรัฐบาลก็มายึดทำเนียบฯ เราจะตั้งข้อกล่าวหาอย่างนี้ไม่ได้หรือ ต้องให้แค่ข้อกล่าวหาบุกรุกอย่างนั้นหรือข้อหาที่จะล้มล้างรัฐบาลไม่ต้อง
“ท่านเห็นรูปปืนที่เอาออกมาจี้ สมัยนี้เขาใช้ปืนอะไร ปืนประจำกายทั้งหมด มันเอ็ม 16 เท่านั้น แล้วรูปที่เอาปืนมาจ่อ มันปืนที่ไหน รูปร่างพิสดารยังไง ในระบบการปราบปราบมันมีหรือเปล่า ในที่สุดไม่ได้เอาปืนไปปราบปราม แม้แต่กระบอกเดียว แต่มีรูปมายืนยัน เขาพิสูจน์กันอยู่ กำลังดูเครื่องแต่งกายและลักษณะปืน ไม่มีปืนแบบนี้ในระบบการปราบปราม และไม่ใช้ปืนในการปราบปราม มีโล่และกระบอง อย่างมากก็ตีเกราะๆ แล้วออกไป ดูรูปซะก่อน ว่ามันปืนอะไร เขาไม่ใช้ปืนสักกระบอกเดียว แต่มีความพยายามทำทุกวิถีทางนำมาบอกกัน ไม่เป็นปัญหาเรื่องนี้ผมรับผิดชอบ ไม่ต้องไปโทษใครด้วยครับ”
**ประกาศลุยผู้ชุมนุมขอรับชอบเอง
นายกรัฐมนตรี นั่งดูเฉยๆ แล้วปล่อยให้คนตะโกนด่ารัฐบาลว่า ไม่มีความสามารถ ตนบอกว่าต้องดำเนินการ ทำแบบนุ่มนวล แต่เหตุการณ์ ไม่ได้อ้างคำสั่งศาลไปดำเนินการ คำสั่งศาลบอกว่าให้ผู้ชุมนุมออกจากบริเวณ ถนนราชดำเนิน และพิษณุโลก เพื่อความแน่ใจ ยังไปขอคำสั่งกรมบังคับคดี ให้ส่งเจ้าหน้าที่มา ก็ไปติดหมายจับ 9 คน ไม่ได้ ไปจับกุมด้วย แค่ไปติดหมาย เพื่อให้ออก ตามที่ศาลสั่ง คนเป็นหมื่นแต่ตำรวจแค่ร้อย จึงเกิดการปะทะกัน และภาพที่เกิดขึ้นคืออะไร ตำรวจบาดเจ็บ 27 คน แต่ไม่มีใครดูเลย แต่อีกฝ่ายดูนั่นดูนี่ มันไม่ใครอยากให้เกิด ถ้าคนไม่มาปะทะจะทำให้เกิดเรื่องหรือไม่ ไม่ต้องให้ตำรวจ คนไหนรับผิดชอบ ตนนี่แหละจะรับผิดชอบ เพราะต้องดูแลบ้านเมืองในสงบ แค่ตนไม่ไปจับกุม 9 คน ตามหมายศาล ก็แสดงให้เห็นแล้ว
นอกจากนี้อยู่ดีๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ ยิงแก๊สน้ำตา ทั้งๆ ที่เอาแกลลอน ถังฉีดรถดับเพลิงมาให้ดูแล้ว และกำลังพิสูจน์กันอยู่ ก็มาบอกว่าตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ทั้งที่ไม่ได้มีการบุกจะฉีดแก๊สน้ำตาได้อย่างไง
**โยนมือที่สามสร้างสถานการณ์
“มีคนพยายามสร้างสถานการณ์รูปปืนที่หัวก็ตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คิดหน่อยสิครับ ดูลักษณะกระบอกปืนก่อน เพราะถ้าใช้จริง ทำไมไม่ถือทุกคน มันมีเหตุเกิดขึ้น มันมีคนก่อการ เจ้าหน้าที่ตำรวจถือกฎหมายดำเนินการ ใครจะเดือดร้อนออกรับแทนก็ไม่ว่าอะไรกัน แต่ก็เดือดร้อนกันมากเกินไป เอาภาพนี้มาปลุกระดม โดยเฉพาะ ASTV แล้วความเสียหายของบ้านเมือง ใครจะดำเนินการ คนเป็นหมื่นก็อ้างว่าเป็นแสน พยายามเปิดปากแผล พยายามให้เป็นเหตุ ไม่มีเหตุครับ จะเจ็บร้อนแทน จะตามไปดู ก็ไปเถอะครับ ผมนี่แหละที่มีคำสั่งให้นุ่มนวล หากบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายก็เป็นปัญหาอีก ถึงได้บอกว่าความรุนแรงต้องเทียบอัตราส่วนกัน” นายสมัครกล่าวและว่า ปี 43 ดูสิครับ ยิงพม่ายึดโรงพยาบาลตายเรียบ ผมผ้าขาวเป็นแถว อันนั้นไม่รุนแรงเลยนะครับ ไม่ค่อยรุนแรงละครับ แล้วอย่างนี้ทำอะไรกัน คนกำลังจะก่อจลาจลในบ้านเมือง แล้วสมควรแก่เหตุมั้ยครับ
ด้าน นายพีระพันธ์ กล่าวชี้แจงว่า จะไม่ตอบโต้ใดๆกับนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีใช้วิจารณญาณอย่างนี้บ้านเมืองถึงเสียหาย
** แนะ”หมัก”ยอมเสียหน้าเปลี่ยนรัฐบาล
ด้าน สว. นาง รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.อภิปรายว่า ที่มีการกล่าวหาว่า กลุ่มส.ว.ที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯวางตัวไม่เหมาะสมถือหางพันธมิตรนั้น เป็นการไปหาข้อมูลข้อเท็จจริงและไม่ได้ไปเยี่ยมแค่กลุ่มพันธมิตรฯเพราะยังไปให้กำลังใจตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไปปฏิบัติการอยู่ในนั้นด้วย โดยขอไม่ให้ใช้กำลังทำร้ายประชาชน ตนไม่อยากเห็นรัฐบาลแบ่งแยกประชาชน อย่างทุกวันนี้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาล ได้ใช้หมายศาลเพื่อความชอบธรรมสำหรับตัวเอง ที่จะใช้ความรุนแรงในการบังคับคดี จนกระทั่งศาลได้ให้ความกรุณาเลื่อนการบังคับคดีออกไป
“การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯถือเป็นแค่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุจริงคือรัฐบาลบริหารบ้านเมืองโดยขาดธรรมาภิบาล ซึ่งตนเห็นว่าการปรับเปลี่ยนครม. หรือการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งหลายประเทศยังเกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น แค่มีปัญหาเพียงเล็กน้อย เขาก็ยังเปลี่ยน ซึ่งดิฉันว่าไม่ใช่เรื่องการเสียหน้า แต่เป็นความผิดชอบต่อบ้านเมือง และสุดท้ายไม่อยากเห็นการเสียเลือดเนื้ออีกแล้ว”
**”ชวน”แฉตั้งคนมีแผลเป็นบอร์ด
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่ว่าขณะนี้ศาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ตนคิดว่าศาลทำหน้าที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดยวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา ศาลไม่ได้มีหน้าที่สลายการชุมนุม แต่ฝ่ายบริหารต้องไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยตนจึงยังไม่เห็นว่าศาลล้มเหลวหรือแก้ปัญหาไม่ได้ และถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติไม่ ได้มีหน้าที่แก้ปัญหา
นายชวน กล่าวว่าที่ผ่านมารัฐบาลตั้งคนของตนเองเข้าไปในองค์กรต่างๆ ซึ่งไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เช่นการตั้งกรรมการเข้าไปในบริษัท การบินไทย (จำกัด) มหาชน ซึ่งบุคคลนี้เคยอยู่ในบริษัทที่เคยให้โฆษณาทางรายการทีวีที่นายกฯจัดหรือการตั้งคนที่ถูกคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ลงมติให้ออกเข้ามาเป็น กรรมการในธนาคารแห่งประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเงื่อนไขใหม่ ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจะต้องไม่โกหกไม่บิดเบือนความจริง เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบแก่ตัวเอง และจะต้องให้ความจริงอย่าเลือกปฏิบัติ การบอกว่า คนชุมนุมมีเพียงหยิบมือเดียวและมีลักษณะเป็นหุ่น ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะพวกนี้มากันเองไม่มีใครให้เงิน และถ้ารัฐบาลเห็นว่าคนไม่พอใจอะไรก็ต้องรีบออกมาชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันที่นายชวนกล่าวจบ นายสมัคร ได้ลุกขึ้นขอใช้สิทธิชี้แจง ทันทีว่า บริษัทตรามือที่เป็นกรรมการบริษัท การบินไทยได้รับการคัดเลือกมาจาก สภาอุตสาหกรรม แต่บังเอิญกรรมการคนนี้มาเป็นสปอนเซอร์ในรายการของตนเท่านั้น ตนไม่คิดว่านายชวนจะเอาข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตรงนี้มาด้วย
**”คำนูณ”แนะควรเลือกทางที่ถูกต้อง
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า เวลานี้รัฐบาลมี 3 ทางเลือก คือ1.นายกฯลาออก 2.ตัดสินใจยุบสภา และ3 ไม่ยุบ ไม่ลาออก พรรคร่วมผูกมือกันอยู่ต่อไป และหาช่องทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยทั้ง 3 ทางล้วนเป็นไปตามระบอบรัฐสภา อย่างไรก็ตามแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้ออกมาระบุชัดแล้วว่าตัดสินใจเลือกช่องทางที่ 3 และเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯน่าจะพอใจในทางออกนี้ เพราะจะทำให้เป้าหมายสูงสุดคือการเมืองใหม่ ประชาภิวัฒน์ ได้มีโอกาสเกิดขึ้นจริง แต่จะต้องขยายมวลชนให้กว้างขึ้น รวมทั้งต้องทำงานด้วยความกดดัน ความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งกับกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลที่เริ่มมีการก่อตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลเลือกใช้แนวทางที่3 ก็ยังต้องเผชิญปัญหา โดยเฉพาะนายกฯที่จะต้องเจอคดี “ชิมไปบ่นไป” ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในรัฐบาล แต่หากเลือกยุบสภา และรักษาการณ์ต่อไป หากประชาชนเลือกกลับเข้ามาใหม่ แต่กลุ่มพันธมิตรฯอาจจะไม่ยอม แต่การชุมนุมครั้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือ แนวทางลาออก แต่รัฐธรรมนูญยังคงอยู่ และ ส.ส.ยังมีจำนวนเท่าเดิม มีความเป็นไปได้ที่จะเสนอชื่อนายกฯคนใหม่ในพรรคร่วมรัฐบาล และเป็นที่ยอมรับได้ของประชาชน แต่จะเลือกทางออกไหนก็สุดแต่รัฐบาลจะตัดสินใจ
”อภิสิทธิ์”แนะนายกฯยอมเจ็บยุบสภา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า ทุกฝ่ายต้องยอมเจ็บบ้างเพื่อรักษาส่วนรวม เราต้องรักษาประชาธิปไตย ไม่ว่าใครก็ตามที่จะทำให้เหตุการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นจนนำไปสู่การรัฐประหารหรือมีการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ ตนไม่เห็นด้วยและจะยืนคัดค้าน แต่ต้องเข้าใจว่าการจะไม่ให้เกิดความรุนแรงหรือการปฏิวัติ ทุกฝ่ายก็มีหน้าที่ต้องเสียสละและทางออกก็ต้องไม่ออกนอกกรอบของรัฐธรรมนูญ และถ้าตนพูดต่อไปนี้ก็อาจจะขัดใจพันธมิตรฯ ก็คือการเมืองแบบ 70:30ทำไม่ได้ ถ้าจะทำต้องมาแก้รัฐธรรมนูญและอำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญก็อยู่ที่รัฐสภา ถ้าจะไปสู่ 70:30ต้องมาตรงนี้ ส่วนถ้าเราจะเอานายกฯคนนอกแล้วแก้ไขมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่เราได้ต่อสู้กันมายาวนานว่าจะไม่เอานายกฯคนนอก แล้ววันนี้จะมาลบกันง่ายๆหรือ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า เสียงข้างมากไม่ได้ทำอะไรได้ทุกสิ่ง ประชาชนออกมาเรียกร้องไม่ว่าจะจำนวนเท่าใดก็ไม่ได้ผิดหลักประชาธิปไตย แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันสะสมมานานจนลุกลามจากประชาชนปฏิเสธรัฐบาล จนเลยเถิดมาถึงประชาชนปฏิเสธการเมือง สังคมโดยรวมบอกนายกฯต้องรับผิดชอบ สังคมก็มีสิทธิคิด แต่จะบอกว่าให้นายกฯลาออก ตนว่าไม่ใช่เป็นทางออก แต่สมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าท่านต้องพิจารณาตัวเอง ซึ่งรัฐบาลก็หวาดระแวงว่าเราจะช่วงชิงอำนาจรัฐ อย่าระแวงเพราะตนไม่ทำ ซึ่งตนไม่เชื่อว่านายกฯอยู่ในตำแหน่งจะจัดการอะไรต่อไป ปัญหาก็แก้ไขไม่ได้
“วันนี้ต้องยอมเจ็บ ถ้านายกฯกลัวว่าการลาออกจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ไม่ดีเพราะทำเพื่อคนหยิบมือเดียว วันนี้ต้องพูดขัดใจใครหลายคน ว่า การยุบสภาจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งและสภาเราก็จะรับผิดชอบร่วมกัน และการยุบสภาฯพวกผมก็เสียเปรียบทุกเรื่อง แต่ว่าวันนี้เรายอม คงจะมีคำถามว่า มีหลักประกันอะไรว่ายุบสภาแล้วพันธมิตรจะเลิก แต่ผมเชื่อและขอเรียกร้องให้พันธมิตรเคารพการตัดสินใจ พันธมิตรไปตั้งพรรคการเมืองก็ได้หรือจะติดตามตรวจสอบการเลือกตั้งก็ได้ 480 คนไม่มีใครสนุก แต่วันนี้เราเสียสละตัวเองก่อนได้หรือไม่ ถ้าเราทำเราก็จะได้ใจประชาชน ทำเถอะเพื่อบ้านเมืองสงบและจะได้เป็นการวางรากฐานที่ดีต่อไป”
**”หมัก”เปิดธงในใจไม่ยุบสภา-ลาออก
หลังนายอภิสิทธิ์ กล่าวอภิปราย นายสมัคร ได้ใช้สิทธิ์ชี้แจงว่าหากตนไม่คิดจะรักษาการปกครองตามกระบวนการประชาธิปไตย และทำตามที่แนะนำแปลว่าบ้านเมืองนี้ หากฏเกณฑ์อะไรไม่ได้แล้ว ตนจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าใครที่ผูกพัน พัวพันกันอยู่นั้นไม่ได้มีการผูกพันพัวพันกันแล้ว ที่บ้านตนมีกระจกบานใหญ่มากส่องเห็นทั้งหน้า เห็นทั้งตัว รู้ตัวดีว่าทำอะไร ตนไม่ได้กล่าวตำหนิศาล แต่ที่พูดคือคำสั่งศาลเขาก็ไม่ปฏิบัติตามตนมาเป็นรัฐบาลด้วยความบังเอิญ และเมื่อมาเป็นแล้ว ก็จะทำทุกอย่างให้ดี แม้จะเปลี่ยนนิสัยใจคอให้อดทน อดกลั้นใครจะพูดว่ากล่าวแดกดันตนทนได้ แต่ทีพฤติกรรมที่ฉีกหน้าประเทศไม่เห็นมีใครกล้าเอ่ยถึง ความเกลียดแค้นชิงชัง สั่งสมมาถึงตนไปปิดสนามบิน ก็เพื่อให้รัฐบาลลาออกทำกันทุกทางแปลว่ารัฐบาลนี้เลวฉ้อราษฏร์บังหลวง จริงอย่างนั้นหรือ ว่ากล่าวว่ารัฐบาลทั้งชุดต้องออกไป ตนว่ามันไม่ถึงขนาดนั้นตนต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ ถ้าตนถอยมันก็พังทั้งระบบ
นายสมัครกล่าวว่าตนแน่ใจว่าไม่ได้ทำความผิด แน่ใจว่าความโยงใยนั้นตัดกันขาด เพราะตอนนี้มีพรรคใหม่ และที่ตนเลือกหนทางรักษาประชาธิปไตยไว้เพื่อให้คนทั้งโลกเห็นว่าประชาธิปไตยของไทยที่เกิดมา 76 ปีเกิดมาเพื่ออยู่ไม่ใช่เกิดมาเพื่อให้ใครทำอะไรก็ได้ ตนระมัดระวังอย่างมาก เพราะมีคนอยากจุดชนวนเพราะเคยทำแล้วสำเร็จ แต่อยากบอกว่านายกฯคนนี้คนละคนกับอดีตนายกฯที่เขาไม่ปฏิวัติก็เพราะนายกฯคนนี้เป็นรมว.กลาโหมอยู่ด้วย ตนจะประกาศใช้พร..ก.ฉุกเฉินก็ได้ แต่ทำแล้วบรรยากาศเสียหายจึงอยากให้ยุติกันด้วยดี สู้กันด้วยกระบวนการทางศาล สถานการณ์การเมืองกลับจากความยุ่งยากหลังรัฐประหารมาได้ 7 เดือน ตนจะทำให้โงหัวขึ้นได้ก็มีคนมาเล่นกันซะแล้ว ที่บอกให้ตนใช้เวลาคิดพิจารณาตัวเอง อยากจะบอกว่าเวลาไม่มีแล้ว ตนต้องดำเนินการต่อเพื่อรักษาบ้านเมืองนี้ไว้ เสนอแนะได้ แต่ถ้าจะพูดแดกดันก็ต้องลุกขึ้นมาชี้แจง สำเนียงตนมันนักการเมืองรุ่นเก่าถ้าจะให้นุ่มนวลเหมือนนายอภิสิทธิ์ก็ต้องใช้เวลา แต่มันคงแก่เกินแกง
** “มาร์ค”โต้นายกฯไม่เคยรับผิด
นายอภิสิทธิ์ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงว่า ตนไม่อยากให้เป็นการโต้วาทีกันไปมา แต่ถ้าไม่ชี้แจงก็จะเป็นการเข้าใจผิด กรณีที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ พรรคยืนยันแล้วว่าหากมีการขอให้ไปให้การชั้นศาล ทางพรรค ก็จะให้ไปดำเนินการ ซึ่งที่สุดแล้วคนกลุ่มนี้ ก็หนีกฎหมายไม่ได้
นอกจากนี้ การพาดพิงว่าตนเป็นคนจุดชนวนกรณีเขาพระวิหาร ชี้แจงว่าไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งศาลก็วินิจฉัยชัดเจน และถ้านายกฯ ยังไม่เข้าใจ ตนก็ยินดีจะอธิบายให้ฟัง ทั้งนี้ ที่ผ่านมานอกจากนายกฯ จะไม่รับผิดชอบ และยังไม่ออกแถลงการณ์ข้อเท็จจริงไปยังต่างชาติได้รับรู้หรือไม่ และได้แสดงท่าทีขึงขังจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรี เหมือนที่ทำกับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ เพราะรัฐบาลจะต้องปฏิบัติให้เหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สมาชิกใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง จากนั้นประธานที่ประชุมได้สั่งปิดประชุม
**อธิการนิด้าชี้ประชุม2สภาล้มเหลว
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดอภิปรายร่วม 2 สภาเพื่อแก้ปัญหาการเมือง ว่า การอภิปรายของสภา ครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ ได้แล้วยังซ้ำเติมวิกฤตการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก แม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะพยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาและเสนอทางออกให้รัฐบาลซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการเปิดประชุมสภาครั้งนี้ แต่ผู้อภิปรายฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่นายสมัคร และแทบทุกคนกลับไม่รับฟัง ใช้เวทีนี้ปกป้องจุดยืนของตัวเอง ระบายความคับข้องใจ โจมตีพันธมิตรฯ ผลักประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลให้เป็นศัตรู ซึ่งนับว่าผิดหลักการของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างรุนแรง
เพราะผู้ปกครองที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีสิทธิมองประชาชนเป็นศัตรูไม่ว่า เขาจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมากแค่ไหนก็ตาม รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความสงบ ร่มเย็นให้กับคนทุกกลุ่ม ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านก็ต้องทำความเข้าใจให้ได้ ไม่ใช่เห็นศัตรูที่จะจ้องทำลายล้าง นักการเมืองที่คิดเช่นนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศอย่างใหญ่หลวง
“สถานการณ์ขณะนี้เลยขั้นที่ว่าจะมองว่าใครถูกใครผิด นักการเมืองในรัฐบาลกำลังหลงประเด็นอย่างรุนแรงที่คิดว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วทำอะไรถูกหมด วันนี้รัฐบาลทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจถึงกับประท้วงไม่ยอมทำงาน เกิดอัมพาตในระบบการขับเคลื่อนของประเทศ แสดงว่ารัฐบาลหมดสมรรถนะในการบริหาร รัฐบาลต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกแล้วเปิดโอกาสให้การเมือง เดินไปข้างหน้าได้ ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งในสังคมจะรุนแรงกว้างขวางจนไม่สามารถเยียวยาได้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนขอเปิด อภิปรายทั่วไป เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 13.30 น วานนี้ (31 ส.ค.) โดยมี นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ซึ่งสมาชิกได้อภิปรายแสดงความเห็นกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ ส.ว. และส.ส.ฝ่ายค้าน ที่ส่วนใหญ่อภิปรายตำหนิ การบริหารงานของรัฐบาล โดยเฉพาะตัวนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ที่เป็นตัวสำคัญในการเร่งให้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้น และตำหนิการใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และในบริเวณกองบัญชาตำรวจนครบาล (บช.น.) จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ก่อนที่สมาชิกจะอภิปรายเข้าประเด็น ส.ส.ฝ่ายค้านได้ทวงถามถึง ความจริงใจที่จะรับฟังความเห็นจากสมาชิกรัฐสภาเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา หรือจะเอารัฐสภาแห่งนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการขยายความขัดแย้งเพิ่มเติมมากขึ้น เพราะท่าทีที่แสดงออกในรายการ “สนทนาภาษาสมัคร” ขัดแย้งกับเหตุผลในการขอ เปิดอภิปรายอย่างมาก ขณะที่นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า วันนี้รัฐบาลกรุณารับฟังแบบต้องการแก้ปัญหา แต่ท่าทีของนายกรัฐมนตรีมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจึงเกรงว่าเวทีนี้จะไม่ได้ผล
**”หมัก”อ้างแค่ตีปลาหน้าไซ
ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อเริ่มอภิปราย นายสมัคร ได้ลุกขึ้นกล่าวว่า การเปิดประชุมครั้งนี้เกิดจากนาย บรรหาร ศิลปะอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยได้ให้ข้อคิดว่า สถานการณ์ บ้านเมืองรัฐบาลและศาลก็เอาไม่อยู่ ทำไมสภาฯไม่ทำหน้าที่ ตนจึงทำหนังสือมาถึงสภาฯ แต่สำนวนก่อนหน้านี้ที่สมาชิกอภิปรายกันเขาเรียกว่า “ตีปลาหน้าไซ” ตนไม่ได้ท้าทาย แต่เป็นสิทธิของประชาชนคนหนึ่งที่ได้มาเป็นนายกฯ ก็พูดดักคอไว้เท่านั้น และขอให้สมาชิกจะพูดอะไรเต็มที่เลย อย่าได้ยั้ง
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ความจริง นายกฯอาจไม่ทราบว่าการเปิดสภาฯวันนี้เป็นเพราะพวกตนได้แสดงเจตจำนงต่อประธานวุฒิสภา อย่างไรก็ตาม ได้มีรัฐมนตรีคนหนึ่งบอกว่าเวทีนี้จะเป็นเวทีที่แก้ปัญหาได้ แต่ถ้าย้อนกลับไปดูวิกฤติการเมืองในอดีตก็มีน้อยครั้งมากที่กระบวนการนิติบัญญัติจะแก้ปัญหาได้ ดังนั้นอย่าคาดหวังและประเมินตัวเองสูงเกินไป เพราะการเมืองในยุคสมัยนี้ไปไกลกว่าการเมืองระบบตัวแทน เพราะยังมีการเมืองภาคประชาชน เราอาจมองบทบาทเราเป็นเพียงเสียงสะท้อน แต่อย่าเป็นกระจกสะท้อนความแตกแยก เพื่อขยายผล ถ้าจะให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ปัญหาต้องเป็นมากกว่ากระจก ดังนั้นวันนี้จึงต้องทำอย่างสร้างสรรค์
**”จุรินทร์”ชี้พฤติกรรมรัฐบาลทำประเทศป่วน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งแรกที่ผู้ชุมนุมยึดทำเนียบรัฐบาลและสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ในส่วนของนายกฯได้แสดงความเห็นว่าผู้ชุมนุมเป็นผู้กระทำผิด หลายครั้งนายกฯ ให้ความเห็นว่าจะต้องดำเนินการโดยเด็ดขาดและจะไม่ยุบสภาหรือลาออก ซึ่งการชุมนุมที่เกิดขึ้นเกิดจากนายกฯแก้ปัญหาให้ตัวเองและแก้ปัญหาให้กับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยพฤติกรรมก็คือ1.รัฐบาลประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองทั้งมาตรา 237 มาตรา 309
2.นายกฯใช้สื่อของรัฐโจมตีฝ่ายตรงข้าม สนับสนุนรายการ “ความจริงข้างเดียว” ที่ออกอากาศทาง NBT 3.รัฐบาลมีพฤติกรรมมุ่งล้างแค้น องค์กรอิสระ ต้องการเปลี่ยนก.ก.ต. ,ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ 4.นายกฯมีพฤติกรรม ลักษณะก้าวร้าวองค์กรต่างๆ ผิดวิสัยของคนเป็นนายกฯ นอกจากนั้นการบังคับให้คนเลือกข้างแสดงถึงความไร้ภาวะผู้นำของนายกฯ พฤติกรรมเหล่านี้ นำมาซึ่งการชุมนุมและเรียกร้องให้นายกฯลาออก
ข้อเสนอมี 2 ข้อคือ 1.รัฐบาลและนายกฯต้องไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เพื่อยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลายมากขึ้น 2.ถึงเวลาที่นายกฯจะต้องหันมาทบทวน บทบาทของตัวเองอย่างจริงจังและต้องถามตัวเองว่าท่านเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ ต่อไปหรือไม่ ถ้ายังจะอยู่ต่อก็คงจะได้ซักระยะ พรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงกอดคออยู่ร่วมด้วย นายกฯอยู่ได้ แต่เชื่อว่าจะยากที่จะบริหารราชการแผ่นดิน ต่อไปได้ ถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาตัวเอง เพราะถ้ายังอยู่บ้านเมืองจะสุ่มเสี่ยง ต่อความสูญเสียประชาธิปไตยหรือไม่ เข้าใจดีว่ากว่าจะมาถึงวันนี้ ท่านได้สั่งสมอะไรมายาวนาน เป็นนายกฯมาแค่ 6-7 เดือนเอง แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวและความกลัวจะทำให้เสื่อม ทางออกทั้งหมดอยู่ที่นายกฯวาจะตัดสินใจพิจารณาตัวเองโดยวิถีทางประชาธิปไตยอย่างไร
**”หมัก”ไม่ยอมรับผิดแถมเล่นงานปชป.
ขณะที่นายสมัคร ชี้แจงทันควันว่า ตนพิจารณาตัวเอง แต่ไม่เคยคิดว่าจะถูกกล่าวหาขนาดนี้เพราะครั้งนี้ไม่ใช่อภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นการพูดเกินเหตุเพราะเหตุการณ์ที่พูดมันเกิดขึ้นหลังวันที่ 25 ส.ค.แล้ว ตนแน่ใจว่าตนไม่มีพฤติการณ์เช่นนั้น ส่วนพฤติการณ์ที่จะแก้รัฐธรรมนูญมันผิดหรือ แล้วรัฐธรรมนูญปี 2550เขียนไว้ทำไม ว่าหากจะแก้ไขต้องทำอย่างไร ถ้าผิดต้องไม่เขียนไว้และที่แก้เพราะมันมีข้อบกพร่อง ที่ท่านพูดอย่างนั้นเขาทำถูก นายกฯทำผิด แปลว่าไอ้คนที่ปลุกระดมยึดทำเนียบรัฐบาลถูก ความผิดอยู่ที่นายกฯเพราะเอารายการความจริงวันนี้ออกอากาศ เขามีแต่ลุกล้ำก้ำเกินตน เรื่องที่จะใช้ความรุนแรงไม่มี แต่รัฐบาลอื่นอย่างเช่นเมื่อปี 2543 พม่าไปยึดโรงพยาบาล ยึดตัวประกันยิงพม่าตายไปเป็นสิบ ขอให้สมาชิก แสดงความเห็นได้ลองย้อนดูในสิ่งที่พูดไว้ด้วยว่ามีความเท็จอย่างไร ไม่อย่างนั้นคนจะคิดว่าคนพูดอยู่กับพันธมิตร
ด้านนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ส.สรรหา กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้รัฐบาลอ้างว่า ต้องการรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกเพื่อนำไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีโต้วาที หากนายกฯไม่พอใจในสิ่งที่สมาชิกอภิปรายฯก็ใช้อำนาจสั่งปิดประชุมไปเลย
**ชี้ตั้งข้อหากบฏเหมือนกลั่นแกล้ง
จากนั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ประชาชนถูกกระทำมากที่สุดในรัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง ซึ่งเหตุการณ์ในวันที่ 29 ส.ค. 2551 จะถูกบันทึกว่าเกิดขึ้นในรัฐบาล ของนายสมัคร สุนทรเวช ตนไม่ทราบว่านายกฯ ได้ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวว่าทำตามคำสั่งศาลน่าจะเป็นความเข้าใจผิดของผู้ปฏิบัติหน้าที่ และจากการพูดคุยก็ได้รับคำตอบว่าได้รับคำสั่งจากรองนายกฯ ที่อยู่ที่บช.น.ว่าให้ดำเนินการ
ส่วนที่มีคนเดินกุมหัวแล้วมีสีแดงติดที่เสื้อผ้า แต่พล.ต.ต. เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น. ก็บอกว่าเลือดหรือสี เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้ปฏิบัติหน้าที่ หากใช้คนแบบนี้ ความรุนแรงก็ไม่จบ การกระทำเช่นนี้ทำให้ภาพพจน์ของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสียหาก นอกจากนี้ หมายบังคับคดี ก็บังคับแค่ 6 แกนนำ ไม่มีสิทธิไปกระทำการรุนแรง หากมีผู้ขัดขวาง ก็แค่ควบคุมตัวก็พอ และการที่มีภาพตำรวจใช้ปืนจ่อหัวและผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ก็ถูกทำร้ายที่ศีรษะ ถือว่ากระทำรุนแรงเกินกว่าเหตุหรือไม่
ทั้งนี้ ตนไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ถือเป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ กฎหมาย ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า ส่วนที่อ้างว่าเป็นการกระทำตามคำสั่งศาล ทำเช่นนี้ศาลยังทำไม่ได้เลย
ส่วนการที่รัฐบาลตั้งข้อหาแกนนำกลุ่มพันธมิตร ว่าเป็นกบฏ ตนไม่เข้าใจว่า มีการบุกเข้าทำเนียบ ทำไมถึงไม่ฟ้องในข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ แต่กลับไประบุข้อหาเป็นกบฏ ซึ่งทำให้เขารู้สึกถูกกลั่นแกล้ง และระดมคนเข้ามาชุมนุมมากขึ้น ดังนั้นทั้งด้านกฎหมายและการบริหารประเทศชาติ นายกฯหมดความชอบธรรมแล้ว แต่หากนายกฯยังทนบริหารต่อไป แต่บ้านเมืองจะมีแต่เสียหายมากขึ้น จึงต้องยุติด้วยสันติวิธี
**”หมัก”บิดเบือนอ้างรูปปืนจ่อหัวตัดต่อ
นายสมัคร ลุกขึ้นตอบโต้ ว่า ตนรับผิดชอบเรื่องนี้ ตนเป็นนายกฯ แต่ต้องรับผิดชอบ คนมาเป็นหมื่นมายึดทำเนียบฯ เพราะสภาพอย่างนั้น จึงต้องไปยื่นร้อง ขอต่อศาล ซึ่งเขาก็ประกาศชัดเจนว่าต้องการล้มล้างรัฐบาล และคนที่ประกาศล้มล้างรัฐบาลก็มายึดทำเนียบฯ เราจะตั้งข้อกล่าวหาอย่างนี้ไม่ได้หรือ ต้องให้แค่ข้อกล่าวหาบุกรุกอย่างนั้นหรือข้อหาที่จะล้มล้างรัฐบาลไม่ต้อง
“ท่านเห็นรูปปืนที่เอาออกมาจี้ สมัยนี้เขาใช้ปืนอะไร ปืนประจำกายทั้งหมด มันเอ็ม 16 เท่านั้น แล้วรูปที่เอาปืนมาจ่อ มันปืนที่ไหน รูปร่างพิสดารยังไง ในระบบการปราบปราบมันมีหรือเปล่า ในที่สุดไม่ได้เอาปืนไปปราบปราม แม้แต่กระบอกเดียว แต่มีรูปมายืนยัน เขาพิสูจน์กันอยู่ กำลังดูเครื่องแต่งกายและลักษณะปืน ไม่มีปืนแบบนี้ในระบบการปราบปราม และไม่ใช้ปืนในการปราบปราม มีโล่และกระบอง อย่างมากก็ตีเกราะๆ แล้วออกไป ดูรูปซะก่อน ว่ามันปืนอะไร เขาไม่ใช้ปืนสักกระบอกเดียว แต่มีความพยายามทำทุกวิถีทางนำมาบอกกัน ไม่เป็นปัญหาเรื่องนี้ผมรับผิดชอบ ไม่ต้องไปโทษใครด้วยครับ”
**ประกาศลุยผู้ชุมนุมขอรับชอบเอง
นายกรัฐมนตรี นั่งดูเฉยๆ แล้วปล่อยให้คนตะโกนด่ารัฐบาลว่า ไม่มีความสามารถ ตนบอกว่าต้องดำเนินการ ทำแบบนุ่มนวล แต่เหตุการณ์ ไม่ได้อ้างคำสั่งศาลไปดำเนินการ คำสั่งศาลบอกว่าให้ผู้ชุมนุมออกจากบริเวณ ถนนราชดำเนิน และพิษณุโลก เพื่อความแน่ใจ ยังไปขอคำสั่งกรมบังคับคดี ให้ส่งเจ้าหน้าที่มา ก็ไปติดหมายจับ 9 คน ไม่ได้ ไปจับกุมด้วย แค่ไปติดหมาย เพื่อให้ออก ตามที่ศาลสั่ง คนเป็นหมื่นแต่ตำรวจแค่ร้อย จึงเกิดการปะทะกัน และภาพที่เกิดขึ้นคืออะไร ตำรวจบาดเจ็บ 27 คน แต่ไม่มีใครดูเลย แต่อีกฝ่ายดูนั่นดูนี่ มันไม่ใครอยากให้เกิด ถ้าคนไม่มาปะทะจะทำให้เกิดเรื่องหรือไม่ ไม่ต้องให้ตำรวจ คนไหนรับผิดชอบ ตนนี่แหละจะรับผิดชอบ เพราะต้องดูแลบ้านเมืองในสงบ แค่ตนไม่ไปจับกุม 9 คน ตามหมายศาล ก็แสดงให้เห็นแล้ว
นอกจากนี้อยู่ดีๆ จะเป็นไปได้หรือไม่ ยิงแก๊สน้ำตา ทั้งๆ ที่เอาแกลลอน ถังฉีดรถดับเพลิงมาให้ดูแล้ว และกำลังพิสูจน์กันอยู่ ก็มาบอกว่าตำรวจใช้แก๊สน้ำตา ทั้งที่ไม่ได้มีการบุกจะฉีดแก๊สน้ำตาได้อย่างไง
**โยนมือที่สามสร้างสถานการณ์
“มีคนพยายามสร้างสถานการณ์รูปปืนที่หัวก็ตั้งแต่สมัยไหนก็ไม่รู้ คิดหน่อยสิครับ ดูลักษณะกระบอกปืนก่อน เพราะถ้าใช้จริง ทำไมไม่ถือทุกคน มันมีเหตุเกิดขึ้น มันมีคนก่อการ เจ้าหน้าที่ตำรวจถือกฎหมายดำเนินการ ใครจะเดือดร้อนออกรับแทนก็ไม่ว่าอะไรกัน แต่ก็เดือดร้อนกันมากเกินไป เอาภาพนี้มาปลุกระดม โดยเฉพาะ ASTV แล้วความเสียหายของบ้านเมือง ใครจะดำเนินการ คนเป็นหมื่นก็อ้างว่าเป็นแสน พยายามเปิดปากแผล พยายามให้เป็นเหตุ ไม่มีเหตุครับ จะเจ็บร้อนแทน จะตามไปดู ก็ไปเถอะครับ ผมนี่แหละที่มีคำสั่งให้นุ่มนวล หากบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่ายก็เป็นปัญหาอีก ถึงได้บอกว่าความรุนแรงต้องเทียบอัตราส่วนกัน” นายสมัครกล่าวและว่า ปี 43 ดูสิครับ ยิงพม่ายึดโรงพยาบาลตายเรียบ ผมผ้าขาวเป็นแถว อันนั้นไม่รุนแรงเลยนะครับ ไม่ค่อยรุนแรงละครับ แล้วอย่างนี้ทำอะไรกัน คนกำลังจะก่อจลาจลในบ้านเมือง แล้วสมควรแก่เหตุมั้ยครับ
ด้าน นายพีระพันธ์ กล่าวชี้แจงว่า จะไม่ตอบโต้ใดๆกับนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรีใช้วิจารณญาณอย่างนี้บ้านเมืองถึงเสียหาย
** แนะ”หมัก”ยอมเสียหน้าเปลี่ยนรัฐบาล
ด้าน สว. นาง รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม.อภิปรายว่า ที่มีการกล่าวหาว่า กลุ่มส.ว.ที่ขึ้นเวทีพันธมิตรฯวางตัวไม่เหมาะสมถือหางพันธมิตรนั้น เป็นการไปหาข้อมูลข้อเท็จจริงและไม่ได้ไปเยี่ยมแค่กลุ่มพันธมิตรฯเพราะยังไปให้กำลังใจตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไปปฏิบัติการอยู่ในนั้นด้วย โดยขอไม่ให้ใช้กำลังทำร้ายประชาชน ตนไม่อยากเห็นรัฐบาลแบ่งแยกประชาชน อย่างทุกวันนี้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาล ได้ใช้หมายศาลเพื่อความชอบธรรมสำหรับตัวเอง ที่จะใช้ความรุนแรงในการบังคับคดี จนกระทั่งศาลได้ให้ความกรุณาเลื่อนการบังคับคดีออกไป
“การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯถือเป็นแค่ปลายเหตุ แต่ต้นเหตุจริงคือรัฐบาลบริหารบ้านเมืองโดยขาดธรรมาภิบาล ซึ่งตนเห็นว่าการปรับเปลี่ยนครม. หรือการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งหลายประเทศยังเกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น แค่มีปัญหาเพียงเล็กน้อย เขาก็ยังเปลี่ยน ซึ่งดิฉันว่าไม่ใช่เรื่องการเสียหน้า แต่เป็นความผิดชอบต่อบ้านเมือง และสุดท้ายไม่อยากเห็นการเสียเลือดเนื้ออีกแล้ว”
**”ชวน”แฉตั้งคนมีแผลเป็นบอร์ด
นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ตนไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีที่ว่าขณะนี้ศาลไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ตนคิดว่าศาลทำหน้าที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดยวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา ศาลไม่ได้มีหน้าที่สลายการชุมนุม แต่ฝ่ายบริหารต้องไปปฏิบัติให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยตนจึงยังไม่เห็นว่าศาลล้มเหลวหรือแก้ปัญหาไม่ได้ และถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาได้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติไม่ ได้มีหน้าที่แก้ปัญหา
นายชวน กล่าวว่าที่ผ่านมารัฐบาลตั้งคนของตนเองเข้าไปในองค์กรต่างๆ ซึ่งไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เช่นการตั้งกรรมการเข้าไปในบริษัท การบินไทย (จำกัด) มหาชน ซึ่งบุคคลนี้เคยอยู่ในบริษัทที่เคยให้โฆษณาทางรายการทีวีที่นายกฯจัดหรือการตั้งคนที่ถูกคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ลงมติให้ออกเข้ามาเป็น กรรมการในธนาคารแห่งประเทศไทย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเงื่อนไขใหม่ ที่ทำให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลจะต้องไม่โกหกไม่บิดเบือนความจริง เพื่อประโยชน์ในการเปรียบเทียบแก่ตัวเอง และจะต้องให้ความจริงอย่าเลือกปฏิบัติ การบอกว่า คนชุมนุมมีเพียงหยิบมือเดียวและมีลักษณะเป็นหุ่น ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะพวกนี้มากันเองไม่มีใครให้เงิน และถ้ารัฐบาลเห็นว่าคนไม่พอใจอะไรก็ต้องรีบออกมาชี้แจง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันที่นายชวนกล่าวจบ นายสมัคร ได้ลุกขึ้นขอใช้สิทธิชี้แจง ทันทีว่า บริษัทตรามือที่เป็นกรรมการบริษัท การบินไทยได้รับการคัดเลือกมาจาก สภาอุตสาหกรรม แต่บังเอิญกรรมการคนนี้มาเป็นสปอนเซอร์ในรายการของตนเท่านั้น ตนไม่คิดว่านายชวนจะเอาข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตรงนี้มาด้วย
**”คำนูณ”แนะควรเลือกทางที่ถูกต้อง
นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า เวลานี้รัฐบาลมี 3 ทางเลือก คือ1.นายกฯลาออก 2.ตัดสินใจยุบสภา และ3 ไม่ยุบ ไม่ลาออก พรรคร่วมผูกมือกันอยู่ต่อไป และหาช่องทางกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยทั้ง 3 ทางล้วนเป็นไปตามระบอบรัฐสภา อย่างไรก็ตามแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลได้ออกมาระบุชัดแล้วว่าตัดสินใจเลือกช่องทางที่ 3 และเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯน่าจะพอใจในทางออกนี้ เพราะจะทำให้เป้าหมายสูงสุดคือการเมืองใหม่ ประชาภิวัฒน์ ได้มีโอกาสเกิดขึ้นจริง แต่จะต้องขยายมวลชนให้กว้างขึ้น รวมทั้งต้องทำงานด้วยความกดดัน ความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งกับกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลที่เริ่มมีการก่อตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลเลือกใช้แนวทางที่3 ก็ยังต้องเผชิญปัญหา โดยเฉพาะนายกฯที่จะต้องเจอคดี “ชิมไปบ่นไป” ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในรัฐบาล แต่หากเลือกยุบสภา และรักษาการณ์ต่อไป หากประชาชนเลือกกลับเข้ามาใหม่ แต่กลุ่มพันธมิตรฯอาจจะไม่ยอม แต่การชุมนุมครั้งใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือ แนวทางลาออก แต่รัฐธรรมนูญยังคงอยู่ และ ส.ส.ยังมีจำนวนเท่าเดิม มีความเป็นไปได้ที่จะเสนอชื่อนายกฯคนใหม่ในพรรคร่วมรัฐบาล และเป็นที่ยอมรับได้ของประชาชน แต่จะเลือกทางออกไหนก็สุดแต่รัฐบาลจะตัดสินใจ
”อภิสิทธิ์”แนะนายกฯยอมเจ็บยุบสภา
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า ทุกฝ่ายต้องยอมเจ็บบ้างเพื่อรักษาส่วนรวม เราต้องรักษาประชาธิปไตย ไม่ว่าใครก็ตามที่จะทำให้เหตุการณ์มีความรุนแรงมากขึ้นจนนำไปสู่การรัฐประหารหรือมีการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ ตนไม่เห็นด้วยและจะยืนคัดค้าน แต่ต้องเข้าใจว่าการจะไม่ให้เกิดความรุนแรงหรือการปฏิวัติ ทุกฝ่ายก็มีหน้าที่ต้องเสียสละและทางออกก็ต้องไม่ออกนอกกรอบของรัฐธรรมนูญ และถ้าตนพูดต่อไปนี้ก็อาจจะขัดใจพันธมิตรฯ ก็คือการเมืองแบบ 70:30ทำไม่ได้ ถ้าจะทำต้องมาแก้รัฐธรรมนูญและอำนาจในการแก้รัฐธรรมนูญก็อยู่ที่รัฐสภา ถ้าจะไปสู่ 70:30ต้องมาตรงนี้ ส่วนถ้าเราจะเอานายกฯคนนอกแล้วแก้ไขมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งๆที่เราได้ต่อสู้กันมายาวนานว่าจะไม่เอานายกฯคนนอก แล้ววันนี้จะมาลบกันง่ายๆหรือ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า เสียงข้างมากไม่ได้ทำอะไรได้ทุกสิ่ง ประชาชนออกมาเรียกร้องไม่ว่าจะจำนวนเท่าใดก็ไม่ได้ผิดหลักประชาธิปไตย แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันสะสมมานานจนลุกลามจากประชาชนปฏิเสธรัฐบาล จนเลยเถิดมาถึงประชาชนปฏิเสธการเมือง สังคมโดยรวมบอกนายกฯต้องรับผิดชอบ สังคมก็มีสิทธิคิด แต่จะบอกว่าให้นายกฯลาออก ตนว่าไม่ใช่เป็นทางออก แต่สมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์บอกว่าท่านต้องพิจารณาตัวเอง ซึ่งรัฐบาลก็หวาดระแวงว่าเราจะช่วงชิงอำนาจรัฐ อย่าระแวงเพราะตนไม่ทำ ซึ่งตนไม่เชื่อว่านายกฯอยู่ในตำแหน่งจะจัดการอะไรต่อไป ปัญหาก็แก้ไขไม่ได้
“วันนี้ต้องยอมเจ็บ ถ้านายกฯกลัวว่าการลาออกจะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่ไม่ดีเพราะทำเพื่อคนหยิบมือเดียว วันนี้ต้องพูดขัดใจใครหลายคน ว่า การยุบสภาจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบอย่างหนึ่งและสภาเราก็จะรับผิดชอบร่วมกัน และการยุบสภาฯพวกผมก็เสียเปรียบทุกเรื่อง แต่ว่าวันนี้เรายอม คงจะมีคำถามว่า มีหลักประกันอะไรว่ายุบสภาแล้วพันธมิตรจะเลิก แต่ผมเชื่อและขอเรียกร้องให้พันธมิตรเคารพการตัดสินใจ พันธมิตรไปตั้งพรรคการเมืองก็ได้หรือจะติดตามตรวจสอบการเลือกตั้งก็ได้ 480 คนไม่มีใครสนุก แต่วันนี้เราเสียสละตัวเองก่อนได้หรือไม่ ถ้าเราทำเราก็จะได้ใจประชาชน ทำเถอะเพื่อบ้านเมืองสงบและจะได้เป็นการวางรากฐานที่ดีต่อไป”
**”หมัก”เปิดธงในใจไม่ยุบสภา-ลาออก
หลังนายอภิสิทธิ์ กล่าวอภิปราย นายสมัคร ได้ใช้สิทธิ์ชี้แจงว่าหากตนไม่คิดจะรักษาการปกครองตามกระบวนการประชาธิปไตย และทำตามที่แนะนำแปลว่าบ้านเมืองนี้ หากฏเกณฑ์อะไรไม่ได้แล้ว ตนจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าใครที่ผูกพัน พัวพันกันอยู่นั้นไม่ได้มีการผูกพันพัวพันกันแล้ว ที่บ้านตนมีกระจกบานใหญ่มากส่องเห็นทั้งหน้า เห็นทั้งตัว รู้ตัวดีว่าทำอะไร ตนไม่ได้กล่าวตำหนิศาล แต่ที่พูดคือคำสั่งศาลเขาก็ไม่ปฏิบัติตามตนมาเป็นรัฐบาลด้วยความบังเอิญ และเมื่อมาเป็นแล้ว ก็จะทำทุกอย่างให้ดี แม้จะเปลี่ยนนิสัยใจคอให้อดทน อดกลั้นใครจะพูดว่ากล่าวแดกดันตนทนได้ แต่ทีพฤติกรรมที่ฉีกหน้าประเทศไม่เห็นมีใครกล้าเอ่ยถึง ความเกลียดแค้นชิงชัง สั่งสมมาถึงตนไปปิดสนามบิน ก็เพื่อให้รัฐบาลลาออกทำกันทุกทางแปลว่ารัฐบาลนี้เลวฉ้อราษฏร์บังหลวง จริงอย่างนั้นหรือ ว่ากล่าวว่ารัฐบาลทั้งชุดต้องออกไป ตนว่ามันไม่ถึงขนาดนั้นตนต้องอยู่เพื่อรักษาประชาธิปไตยไว้ ถ้าตนถอยมันก็พังทั้งระบบ
นายสมัครกล่าวว่าตนแน่ใจว่าไม่ได้ทำความผิด แน่ใจว่าความโยงใยนั้นตัดกันขาด เพราะตอนนี้มีพรรคใหม่ และที่ตนเลือกหนทางรักษาประชาธิปไตยไว้เพื่อให้คนทั้งโลกเห็นว่าประชาธิปไตยของไทยที่เกิดมา 76 ปีเกิดมาเพื่ออยู่ไม่ใช่เกิดมาเพื่อให้ใครทำอะไรก็ได้ ตนระมัดระวังอย่างมาก เพราะมีคนอยากจุดชนวนเพราะเคยทำแล้วสำเร็จ แต่อยากบอกว่านายกฯคนนี้คนละคนกับอดีตนายกฯที่เขาไม่ปฏิวัติก็เพราะนายกฯคนนี้เป็นรมว.กลาโหมอยู่ด้วย ตนจะประกาศใช้พร..ก.ฉุกเฉินก็ได้ แต่ทำแล้วบรรยากาศเสียหายจึงอยากให้ยุติกันด้วยดี สู้กันด้วยกระบวนการทางศาล สถานการณ์การเมืองกลับจากความยุ่งยากหลังรัฐประหารมาได้ 7 เดือน ตนจะทำให้โงหัวขึ้นได้ก็มีคนมาเล่นกันซะแล้ว ที่บอกให้ตนใช้เวลาคิดพิจารณาตัวเอง อยากจะบอกว่าเวลาไม่มีแล้ว ตนต้องดำเนินการต่อเพื่อรักษาบ้านเมืองนี้ไว้ เสนอแนะได้ แต่ถ้าจะพูดแดกดันก็ต้องลุกขึ้นมาชี้แจง สำเนียงตนมันนักการเมืองรุ่นเก่าถ้าจะให้นุ่มนวลเหมือนนายอภิสิทธิ์ก็ต้องใช้เวลา แต่มันคงแก่เกินแกง
** “มาร์ค”โต้นายกฯไม่เคยรับผิด
นายอภิสิทธิ์ ลุกขึ้นใช้สิทธิ์พาดพิงว่า ตนไม่อยากให้เป็นการโต้วาทีกันไปมา แต่ถ้าไม่ชี้แจงก็จะเป็นการเข้าใจผิด กรณีที่นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ พรรคยืนยันแล้วว่าหากมีการขอให้ไปให้การชั้นศาล ทางพรรค ก็จะให้ไปดำเนินการ ซึ่งที่สุดแล้วคนกลุ่มนี้ ก็หนีกฎหมายไม่ได้
นอกจากนี้ การพาดพิงว่าตนเป็นคนจุดชนวนกรณีเขาพระวิหาร ชี้แจงว่าไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่งศาลก็วินิจฉัยชัดเจน และถ้านายกฯ ยังไม่เข้าใจ ตนก็ยินดีจะอธิบายให้ฟัง ทั้งนี้ ที่ผ่านมานอกจากนายกฯ จะไม่รับผิดชอบ และยังไม่ออกแถลงการณ์ข้อเท็จจริงไปยังต่างชาติได้รับรู้หรือไม่ และได้แสดงท่าทีขึงขังจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรี เหมือนที่ทำกับกลุ่มพันธมิตรฯ หรือไม่ เพราะรัฐบาลจะต้องปฏิบัติให้เหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สมาชิกใช้เวลาทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง จากนั้นประธานที่ประชุมได้สั่งปิดประชุม
**อธิการนิด้าชี้ประชุม2สภาล้มเหลว
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดอภิปรายร่วม 2 สภาเพื่อแก้ปัญหาการเมือง ว่า การอภิปรายของสภา ครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ ได้แล้วยังซ้ำเติมวิกฤตการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก แม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะพยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาและเสนอทางออกให้รัฐบาลซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการเปิดประชุมสภาครั้งนี้ แต่ผู้อภิปรายฝ่ายรัฐบาลตั้งแต่นายสมัคร และแทบทุกคนกลับไม่รับฟัง ใช้เวทีนี้ปกป้องจุดยืนของตัวเอง ระบายความคับข้องใจ โจมตีพันธมิตรฯ ผลักประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลให้เป็นศัตรู ซึ่งนับว่าผิดหลักการของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างรุนแรง
เพราะผู้ปกครองที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีสิทธิมองประชาชนเป็นศัตรูไม่ว่า เขาจะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมากแค่ไหนก็ตาม รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความสงบ ร่มเย็นให้กับคนทุกกลุ่ม ส่วนกลุ่มที่ต่อต้านก็ต้องทำความเข้าใจให้ได้ ไม่ใช่เห็นศัตรูที่จะจ้องทำลายล้าง นักการเมืองที่คิดเช่นนี้ถือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศอย่างใหญ่หลวง
“สถานการณ์ขณะนี้เลยขั้นที่ว่าจะมองว่าใครถูกใครผิด นักการเมืองในรัฐบาลกำลังหลงประเด็นอย่างรุนแรงที่คิดว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วทำอะไรถูกหมด วันนี้รัฐบาลทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจถึงกับประท้วงไม่ยอมทำงาน เกิดอัมพาตในระบบการขับเคลื่อนของประเทศ แสดงว่ารัฐบาลหมดสมรรถนะในการบริหาร รัฐบาลต้องพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกแล้วเปิดโอกาสให้การเมือง เดินไปข้างหน้าได้ ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งในสังคมจะรุนแรงกว้างขวางจนไม่สามารถเยียวยาได้”