"สนธิ"ลั่นสู้รัฐบาลทรราช ที่สั่งตำรวจไล่ทุบตีประชาชนผู้บริสุทธิ ขณะที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาลใส่ผู้ชุมนุมที่หน้าบช.น.หลังกดดันหาผู้สั่งการสลายพันธมิตรฯ จนทำให้ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บหลายราย วัชระ” แฉ ตำรวจโจร ปล้นทรัพย์พันธมิตรฯ ทำร้ายประชาชน “พล.อ.ปฐมพงษ์”เตือนตำรวจหากปิดกั้น ปชช.จะเกิดความรุนแรงทุกหย่อมหญ้า วอนอายต่างชาติที่มาทำข่าวบ้าง ชี้ภาพ ปืนจ่อหัว ปชช.รุนแรงเกินเหตุ “พันธมิตรฯ” ผงะ “อาวุธสงคราม” เพียบ! รุดแจ้งความป้อง “มือมืด” ป้ายสี "สุริยะใส"อัดรัฐบาลใช้NBTทำสงครามสื่อและบิดเบือนข้อมูล ลือสะพัด “เลี๊ยบ-ห้อย”หอบลูกเมียหนีตาย บินด่วนไปซบแทบเท้า “นายใหญ่”ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษแล้ว
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวันที่ 4 ของการยึดทำเนียบรัฐบาล มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าตรู่ เมื่อการ์ดพันธมิตรฯได้ตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากภายในตึกทำเนียบ จากนั้น เจ้าหน้าที่บังคับคดี เดินทางมาปิดหมายศาลพร้อมกับมีตำรวจที่ติดอาวุธมาครบมือ ฝ่าและปีนรั้วเข้ามายังทำเนียบ จนมีเหตุการณ์ตำรวจไล่ทำร้ายและทุบตีประชาชนจนบาดเจ็บและถูกนำส่งโรงพยาบาลหลายราย ขณะที่ ประชาชนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเมื่อทราบข่าว ได้รวมพลเดินทางเข้าสมทบที่บริเวณทำเนียบ กดดันให้ตำรวจถอยร่นกลับสู่ที่ตั้ง และบุกบช.น.เพื่อทวงถามหาผู้ทำร้ายประชาชน จนนำไปสู่การยิ่งแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน จนประชาชนต้องได้รับเจ็บอีกครั้งหนึ่ง
"สนธิ"ลั่นต้องชนะ พธม.ตจว.แตกหักเข้าทำเนียบ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวบนที่ทำเนียบว่า คนที่กำลังดูเอเอสทีวีไม่ว่าจังหวัดไหน ให้ซื้อตั๋วมาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อมาร่วมชุมนุม และถ้าถูกตำรวจสกัดขอให้รวมตัวกันเป็นร้อยคนแล้วผลักฝ่าด่านตำรวจเข้ามา ถ้าเข้าไม่ได้เราจะส่งทีมไปช่วยตลบหลังตำรวจอีกที
“วันนี้จะเป็นวันตัดสิน เราต้องสร้างประชาภิวัฒน์ให้สำเร็จ จากนี้จะไม่ยอมให้ใครมาบงการเราแบบชั่วๆอีกแล้ว เราต้องกุมโชคชะตาของเราเอง เราจะทำบ้านเมืองให้โปร่งใส วันนี้เราต้องชนะ”นายสนธิ กล่าวและกำชับให้ผู้ร่วมชุมนุม ระวังผู้ชายที่มีรูปในหลวงในมือ คือ คนที่แปลกปลอมเข้ามาหาเรื่องหาราว โดยขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมเฝ้าระวังด้วย
นายสนธิ กล่าวว่า ต้องการเรียกร้องให้ตำรวจที่ออกคำสั่งให้เข้าจัดการกับพันธมิตรมาชี้แจงให้ได้ โดยให้จัดการตำรวจที่ตีประชาชนทันที รวมทั้งตำรวจที่เอาปืนจ่อหัวประชาชน โดยขอความชัดเจนก่อนเวลา 19.00 น. ไม่เช่นนั้นต้องมีเรื่องกันแน่ และประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่นอกทำเนียบ โดยเฉพาะส่วนที่อยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า โดยนายศิริชัย ไม้งาม จะเป็นคนนำเดิน ไปปิดล้อมสนามม้านางเลิ้ง เพื่อกดดันตำรวจที่ประจำการอยู่ให้ออกไป จากนั้นจะจัดกำลังไปกดดันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อถามความชัดเจนในเรื่องที่เกิดขึ้น
"นี่เป็นสงครามครั้งสุดท้าย อีกไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เราช่วยกันสร้างอีกไม่กี่ชั่วโมงจะจบแล้ว แต่จะจบอย่างไรใจเราก็ชนะ" นายสนธิ กล่าว
และหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 2,000 คน ได้เคลื่อนไปยังบช.น.เพื่อกดดันให้ตำรวจส่งตัว พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น.ว่าที่ ผบช.น.ลงมาเจรจา ว่า เป็นผู้สั่งการให้ตำรวจใช้กำลังกับประชาชนหรือไม่ สุดท้ายแล้ว ทางตำรวจได้ใช้ยิ่งแก๊สน้ำตาลสกัดผู้ชุมนุมหน้าบช.น.
ตำรวจฉวยโอกาสฉกทรัพย์-ทำลาย
นายวัชระ เพชรทอง อดีตบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า กล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บริเวณทำเนียบรัฐบาล ว่า ตนเองได้ไปที่บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ในช่วงหัวค่ำกับประชาชน เพียงเพื่อไปท้วงคืนโทรศัพท์มือถือ และทรัพย์สินที่ตำรวจปล้นไปจากประชาชนในการเข้ายึดพื้นที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงเที่ยง รวมถึงการปล่อยตัวประชาชนที่บริสุทธิ์ออกมาด้วย
ซึ่งเหตุการณ์ขณะนั้น เริ่มต้นจากการมีเสียงปืนสั้นดังขึ้นมาใน บช.น.2 นัด และหลังจากนั้นตำรวจได้มีการระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนนับสิบลูก โดยการไปชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ได้มีความประสงค์จะบุกเข้าไปแต่อย่างใด แต่เมื่อขยับตัวเข้าไปที่ประตูรั้วเหล็กด้านหน้า ก็ปรากฏมีเสียงปืนสั้นดังขึ้น 2 นัด ในนาทีนั้นเอง แก๊สน้ำตาหลายสิบลูกระดมยิงมาอย่างต่อเนื่อง
“หลังจากที่เขายิงออกมา ประชาชนก็กระจัดกระจาย ผมจึงกลับมาบอกข่าวสารที่นี่ ให้ประชาชนทั่วประเทศทราบว่า ตำรวจเป็นฝ่ายใช้กำลังกับประชาชนก่อน โดยที่เราไม่ได้ล้ำเข้าไปในเขต บช.น.แต่อย่างใด มีเจ้าหน้าที่โทรทัศน์ทุกช่อง ได้ถ่ายภาพในเหตุการณ์ไว้โดยละเอียด และเราจะนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลต่อไป ว่า ประชาชนที่ไม่มีอาวุธกลับถูกตำรวจทำร้าย” นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวอีกว่า ที่น่าเสียใจ คือ การกล่าวหาของตำรวจ ในการยึดถังปัสสวะไปสี่ถัง และปล่อยให้ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ไปออกอากาศตลอดเวลา ว่า เป็นสารเสพติดสี่คูณร้อย ที่เหมือนกับโจรใต้ใช้ ซึ่งถ้าเราชนะในครั้งนี้ เราจะให้ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว ชิมเป็นคนแรก โดยผู้ที่สั่งยิงแก๊สน้ำตาในครั้งนี้ ก็คือ นายตำรวจท่านนี้ และไม่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่อยู่ภายใน บช.น.แต่อย่างใด ซึ่งต่อไปนี้เราจะต้องร้องเรียนให้ปลดคนๆ นี้ออกจากราชการให้ได้จากการที่เขาทำร้ายประชาชน
“นายตำรวจผู้นี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกในตอนเช้า และเป็นเพื่อนรวมรุ่นกับทักษิณ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีความโหดร้ายเหมือนกัน” นายวัชระ กล่าว
สำหรับการที่ผมกลับมาก่อนนั้น เพื่อต้องการนำความจริงมาเปิดเผยกับประชาชน ว่า เป็นอย่างไร และอยากขอความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่หน้า บช.น.ด้วย โดยการใส่ร้ายประชาชนในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องอาวุธในทำเนียบ เป็นสถานการณ์เดียวกันกับช่วง 6 ตุลา เป็นอย่างมาก โดยอยากให้ประชาชนทุกคนที่รู้เรื่องนี้ ถ้ายังมีจิตใจของประชาชนอยากให้มาร่วมกันที่นี่ เพราะประเทศชาติต้องการทุกคนในคืนนี้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รายงานเพิ่มเติมเข้ามา ว่า การไปหน้า บช.น.ของประชาชนในครั้งนี้ เนื่องจากมีทรัพย์สินของผู้ชุมนุมบางส่วนหายไประหว่างการเข้ายึดพื้นที่ของตำรวจในเที่ยงของวันนี้ อาทิเช่น โทรศัพท์ 8 เครื่อง รถมอเตอร์ไซค์ 1 คัน เงินบริจาคของแต่ละซุ้ม แต่ระหว่างที่มีการเคลื่อนขบวนและปักหลักเผชิญหน้าบริเวณ บช.น.ก็มีการยิงแก๊สน้ำตา ประมาณ 10 กว่าลูก และได้ยินเสียงปีนหลายนัด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน ถูกลูกกระสุนยางและแก๊สน้ำตาหลายราย
อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของตำรวจ ว่า ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นความชอบธรรมที่จะมาทวงของที่หายไป แต่กลับใช้ความรุนแรง
เชื่อ"สมัคร"ไม่รอด
ด้านนายพิภพ ธงไชย กล่าว่า นายสมัครเป็นผู้เก๋าเกมทางการเมือง ดังนั้น ถ้าเก่าการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง คือ ลาออกไป และนำกฏหมายมาแก้ปัญหาเพราะใช้กับเราไม่ได้ ยิ่งการตั้งข้อหาเราเป็นกบฎ เรายิ่งไม่ยอม ซึ่งเรื่องนี้ขอให้นักวิชาการเข้าใจประเด็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องทางกฏหมาย ซึ่งรัฐบาลทำผิดทางการเมืองและเราก็ไม่ได้ทำผิดกฏหมาย ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลช่วยกันกดดันให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนลาออกไป
นอกจากนี้ นายพิภพยังระบุด้วยว่าขอให้ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจที่เห้นด้วยกับเรามี 2 ทางคือ มาร่วมชุมนุมกับเราหรือไม่ก็ประกาศนัดกันหยุดงาน ซึ่งหากหยุดงานตนเชื่อว่า นายสมัครลาออกแน่
“ปฐมพงษ์”จวกตร.ปืนจ่อหัว ปชช.
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษภายหลังที่เดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.)ว่าตนเดินทางมาที่นี่ เพราะ นางรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นผู้ชวนมา แต่เมื่อ ส.ว. 20 กว่าคนมาถึง ก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาพูดคุยด้วย ในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ถือว่าได้ออกมาทำหน้าที่แล้ว ว่า อย่าทำรุนแรงกับประชาชน
พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า กรณีของกัมพูชาในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เรายังมีขั้นตอนในการเจจา ไม่มีการใช้ความรุนแรง แต่นี่คนไทยถ้าใช้ความรุนแรงจนรับไม่ได้ ไม่อยากให้คิด ว่า ยอมไม่ได้หรือเสียหน้า และถ้าหากประชาชนมาเยอะ แล้วไปปิดกั้น ความรุนแรงจะเกิดทุกหย่อมหญ้า ไม่อายคนต่างชาติที่มาทำข่าวบ้างหรือ ภาพตำรวจที่เอาปืนจ่อหัว ตามที่ ส.ว. นำมาให้ดูนั้นคิดว่ามันรุนแรงไป ผู้มีอำนาจอยากให้คิดว่า อำนาจมีไว้เพื่อความสงบสุข เพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อบีบคั้นจิตใจ
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงให้ข้อจำกัดของข้อกฎหมายในวันระพีไว้ ดังนั้น คงต้องให้คณะของ ส.ว. พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่ายบริหารให้จบ จากนั้นคงเกิดความชัดเจนและประชาชนก็จะตัดสินใจทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามครรลอง คนไหนที่มีอำนาจจะทำอะไรลงไปต้องคำนึงว่า อย่าคิดว่าวันนี้แตกสลายก็ได้ เหตุการณ์ 14 ต.ค. หรือ 6 ต.ค. เข้าป่าไปแล้วก็ออกมาคุยกัน แต่วันนี้ไม่มีป่าให้เข้าแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น การรบกันด้วยใจที่เวียดนาม ทหารสหรัฐ ฯ ก็ยังแพ้ อย่าดูถูกใจคนที่มา เพราะหายนะจะเกิดกับบ้านเมือง เพราะประชาชนเกิดความคับแค้น ไม่ฟังกันทุกอย่างจะวุ่นวาย" พล.อ.ปฐมพงษ์กล่าว
"สุริยะใส"อัดรัฐบาลใช้NBTทำสงครามสื่อ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้เปิดแถลงข่าว โดยนำเอกสารของกรมประชาสัมพันธ์ ที่ลงนามโดยนาง พิไลศิริ ทองพรม ผู้อำนวยการ สขน.ป. ผอ. สวท. เป็นบันทึกข้อความด่วนสุด หนังสือเลขที่ / นร.020702 เรื่องการรับสัญญาณรายการจากสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที โดยในหนังสือระบุว่า ผอ. ศวท. ได้โทรศัพท์คำสั่ง ลงวันที่ 29 ส.ค. ให้ ผช.สวท. 105 เม็กกะเฮอร์ท ได้ทำการปรับผังรายการปกติของสถานีความถี่ 97 เม็กกะเฮอร์ท และ 105 เม็กกะเฮร์อท ยกเว้นข่าวภาคหลักและข่าวต้นชั่วโมง และให้รับสัญญาณรายการจากรายการของสถานี เอ็นบีที เพื่อเป็นการสนับสนุนงานของรัฐบาล และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00น ในวันนี้เป็นต้นไป ซึ่งนายสุริยะใส ได้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า เป็นคำสั่งที่ต้องการทำสงครามข่าวสารหรือไม่
นายสุริยะใส กล่าวว่า จากกรณีที่ เจ้าหน้าที่บังคับคดีได้นำหมายศาลมาติด แต่เจ้าหน้าที่กลับอ้างคำสั่งศาลและนำเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 กองร้อย มาสลายผู้ชุมนุมที่ถนนมัฆวาน แต่ทางพันธมิตร สามารถพลิกเกมได้ โดยทางเรายืนยันว่า จะใช้ พื้นที่ที่สะพานมัฆวาน เป็นที่รับรองมวลชน ที่จะมาสบทบ ดังนั้นช่วงดึกของวันนี้เรายังไม่ไว้วางใจ ดังนั้นการต่อสู้จะดำเนินการวันต่อวัน
ทั้งนี้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราไม่ต้องการต่อสู้กับตำรวจ แต่ทางรัฐบาลกลับใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือเผชิญหน้ากับทางพันธมิตร ขณะเดียวกัน ทางพันธมิตร ได้ทำการเก็บหลักฐาน เป็นบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลายนาย โดยเฉพาะในระดับสารวัตร ภาพถ่ายที่มีคราบเลือดของประชาชน โดยสถานการณ์ในวันนี้เราต้องจับตาผู้ฉวยโอกาสและมือที่สาม
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ตนเองยังได้รับรายงานมาเช่นกันว่า ทหารอาจเข้ามาสลายการชุมนุมแทนตำรวจเช่นกัน ส่วนในเรื่องที่ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เสนอ ให้มีการเจรจากันนั้น ตนเองเห็นว่าขณะนี้ได้เลยขั้นตอนนั้นไปแล้วและเชื่อว่า จุดจบจะมากกว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน ดังนั้นสถานการณ์ในขณะนี้ไม่เชื่อว่าจะประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายสุริยะใส ระบุอีกว่า ขณะนี้ได้หารือกับแกนนำรัฐวิสาหกิจว่า จะมีมาตรการเพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้น ตำรวจต้องเข้าใจในเรื่องของอารยะขัดขืน และทางพันธมิตรฯจะต้องอธิบาย เรายังประเมินว่า ทหารคงไม่ยอมให้รัฐบาลใช้กำลัง เนื่องจากเห็นได้จากโผทหารที่มีข่าวว่า กองทัพไม่พอใจ นอกจากนี้ ยังระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ ทางพันธมิตรฯจะยื่นขออุทณ์ ข้อหากบฎเรารับไม่ได้
รื้อถอนต้องอาศัยคำสั่งศาล
นายประพันธ์ คูณมี หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก 5 แกนนำพันธมิตรฯ ให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องคดี และการออกหมายจับของพนักงานตำรวจกับแกนนำ 9 คนว่า ในความจริงแล้วกรณีคดีแพ่งศาลแพ่งมีอำนาจพิพากษาคดีเฉพาะกรณีข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนเท่านั้น เช่น เรื่องการเช่าบ้าน เช่าซื้อ เช่าทรัพย์ คดีที่ดิน คดีมรดก แต่กรณีเป็นคดีทางการเมือง เป็นการชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่ข้อพิพาทระหว่างเอกชนด้วยกันเอง แต่เป็นข้อพิพาทต่อสู้ในทางการเมืองระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล เมื่อศาลแพ่งรับคดีพิจารณาแล้วจะมีอำนาจพิจารณาคดีก้าวล่วงมากระทั่งสั่งห้ามให้ผู้ชุมนุม ชุมนุมตรงนั้นตรงนี้ให้ออกไปได้หรือไม่ จึงเป็นปัญหาศาลแพ่งใช้กฎหมายนี้มาบังคับ โดยอยู่ในอำนาจของศาลแพ่งหรือไม่ ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 6 หรือไม่ ที่ระบุว่าบทกฎหมายใดจะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญไม่ได้
ฉะนั้นกรณีเช่นนี้ผู้ถูกฟ้องสามารถที่จะยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลได้ คัดค้านและอุทธรณ์ได้ เมื่อศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวให้ 6 แกนนำรื้อถอนขนย้าย ยังมีปัญหาว่าคำสั่งนั้นชอบหรือไม่ และการที่กรมบังคับคดีหรือตำรวจจะมารื้อถอนจะใช้อำนาจเข้ามาทำการรื้อถอนทำไม่ได้ในข้อกฎหมาย ต้องทำโดยอาศัยอำนาจคำสั่งศาล ซึ่งได้อุทธรณ์แล้ว และส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอยู่
"การบุกจู่โจมรื้อขนยายประชาชนเลยนั้นถือเป็นการกระทำผิด ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเมิดทรัพย์สินทำให้ประชาชนเกิดความเสียหาย จะกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง นอกจากจะประกาศภาวะฉุกเฉินสลายการชุมนุม ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดี "
"หมัก"โกหกหลอกหลวง
สำหรับความเคลื่อนไหวของนายสมัคร สุนทรเวช ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเวลา 14.00 น. ได้เดินทางไปประชุมที่สภากลาโหม ที่กระทรวงกลาโหม หลังการประชุม นายสมัคร ได้กล่าวว่า ทางรัฐบาลยังคงจัดงานสำคัญ 116 วัน โดยจะนัดผู้คนไว้ทั่วประเทศมาร่วมกันทำงาต่อไป บ้านเมืองจะมีความยุ่งยาก มีคนไม่เห็นด้วยก็ต้องพูดจากันไป
"พอรัฐบาลถอยกลับออกมา ก็บอกว่ารัฐบาลอะไรไม่เข้มแข็ง ไม่จัดการให้เรียบร้อย ตนบอกว่า ได้รับปากผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองไว้ว่า จะพยามทำให้นุ่มนวล ไม่ให้กระทบกระทั่ง ก็อดกลั้นจนถึงป่านนี้ และถ้ามีอะไรก็ไปพูดเจรจากันต้องรักษาบรรยากาศบ้านเมืองเอาไว้ เพราะพรุ่งนี้จะมีงานสำคัญถวายเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน " นายสมัคร กล่าว ทั้งๆที่ในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากได้เคลื่อนเข้าสลายผู้ชุมนุมที่ทำเนียบฯ
นอกจากนี้ นายสมัคร ได้กล่าวอ้างอีกว่า " ขอบารมีเจ้าฟ้าแผ่นดินมา เพื่อจะทำให้สมัครสมานสามัคคี"
เท่านั้นยังไม่พอ นายสมัครตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า หลังจากพรุ่งนี้แล้วมีแนวคิดอย่างไร นายกฯกล่าวว่า ตนต้องตัดสินใจดำเนินการ ต้องรักษาบ้านเมืองนี้ไว้ ถ้ามันเหนือบ่าไปกว่านี้ตนก็ต้องจัดการ ตนจะดูสิว่า ความรัก ความผูกพัน ระหว่างเรากับสถาบันพระมหากษัตรย์ในวันพรุ่งนี้ สมเด็จพระบรมโอสาธิราชฯ จะเป็นสะพานมาทอด เอาธงมาพระราชทาน
"ตนขอพึ่งพระบารมีพระองค์ท่าน กราบบังคมทูล ฯใครก็ได้ยิน รับสั่งว่า “ขอให้สำเร็จ” ตนก็หวังใจว่า ยังไม่ทันไร จะล้มกันเสียแล้ว แต่ตนยังไม่ จะอดกลั้นให้ถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้มาถึงแล้ว ท่านทั้งหลายจะช่วยตนก็ช่วยเอาข่าวนี้ออกไป โทรทัศน์ช่วยเอาข่าว เอาเสียงตนออก ไม่อยากใช้คำว่า สุดจะอดกลั้น แต่ใครเป็นตนลองนึกดูสิว่า ตอนนี้บ้านเมืองเสียหาย ฟาดฟันจนคนเก่าออกไปแล้ว ทำไมมาเอาตนอีก ตนรักษาบ้านเมืองทำให้บ้านเมืองคงอยู่ ตนไม่ใช่คนร้าย ตรวจสอบได้ "นายกฯกล่าวอ้าง
และเมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่เสนออะไรหรือ นายสมัคร กล่าวว่า "เขาเสนอ แต่ตนถือไว้ในมือ ถ้าตนทำตามสิ่งที่เขาเสนอ ก็คงจะต้องยกเลิกงาน116 วัน "
จากนั้นนายสมัคร ขึ้นไปเซ็นเอกสารเป็นเวลานาน 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วนั่งรถออกไป
นายกฯ มีเวลาแวะเที่ยวสถานกงศุล
ซึ่งก่อนหน้านี้ ในเวลา 09.00 น.นายกรัฐมนตรี ไปประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยมีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม และพล.ต.อ. ทวี สอดส่อง อธิบดีฯดีเอสไอ ยืนคอยต้อนรับ โดยหลังเสร็จสิ้นการประชุม ได้แวะรับประทานอาหารและเที่ยวที่สถานกงศุล ถนนแจ้งวัฒนะ โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่สกัดกั้นรถผู้สื่อข่าวไม่ให้ติดตามขบวน โดยนายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนนั่งรถเบนซ์ สี่ประตู สีทอง หลังจากที่ช่วงเช้านายกรัฐมนตรี นั่งรถโตโยต้า อัลพารด สีดำ
ตนประชุมดีเอสไอเมื่อเช้า และมาประชุมสภากลาโหมในตอนบ่าย เสร็จเรียบร้อยแล้วมีหนังสือตั้งสูงให้ตนเซ็น ก็เซ็นหนังสือเสียก่อนระหว่างนั้นก็มีข้อมูลที่ส่งเข้ามา ตนอยากจะบอกพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่า บ้านเมืองของเรามันโชคไม่ดี มาจนถึงป่านนี้ ตนก็พยายามที่จะทำอะไรที่ไม่รุนแรง ไม่ให้กระทบกระทั่ง ตำรวจก็เข้ามาช่วยดำเนินการ เมื่อเช้านี้ตำรวจดำเนินการตามคำสั่งศาล ช่วยศาลดำเนินการ ศาลสั่งอะไรก็ดำเนินการตามนั้นเข้าไปจนกระทั่งจะจบ เมื่อเช้าจะเอาให้จบก็ได้ แต่ก็กลัวว่า ถ้าเดินหน้าไปอีกหน่อยจะเกิดการปะทะกัน เลือดตกยางออกก็เลยบอกว่า ให้ถอยออกมาก็แล้วกัน ถ้ายังจะพูดจากันได้ก็พูดจากัน
“หมัก-ยี้ห้อย”โคลนนิงเผด็จการ
ในช่วงรายการ "รู้ทันประเทศไทย" ดำเนินรายการโดย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เชิญอดีตผู้ต้องกบฎในสมัยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จำนวน 2 คน คือ นายธัญญา ชุรญดาธาร และ นายไชยวัฒน์ แก้วก่า โดยทั้งสองคนได้เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง
นายธัญญา เล่าย้อนเหตุการณ์ในอดีตให้ฟังรัฐบาลเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร ที่มีการทุจริตคอร์รัปชัน และในครั้งนั้นพวกตนได้ถูกตั้งข้อกบฏจำนวน 13 คน และถูกเรียกว่าเป็นกบฏรัฐธรรมนูญและติดคุกอยู่จำนวน 7 วัน จากนั้นไม่กี่วันรัฐบาลเผด็จการก็อยู่ไม่ได้ต้องหนีออกนอกประเทศหลังจากถูกนักศึกษาและประชาชนยื่นคำขาดให้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง
ด้าน นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า รัฐบาลเผด็จการก็จะอยู่ไม่ได้ และรัฐบาลเผด็จการชุดนี้ ก็จะอยู่ไม่ได้ ซ้ำรอยรัฐบาลในอดีต และในอดีตจนถึงปัจจุบันก็มีช่อง 11 ที่บิดเบือนปลุกระดมเช่นเดิม แต่ในที่สุดฝ่ายธรรมมะก็ย่อมชนะอธรรม พร้อมทั้งระบุว่า คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายเนวิน ชิดชอบ
นายธัญญา กล่าวว่า การที่ถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏ ไม่ว่ายุคใดไม่มีทางที่จะสกัดกั้นการต่อสู้ของประชาชนได้ และประชาชนจะไม่เชื่อตามข้อหล่าวหาของฝ่ายรัฐบาล การที่รัฐบาลตั้งข้อหา 9 แกนนำพันธมิตรฯเป็นกบฏเช่นเดียวกัน เพราะประชาชนเชื่อว่าเป็นคนดี และในที่สุดรัฐบาลนั่นแหละจะอยู่ไม่ได้แน่นอน
สัญญาณบ่งบอก"ตำรวจ"เข้าสลาย พธม.
การเข้าเคลียร์พื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเช้าของวานนี้(29 ส.ค.)นั้น เริ่มมีเคล้ามาตั้งแต่ช่วงเวลา 02.00 น.ของวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นวันที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดี จะนำคำสั่งศาลมาติดปิดประกาศในบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งในฟากพันธมิตรฯเห็นสัญญาณชัดเจนที่ทางรัฐบาลจะสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯโดยอาศัยจังหวะการเข้ามาติดปิดประกาศคำสั่งศาล
โดยช่วงเวลา 02.20 น. นายสำราญ รอดเพชร ว่าที่แกนนำรุ่น 2 ของพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่ออ่านจดหมายจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่เขียนมาบอกผู้ชุมนุมว่า มีพันธมิตรที่มาร่วมชุมนุมกับเราเป็นประจำได้มาพบตน และแจ้งให้ทราบว่าญาติเป็นตำรวจยืนยันว่าช่วงที่เราหลายคนกลับไปอาบน้ำ กลับไปพัก คนน้อยลง ระหว่างเวลาประมาณ ตี 5 ถึง 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นจังหวะเหมาะที่รัฐบาลจะเข้าสลายการชุมนุม โดยมีกำลังตำรวจประมาณ 7,000 คน เข้าเคลียร์พื้นที่
การ์ด พธม.แจ้งตำรวจพบ"อาวุธสงคราม"
สัญญาณที่เป็นสัญญาณอันตรายอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจจะทำให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างได้ ก็เมื่อในเวลา 05.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ อายุ 55 ปี ตัวแทนกองทัพธรรม และนายกิตติชัย ใสสะอาด อายุ 45 ปี หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริเวณประตู 4 ของทำเนียบฯ ได้รีบเดินทางเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ต.เอกพล ทวิวงศ์ชัยกุล พงส.(สบ.2) สน.ดุสิต หลังพบอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนจำนวนมาก ภายในชั้น 2 ของอาคารฝ่ายปฏิบัติการ รปภ.ด้านประตู 4 ถนนพิษณุโลก ภายในทำเนียบฯ
ร.ต.แซมดิน กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ให้เข้าแจ้งความภายหลังจากพบอาวุธสงคราม เนื่องจากเมื่อเวลา 03.00 น. ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ กำลังสำรวจความปลอดภัย และตรวจสอบความเรียบร้อยภายในทำเนียบฯ เมื่อมาถึงอาคารดังกล่าว พบตำรวจจำนวน 38 คน แต่งกายสวมเสื้อสีเหลือง ยังอยู่ในอาคาร โดยอ้างกับฝ่ายอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยว่า เป็นตำรวจสันติบาล ไม่มีอาวุธ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาอาคาร แต่ทางพันธมิตรฯยืนยันว่า ต้องออกไป จึงเจรจาขอให้ออกจากอาคาร จากนั้นตรวจสันติบาลจึงยินยอมออกจากอาคาร โดยตำรวจสันติบาลขอให้ทางอาสาสมัครของพันธมิตรฯนำส่งพ้นนอกพื้นที่ และแจ้งให้พันธมิตรฯ เข้าตรวจสอบบริเวณด้านในของอาคารได้
"จากการตรวจสอบที่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร พบอาวุธปืนสงคราม และกระสุนปืนจำนวนมาก ประกอบด้วยปืนเอ็ม 16 จำนวน 17 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 3 ลัง จำนวนลังละ 2,000 นัด รวม 6,000 นัด และยังพบปืนเอชเค 33 จำนวน 13 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 440 นัด กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 2 กล่องใหญ่ รวม 2,350 นัด และไฟฉาย จำนวน 13 กระบอก ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นปืนที่มีทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ร.ต.แซมดิน กล่าว และว่า การเข้าแจ้งความครั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า อาวุธที่พบไม่ได้เป็นของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยต้องการให้ตำรวจ สน.ดุสิต เข้าตรวจสอบ และยึดปืน รวมทั้งเครื่องกระสุนทั้งหมดไว้ อีกทั้งยังได้ประสานตำรวจสันติบาลเข้าตรวจสอบ และนำหลักฐานมาแสดงว่าเป็นของตำรวจสันติบาลจริงหรือไม่
จนกระทั่ง เมื่อเวลา 07.00 น. หลังจากที่ ร.ต.แซมดิน และนายกิตติชัย ได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันแล้ว ได้นำผู้สื่อข่าวขึ้นไปดูอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ในสำนักงานของกองรักษาการฯ ขณะเดียวกันได้นัดหมายกับผู้กำกับ สน.ดุสิต ให้มาตรวจสอบหลักฐาน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดเดินทางมาตรวจสอบตามที่นัดหมายไว้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับบริเวณชั้น 2 ของอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานของตำรวจสันติบาล ซึ่งสังกัดกองกำกับการ 4 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล 3 กองรักษาการตำรวจทำเนียบรัฐบาล โดยอาวุธปืนและกระสุนจำนวนมากดังกล่าว กองอยู่ที่พื้นห้องสุดปลายทางเดิน และจากกรณีที่พบอาวุธสงครามจำนวนมาก ทำให้พันธมิตรฯ มีความจำเป็นที่จำต้องตรวจสอบภายในของทุกอาคารในทำเนียบฯ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ไม่หวังดี ลอบนำอาวุธไปหลบซ่อนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากที่พันธมิตรฯ ได้ไปแจ้งความ แต่กลับไม่ปรากฏมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบอาวุธแต่อย่างใด โดยห้องที่มีอาวุธดังกล่าว มีบอร์ดระบุชื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคือ พ.ต.ท.อดินาท อิศรางกูร ณ อยุธยา
นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่เวรที่ขึ้นบอร์ด คือ ส.ต.อ.มนูญ เขียวมา ผช.ผบ.กองรักษาการฯ ส.ต.อ.อำนวย สุขเสน สิบเวร และ ส.ต.อ.สัญญา รักขพันธ์ นายยาม ส.ต.ท.จักรรินทร์ ไทธะนี เจ้าหน้าที่พัสดุ
ลิ่วล้อ"แม้ว"ขอระงับแพร่ภาพ ASTV
นายศักดา นพสิทธิ์ อ้างว่าเป็นนักกฎหมายภาคตะวันออก ใช้ชื่อ กลุ่มยุติธรรมไทย ได้เดินทางไปยังศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลปกครองสูงสุด ยุติการออกอากาศของสถานีเอเอสทีวี เนื่องจากว่า หลังจากที่ศาลได้อนุมัติหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คน ได้กระทำผิด ตามมาตรา 113,114,215 และ 216 ในข้อหากบฏ อันเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามคำฟ้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้ระบุว่า ผู้ต้องทั้ง 9 คน ได้ร่วมกับพวกกระทำการระดมประชาชน ผ่านสื่อเอเอสทีวี โจมตีรัฐบาล และบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ประชาชน ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงมาร่วมชุมนุมกับผู้ต้องหาทั้ง 9 ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.51 จนเกิดการกระทำที่ไม่เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง มีการบุกรุกสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และได้บังคับพนักงานหยุดปฏิบัติหน้าที่ การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตรฯได้ใช้สถานีเอเอสทีวี ออกอากาศให้ประชาชนทั่วประเทศขัดขืนคำสั่งของศาลอาญา เรื่องการจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คน และคำสั่งของศาลแพ่ง ที่ให้ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ออกจากทำเนียบรัฐบาลโดยทันที จึงเห็นชัดว่า ขณะนี้สถานีเอเอสทีวีคือเครื่องมือของกลุ่มพันธมิตร ที่ใช้ต่อต้านอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประเทศ ถือได้ว่าเป็นการประทำที่ชั่วร้าย เป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง หากไม่แก้ไขประเทศไทย และสังคมไทยก็อาจจะวิบัติได้
อย่างไรก็ตาม ในหนังสือดังกล่าว ยังระบุอีกว่า บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่าการที่ศาลปกครองได้ให้การคุ้มครองชั่วคราว กับสถานีเอเอสทีวี ให้สามารถออกอากาศได้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความแตกแยก และมีทัศนคติที่เกลียดชังกัน จนนำไปสู่การไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมือง หากปล่อยปละละเลยโดยอ้างข้อจำกัด และกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้ว่า ท่านและคณะ เป็นส่วนสำคัญของปัญหา
ดังนั้น พวกข้าพเจ้าจึงใคร่ขอท่าน และคณะได้ใช้อำนาจหน้าที่พิจารณาให้สถานี เอเอสทีวีหยุดออกอากาศ โดยทันที เพื่อเป็นการรักษาประเทศไทย ให้สามารถอยู่รอดปลอดภัย และดำรงอยู่ได้อย่างสง่างาม อีกทั้งท่านก็จะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงที่ว่า มีความเป็นห่วงต่อบ้านเมือง
ทั้งนี้ ยังหวังว่าสถาบันศาลปกครองจะเป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรมของประเทศ มิใช่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ผู้คนหลายฝ่ายได้เข้าใจอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการฟ้องให้เอเอสทีวี หยุดอออกอากาศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด หลังจากที่ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งว่า เอเอสทีวี สามารถเผยแพร่ภาพได้ ทำให้สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งก็อยู่ระหว่างการพิจารณา
พรรคร่วมเสนอขอเปิดประชุม 2 สภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปประชุมกันที่ บ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เพื่อหาทางแก้วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยพรรคร่วมเห็นพ้องว่า จะเสนอให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร์ เปิดประชุม 2 สภา ในวันอาทิตย์ที่ 31 ส.ค.นี้ เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองในครั้งนี้
"เลี้ยบ-ห้อย"เผ่นซบแทบเท้านายใหญ่
ภายหลังพันธมิตรฯ ได้กดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปได้หมดแล้ว พบว่า ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา ได้มีกระแสข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง และ นายเนวิน ชิดชอบ หนึ่งใน 111 ซากศพไทยรักไทย ได้พาครอบครัวบินไปประเทศอังกฤษแล้ว
ล่าสุด มีรายงานข่าวยืนยันว่า เที่ยวบินของสายการบินไทย TG910 กรุงเทพฯ-ลอนดอน ซึ่งจะออกจากกรุงเทพฯในเวลาประมาณ 01.10 น.ปรากฏว่า มีชื่อของ นายเนวิน และ นางกรุณา ชิดชอบ พร้อมด้วยบุตรทั้งสอง อยู่ในรายชื่อผู้โดยสารด้วย
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า นพ.สุรพงษ์ และ นายเนวิน นั้น ได้แสดงตัวอย่างชัดเจนว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด โดย นพ.สุรพงษ์ เป็นรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงการคลัง ซึ่งมีกรมสรรพากรอยู่ในกำกับดูแล และที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้พยายามจะร้องขอถอนอายัดทรัพย์สินให้ลูกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ นายเนวิน มักจะมีชื่อพัวพันกับเหตุการณ์ทำร้ายพันธมิตรฯ หลายครั้ง
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยวันที่ 4 ของการยึดทำเนียบรัฐบาล มีเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าตรู่ เมื่อการ์ดพันธมิตรฯได้ตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากภายในตึกทำเนียบ จากนั้น เจ้าหน้าที่บังคับคดี เดินทางมาปิดหมายศาลพร้อมกับมีตำรวจที่ติดอาวุธมาครบมือ ฝ่าและปีนรั้วเข้ามายังทำเนียบ จนมีเหตุการณ์ตำรวจไล่ทำร้ายและทุบตีประชาชนจนบาดเจ็บและถูกนำส่งโรงพยาบาลหลายราย ขณะที่ ประชาชนทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดเมื่อทราบข่าว ได้รวมพลเดินทางเข้าสมทบที่บริเวณทำเนียบ กดดันให้ตำรวจถอยร่นกลับสู่ที่ตั้ง และบุกบช.น.เพื่อทวงถามหาผู้ทำร้ายประชาชน จนนำไปสู่การยิ่งแก๊สน้ำตาเข้าใส่ฝูงชน จนประชาชนต้องได้รับเจ็บอีกครั้งหนึ่ง
"สนธิ"ลั่นต้องชนะ พธม.ตจว.แตกหักเข้าทำเนียบ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวบนที่ทำเนียบว่า คนที่กำลังดูเอเอสทีวีไม่ว่าจังหวัดไหน ให้ซื้อตั๋วมาที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อมาร่วมชุมนุม และถ้าถูกตำรวจสกัดขอให้รวมตัวกันเป็นร้อยคนแล้วผลักฝ่าด่านตำรวจเข้ามา ถ้าเข้าไม่ได้เราจะส่งทีมไปช่วยตลบหลังตำรวจอีกที
“วันนี้จะเป็นวันตัดสิน เราต้องสร้างประชาภิวัฒน์ให้สำเร็จ จากนี้จะไม่ยอมให้ใครมาบงการเราแบบชั่วๆอีกแล้ว เราต้องกุมโชคชะตาของเราเอง เราจะทำบ้านเมืองให้โปร่งใส วันนี้เราต้องชนะ”นายสนธิ กล่าวและกำชับให้ผู้ร่วมชุมนุม ระวังผู้ชายที่มีรูปในหลวงในมือ คือ คนที่แปลกปลอมเข้ามาหาเรื่องหาราว โดยขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมเฝ้าระวังด้วย
นายสนธิ กล่าวว่า ต้องการเรียกร้องให้ตำรวจที่ออกคำสั่งให้เข้าจัดการกับพันธมิตรมาชี้แจงให้ได้ โดยให้จัดการตำรวจที่ตีประชาชนทันที รวมทั้งตำรวจที่เอาปืนจ่อหัวประชาชน โดยขอความชัดเจนก่อนเวลา 19.00 น. ไม่เช่นนั้นต้องมีเรื่องกันแน่ และประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่นอกทำเนียบ โดยเฉพาะส่วนที่อยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า โดยนายศิริชัย ไม้งาม จะเป็นคนนำเดิน ไปปิดล้อมสนามม้านางเลิ้ง เพื่อกดดันตำรวจที่ประจำการอยู่ให้ออกไป จากนั้นจะจัดกำลังไปกดดันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อถามความชัดเจนในเรื่องที่เกิดขึ้น
"นี่เป็นสงครามครั้งสุดท้าย อีกไม่กี่ชั่วโมงทุกอย่างจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่เราช่วยกันสร้างอีกไม่กี่ชั่วโมงจะจบแล้ว แต่จะจบอย่างไรใจเราก็ชนะ" นายสนธิ กล่าว
และหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 2,000 คน ได้เคลื่อนไปยังบช.น.เพื่อกดดันให้ตำรวจส่งตัว พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว รอง ผบช.น.ว่าที่ ผบช.น.ลงมาเจรจา ว่า เป็นผู้สั่งการให้ตำรวจใช้กำลังกับประชาชนหรือไม่ สุดท้ายแล้ว ทางตำรวจได้ใช้ยิ่งแก๊สน้ำตาลสกัดผู้ชุมนุมหน้าบช.น.
ตำรวจฉวยโอกาสฉกทรัพย์-ทำลาย
นายวัชระ เพชรทอง อดีตบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์แนวหน้า กล่าวปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บริเวณทำเนียบรัฐบาล ว่า ตนเองได้ไปที่บริเวณหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ในช่วงหัวค่ำกับประชาชน เพียงเพื่อไปท้วงคืนโทรศัพท์มือถือ และทรัพย์สินที่ตำรวจปล้นไปจากประชาชนในการเข้ายึดพื้นที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงเที่ยง รวมถึงการปล่อยตัวประชาชนที่บริสุทธิ์ออกมาด้วย
ซึ่งเหตุการณ์ขณะนั้น เริ่มต้นจากการมีเสียงปืนสั้นดังขึ้นมาใน บช.น.2 นัด และหลังจากนั้นตำรวจได้มีการระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนนับสิบลูก โดยการไปชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ได้มีความประสงค์จะบุกเข้าไปแต่อย่างใด แต่เมื่อขยับตัวเข้าไปที่ประตูรั้วเหล็กด้านหน้า ก็ปรากฏมีเสียงปืนสั้นดังขึ้น 2 นัด ในนาทีนั้นเอง แก๊สน้ำตาหลายสิบลูกระดมยิงมาอย่างต่อเนื่อง
“หลังจากที่เขายิงออกมา ประชาชนก็กระจัดกระจาย ผมจึงกลับมาบอกข่าวสารที่นี่ ให้ประชาชนทั่วประเทศทราบว่า ตำรวจเป็นฝ่ายใช้กำลังกับประชาชนก่อน โดยที่เราไม่ได้ล้ำเข้าไปในเขต บช.น.แต่อย่างใด มีเจ้าหน้าที่โทรทัศน์ทุกช่อง ได้ถ่ายภาพในเหตุการณ์ไว้โดยละเอียด และเราจะนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลต่อไป ว่า ประชาชนที่ไม่มีอาวุธกลับถูกตำรวจทำร้าย” นายวัชระ กล่าว
นายวัชระ กล่าวอีกว่า ที่น่าเสียใจ คือ การกล่าวหาของตำรวจ ในการยึดถังปัสสวะไปสี่ถัง และปล่อยให้ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ไปออกอากาศตลอดเวลา ว่า เป็นสารเสพติดสี่คูณร้อย ที่เหมือนกับโจรใต้ใช้ ซึ่งถ้าเราชนะในครั้งนี้ เราจะให้ พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว ชิมเป็นคนแรก โดยผู้ที่สั่งยิงแก๊สน้ำตาในครั้งนี้ ก็คือ นายตำรวจท่านนี้ และไม่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ที่อยู่ภายใน บช.น.แต่อย่างใด ซึ่งต่อไปนี้เราจะต้องร้องเรียนให้ปลดคนๆ นี้ออกจากราชการให้ได้จากการที่เขาทำร้ายประชาชน
“นายตำรวจผู้นี้ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบุกในตอนเช้า และเป็นเพื่อนรวมรุ่นกับทักษิณ ซึ่งทั้งสองคนนี้มีความโหดร้ายเหมือนกัน” นายวัชระ กล่าว
สำหรับการที่ผมกลับมาก่อนนั้น เพื่อต้องการนำความจริงมาเปิดเผยกับประชาชน ว่า เป็นอย่างไร และอยากขอความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่หน้า บช.น.ด้วย โดยการใส่ร้ายประชาชนในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องอาวุธในทำเนียบ เป็นสถานการณ์เดียวกันกับช่วง 6 ตุลา เป็นอย่างมาก โดยอยากให้ประชาชนทุกคนที่รู้เรื่องนี้ ถ้ายังมีจิตใจของประชาชนอยากให้มาร่วมกันที่นี่ เพราะประเทศชาติต้องการทุกคนในคืนนี้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้รายงานเพิ่มเติมเข้ามา ว่า การไปหน้า บช.น.ของประชาชนในครั้งนี้ เนื่องจากมีทรัพย์สินของผู้ชุมนุมบางส่วนหายไประหว่างการเข้ายึดพื้นที่ของตำรวจในเที่ยงของวันนี้ อาทิเช่น โทรศัพท์ 8 เครื่อง รถมอเตอร์ไซค์ 1 คัน เงินบริจาคของแต่ละซุ้ม แต่ระหว่างที่มีการเคลื่อนขบวนและปักหลักเผชิญหน้าบริเวณ บช.น.ก็มีการยิงแก๊สน้ำตา ประมาณ 10 กว่าลูก และได้ยินเสียงปีนหลายนัด ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน ถูกลูกกระสุนยางและแก๊สน้ำตาหลายราย
อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของตำรวจ ว่า ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเป็นความชอบธรรมที่จะมาทวงของที่หายไป แต่กลับใช้ความรุนแรง
เชื่อ"สมัคร"ไม่รอด
ด้านนายพิภพ ธงไชย กล่าว่า นายสมัครเป็นผู้เก๋าเกมทางการเมือง ดังนั้น ถ้าเก่าการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง คือ ลาออกไป และนำกฏหมายมาแก้ปัญหาเพราะใช้กับเราไม่ได้ ยิ่งการตั้งข้อหาเราเป็นกบฎ เรายิ่งไม่ยอม ซึ่งเรื่องนี้ขอให้นักวิชาการเข้าใจประเด็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องทางกฏหมาย ซึ่งรัฐบาลทำผิดทางการเมืองและเราก็ไม่ได้ทำผิดกฏหมาย ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลช่วยกันกดดันให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนลาออกไป
นอกจากนี้ นายพิภพยังระบุด้วยว่าขอให้ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจที่เห้นด้วยกับเรามี 2 ทางคือ มาร่วมชุมนุมกับเราหรือไม่ก็ประกาศนัดกันหยุดงาน ซึ่งหากหยุดงานตนเชื่อว่า นายสมัครลาออกแน่
“ปฐมพงษ์”จวกตร.ปืนจ่อหัว ปชช.
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานที่ปรึกษากองบัญชาการทหารสูงสุด ให้สัมภาษภายหลังที่เดินทางไปที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บชน.)ว่าตนเดินทางมาที่นี่ เพราะ นางรสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เป็นผู้ชวนมา แต่เมื่อ ส.ว. 20 กว่าคนมาถึง ก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาพูดคุยด้วย ในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ถือว่าได้ออกมาทำหน้าที่แล้ว ว่า อย่าทำรุนแรงกับประชาชน
พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า กรณีของกัมพูชาในเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เรายังมีขั้นตอนในการเจจา ไม่มีการใช้ความรุนแรง แต่นี่คนไทยถ้าใช้ความรุนแรงจนรับไม่ได้ ไม่อยากให้คิด ว่า ยอมไม่ได้หรือเสียหน้า และถ้าหากประชาชนมาเยอะ แล้วไปปิดกั้น ความรุนแรงจะเกิดทุกหย่อมหญ้า ไม่อายคนต่างชาติที่มาทำข่าวบ้างหรือ ภาพตำรวจที่เอาปืนจ่อหัว ตามที่ ส.ว. นำมาให้ดูนั้นคิดว่ามันรุนแรงไป ผู้มีอำนาจอยากให้คิดว่า อำนาจมีไว้เพื่อความสงบสุข เพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อบีบคั้นจิตใจ
"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงให้ข้อจำกัดของข้อกฎหมายในวันระพีไว้ ดังนั้น คงต้องให้คณะของ ส.ว. พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่ายบริหารให้จบ จากนั้นคงเกิดความชัดเจนและประชาชนก็จะตัดสินใจทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามครรลอง คนไหนที่มีอำนาจจะทำอะไรลงไปต้องคำนึงว่า อย่าคิดว่าวันนี้แตกสลายก็ได้ เหตุการณ์ 14 ต.ค. หรือ 6 ต.ค. เข้าป่าไปแล้วก็ออกมาคุยกัน แต่วันนี้ไม่มีป่าให้เข้าแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น การรบกันด้วยใจที่เวียดนาม ทหารสหรัฐ ฯ ก็ยังแพ้ อย่าดูถูกใจคนที่มา เพราะหายนะจะเกิดกับบ้านเมือง เพราะประชาชนเกิดความคับแค้น ไม่ฟังกันทุกอย่างจะวุ่นวาย" พล.อ.ปฐมพงษ์กล่าว
"สุริยะใส"อัดรัฐบาลใช้NBTทำสงครามสื่อ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ได้เปิดแถลงข่าว โดยนำเอกสารของกรมประชาสัมพันธ์ ที่ลงนามโดยนาง พิไลศิริ ทองพรม ผู้อำนวยการ สขน.ป. ผอ. สวท. เป็นบันทึกข้อความด่วนสุด หนังสือเลขที่ / นร.020702 เรื่องการรับสัญญาณรายการจากสถานีโทรทัศน์ เอ็นบีที โดยในหนังสือระบุว่า ผอ. ศวท. ได้โทรศัพท์คำสั่ง ลงวันที่ 29 ส.ค. ให้ ผช.สวท. 105 เม็กกะเฮอร์ท ได้ทำการปรับผังรายการปกติของสถานีความถี่ 97 เม็กกะเฮอร์ท และ 105 เม็กกะเฮร์อท ยกเว้นข่าวภาคหลักและข่าวต้นชั่วโมง และให้รับสัญญาณรายการจากรายการของสถานี เอ็นบีที เพื่อเป็นการสนับสนุนงานของรัฐบาล และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยให้เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00น ในวันนี้เป็นต้นไป ซึ่งนายสุริยะใส ได้ตั้งข้อสังเกตในเรื่องนี้ว่า เป็นคำสั่งที่ต้องการทำสงครามข่าวสารหรือไม่
นายสุริยะใส กล่าวว่า จากกรณีที่ เจ้าหน้าที่บังคับคดีได้นำหมายศาลมาติด แต่เจ้าหน้าที่กลับอ้างคำสั่งศาลและนำเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 กองร้อย มาสลายผู้ชุมนุมที่ถนนมัฆวาน แต่ทางพันธมิตร สามารถพลิกเกมได้ โดยทางเรายืนยันว่า จะใช้ พื้นที่ที่สะพานมัฆวาน เป็นที่รับรองมวลชน ที่จะมาสบทบ ดังนั้นช่วงดึกของวันนี้เรายังไม่ไว้วางใจ ดังนั้นการต่อสู้จะดำเนินการวันต่อวัน
ทั้งนี้จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ เราไม่ต้องการต่อสู้กับตำรวจ แต่ทางรัฐบาลกลับใช้ตำรวจเป็นเครื่องมือเผชิญหน้ากับทางพันธมิตร ขณะเดียวกัน ทางพันธมิตร ได้ทำการเก็บหลักฐาน เป็นบัตรประจำตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลายนาย โดยเฉพาะในระดับสารวัตร ภาพถ่ายที่มีคราบเลือดของประชาชน โดยสถานการณ์ในวันนี้เราต้องจับตาผู้ฉวยโอกาสและมือที่สาม
นายสุริยะใส กล่าวอีกว่า ตนเองยังได้รับรายงานมาเช่นกันว่า ทหารอาจเข้ามาสลายการชุมนุมแทนตำรวจเช่นกัน ส่วนในเรื่องที่ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เสนอ ให้มีการเจรจากันนั้น ตนเองเห็นว่าขณะนี้ได้เลยขั้นตอนนั้นไปแล้วและเชื่อว่า จุดจบจะมากกว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน ดังนั้นสถานการณ์ในขณะนี้ไม่เชื่อว่าจะประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน
นายสุริยะใส ระบุอีกว่า ขณะนี้ได้หารือกับแกนนำรัฐวิสาหกิจว่า จะมีมาตรการเพิ่มขึ้นอีกมาก ดังนั้น ตำรวจต้องเข้าใจในเรื่องของอารยะขัดขืน และทางพันธมิตรฯจะต้องอธิบาย เรายังประเมินว่า ทหารคงไม่ยอมให้รัฐบาลใช้กำลัง เนื่องจากเห็นได้จากโผทหารที่มีข่าวว่า กองทัพไม่พอใจ นอกจากนี้ ยังระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ ทางพันธมิตรฯจะยื่นขออุทณ์ ข้อหากบฎเรารับไม่ได้
รื้อถอนต้องอาศัยคำสั่งศาล
นายประพันธ์ คูณมี หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก 5 แกนนำพันธมิตรฯ ให้มาชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องคดี และการออกหมายจับของพนักงานตำรวจกับแกนนำ 9 คนว่า ในความจริงแล้วกรณีคดีแพ่งศาลแพ่งมีอำนาจพิพากษาคดีเฉพาะกรณีข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชนเท่านั้น เช่น เรื่องการเช่าบ้าน เช่าซื้อ เช่าทรัพย์ คดีที่ดิน คดีมรดก แต่กรณีเป็นคดีทางการเมือง เป็นการชุมนุมทางการเมือง ไม่ใช่ข้อพิพาทระหว่างเอกชนด้วยกันเอง แต่เป็นข้อพิพาทต่อสู้ในทางการเมืองระหว่างประชาชนผู้ชุมนุมที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล เมื่อศาลแพ่งรับคดีพิจารณาแล้วจะมีอำนาจพิจารณาคดีก้าวล่วงมากระทั่งสั่งห้ามให้ผู้ชุมนุม ชุมนุมตรงนั้นตรงนี้ให้ออกไปได้หรือไม่ จึงเป็นปัญหาศาลแพ่งใช้กฎหมายนี้มาบังคับ โดยอยู่ในอำนาจของศาลแพ่งหรือไม่ ขัดหรือแย้งต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 6 หรือไม่ ที่ระบุว่าบทกฎหมายใดจะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญไม่ได้
ฉะนั้นกรณีเช่นนี้ผู้ถูกฟ้องสามารถที่จะยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลได้ คัดค้านและอุทธรณ์ได้ เมื่อศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวให้ 6 แกนนำรื้อถอนขนย้าย ยังมีปัญหาว่าคำสั่งนั้นชอบหรือไม่ และการที่กรมบังคับคดีหรือตำรวจจะมารื้อถอนจะใช้อำนาจเข้ามาทำการรื้อถอนทำไม่ได้ในข้อกฎหมาย ต้องทำโดยอาศัยอำนาจคำสั่งศาล ซึ่งได้อุทธรณ์แล้ว และส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอยู่
"การบุกจู่โจมรื้อขนยายประชาชนเลยนั้นถือเป็นการกระทำผิด ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเมิดทรัพย์สินทำให้ประชาชนเกิดความเสียหาย จะกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายเสียเอง นอกจากจะประกาศภาวะฉุกเฉินสลายการชุมนุม ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดี "
"หมัก"โกหกหลอกหลวง
สำหรับความเคลื่อนไหวของนายสมัคร สุนทรเวช ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเวลา 14.00 น. ได้เดินทางไปประชุมที่สภากลาโหม ที่กระทรวงกลาโหม หลังการประชุม นายสมัคร ได้กล่าวว่า ทางรัฐบาลยังคงจัดงานสำคัญ 116 วัน โดยจะนัดผู้คนไว้ทั่วประเทศมาร่วมกันทำงาต่อไป บ้านเมืองจะมีความยุ่งยาก มีคนไม่เห็นด้วยก็ต้องพูดจากันไป
"พอรัฐบาลถอยกลับออกมา ก็บอกว่ารัฐบาลอะไรไม่เข้มแข็ง ไม่จัดการให้เรียบร้อย ตนบอกว่า ได้รับปากผู้คนทั้งบ้านทั้งเมืองไว้ว่า จะพยามทำให้นุ่มนวล ไม่ให้กระทบกระทั่ง ก็อดกลั้นจนถึงป่านนี้ และถ้ามีอะไรก็ไปพูดเจรจากันต้องรักษาบรรยากาศบ้านเมืองเอาไว้ เพราะพรุ่งนี้จะมีงานสำคัญถวายเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน " นายสมัคร กล่าว ทั้งๆที่ในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากได้เคลื่อนเข้าสลายผู้ชุมนุมที่ทำเนียบฯ
นอกจากนี้ นายสมัคร ได้กล่าวอ้างอีกว่า " ขอบารมีเจ้าฟ้าแผ่นดินมา เพื่อจะทำให้สมัครสมานสามัคคี"
เท่านั้นยังไม่พอ นายสมัครตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่า หลังจากพรุ่งนี้แล้วมีแนวคิดอย่างไร นายกฯกล่าวว่า ตนต้องตัดสินใจดำเนินการ ต้องรักษาบ้านเมืองนี้ไว้ ถ้ามันเหนือบ่าไปกว่านี้ตนก็ต้องจัดการ ตนจะดูสิว่า ความรัก ความผูกพัน ระหว่างเรากับสถาบันพระมหากษัตรย์ในวันพรุ่งนี้ สมเด็จพระบรมโอสาธิราชฯ จะเป็นสะพานมาทอด เอาธงมาพระราชทาน
"ตนขอพึ่งพระบารมีพระองค์ท่าน กราบบังคมทูล ฯใครก็ได้ยิน รับสั่งว่า “ขอให้สำเร็จ” ตนก็หวังใจว่า ยังไม่ทันไร จะล้มกันเสียแล้ว แต่ตนยังไม่ จะอดกลั้นให้ถึงพรุ่งนี้ พรุ่งนี้มาถึงแล้ว ท่านทั้งหลายจะช่วยตนก็ช่วยเอาข่าวนี้ออกไป โทรทัศน์ช่วยเอาข่าว เอาเสียงตนออก ไม่อยากใช้คำว่า สุดจะอดกลั้น แต่ใครเป็นตนลองนึกดูสิว่า ตอนนี้บ้านเมืองเสียหาย ฟาดฟันจนคนเก่าออกไปแล้ว ทำไมมาเอาตนอีก ตนรักษาบ้านเมืองทำให้บ้านเมืองคงอยู่ ตนไม่ใช่คนร้าย ตรวจสอบได้ "นายกฯกล่าวอ้าง
และเมื่อถามว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่เสนออะไรหรือ นายสมัคร กล่าวว่า "เขาเสนอ แต่ตนถือไว้ในมือ ถ้าตนทำตามสิ่งที่เขาเสนอ ก็คงจะต้องยกเลิกงาน116 วัน "
จากนั้นนายสมัคร ขึ้นไปเซ็นเอกสารเป็นเวลานาน 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วนั่งรถออกไป
นายกฯ มีเวลาแวะเที่ยวสถานกงศุล
ซึ่งก่อนหน้านี้ ในเวลา 09.00 น.นายกรัฐมนตรี ไปประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยมีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม และพล.ต.อ. ทวี สอดส่อง อธิบดีฯดีเอสไอ ยืนคอยต้อนรับ โดยหลังเสร็จสิ้นการประชุม ได้แวะรับประทานอาหารและเที่ยวที่สถานกงศุล ถนนแจ้งวัฒนะ โดยสั่งให้เจ้าหน้าที่สกัดกั้นรถผู้สื่อข่าวไม่ให้ติดตามขบวน โดยนายกรัฐมนตรีได้เปลี่ยนนั่งรถเบนซ์ สี่ประตู สีทอง หลังจากที่ช่วงเช้านายกรัฐมนตรี นั่งรถโตโยต้า อัลพารด สีดำ
ตนประชุมดีเอสไอเมื่อเช้า และมาประชุมสภากลาโหมในตอนบ่าย เสร็จเรียบร้อยแล้วมีหนังสือตั้งสูงให้ตนเซ็น ก็เซ็นหนังสือเสียก่อนระหว่างนั้นก็มีข้อมูลที่ส่งเข้ามา ตนอยากจะบอกพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่า บ้านเมืองของเรามันโชคไม่ดี มาจนถึงป่านนี้ ตนก็พยายามที่จะทำอะไรที่ไม่รุนแรง ไม่ให้กระทบกระทั่ง ตำรวจก็เข้ามาช่วยดำเนินการ เมื่อเช้านี้ตำรวจดำเนินการตามคำสั่งศาล ช่วยศาลดำเนินการ ศาลสั่งอะไรก็ดำเนินการตามนั้นเข้าไปจนกระทั่งจะจบ เมื่อเช้าจะเอาให้จบก็ได้ แต่ก็กลัวว่า ถ้าเดินหน้าไปอีกหน่อยจะเกิดการปะทะกัน เลือดตกยางออกก็เลยบอกว่า ให้ถอยออกมาก็แล้วกัน ถ้ายังจะพูดจากันได้ก็พูดจากัน
“หมัก-ยี้ห้อย”โคลนนิงเผด็จการ
ในช่วงรายการ "รู้ทันประเทศไทย" ดำเนินรายการโดย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ได้เชิญอดีตผู้ต้องกบฎในสมัยเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จำนวน 2 คน คือ นายธัญญา ชุรญดาธาร และ นายไชยวัฒน์ แก้วก่า โดยทั้งสองคนได้เล่าเหตุการณ์ในอดีตให้ฟัง
นายธัญญา เล่าย้อนเหตุการณ์ในอดีตให้ฟังรัฐบาลเผด็จการจอมพลถนอม กิตติขจร ที่มีการทุจริตคอร์รัปชัน และในครั้งนั้นพวกตนได้ถูกตั้งข้อกบฏจำนวน 13 คน และถูกเรียกว่าเป็นกบฏรัฐธรรมนูญและติดคุกอยู่จำนวน 7 วัน จากนั้นไม่กี่วันรัฐบาลเผด็จการก็อยู่ไม่ได้ต้องหนีออกนอกประเทศหลังจากถูกนักศึกษาและประชาชนยื่นคำขาดให้ลาออกภายใน 24 ชั่วโมง
ด้าน นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า รัฐบาลเผด็จการก็จะอยู่ไม่ได้ และรัฐบาลเผด็จการชุดนี้ ก็จะอยู่ไม่ได้ ซ้ำรอยรัฐบาลในอดีต และในอดีตจนถึงปัจจุบันก็มีช่อง 11 ที่บิดเบือนปลุกระดมเช่นเดิม แต่ในที่สุดฝ่ายธรรมมะก็ย่อมชนะอธรรม พร้อมทั้งระบุว่า คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายเนวิน ชิดชอบ
นายธัญญา กล่าวว่า การที่ถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏ ไม่ว่ายุคใดไม่มีทางที่จะสกัดกั้นการต่อสู้ของประชาชนได้ และประชาชนจะไม่เชื่อตามข้อหล่าวหาของฝ่ายรัฐบาล การที่รัฐบาลตั้งข้อหา 9 แกนนำพันธมิตรฯเป็นกบฏเช่นเดียวกัน เพราะประชาชนเชื่อว่าเป็นคนดี และในที่สุดรัฐบาลนั่นแหละจะอยู่ไม่ได้แน่นอน
สัญญาณบ่งบอก"ตำรวจ"เข้าสลาย พธม.
การเข้าเคลียร์พื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในช่วงเช้าของวานนี้(29 ส.ค.)นั้น เริ่มมีเคล้ามาตั้งแต่ช่วงเวลา 02.00 น.ของวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นวันที่เจ้าพนักงานกรมบังคับคดี จะนำคำสั่งศาลมาติดปิดประกาศในบริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล
ซึ่งในฟากพันธมิตรฯเห็นสัญญาณชัดเจนที่ทางรัฐบาลจะสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯโดยอาศัยจังหวะการเข้ามาติดปิดประกาศคำสั่งศาล
โดยช่วงเวลา 02.20 น. นายสำราญ รอดเพชร ว่าที่แกนนำรุ่น 2 ของพันธมิตรฯได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่ออ่านจดหมายจาก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่เขียนมาบอกผู้ชุมนุมว่า มีพันธมิตรที่มาร่วมชุมนุมกับเราเป็นประจำได้มาพบตน และแจ้งให้ทราบว่าญาติเป็นตำรวจยืนยันว่าช่วงที่เราหลายคนกลับไปอาบน้ำ กลับไปพัก คนน้อยลง ระหว่างเวลาประมาณ ตี 5 ถึง 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นจังหวะเหมาะที่รัฐบาลจะเข้าสลายการชุมนุม โดยมีกำลังตำรวจประมาณ 7,000 คน เข้าเคลียร์พื้นที่
การ์ด พธม.แจ้งตำรวจพบ"อาวุธสงคราม"
สัญญาณที่เป็นสัญญาณอันตรายอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจจะทำให้รัฐบาลใช้เป็นข้ออ้างได้ ก็เมื่อในเวลา 05.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ อายุ 55 ปี ตัวแทนกองทัพธรรม และนายกิตติชัย ใสสะอาด อายุ 45 ปี หัวหน้าการ์ดพันธมิตรฯ ซึ่งรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริเวณประตู 4 ของทำเนียบฯ ได้รีบเดินทางเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ต.เอกพล ทวิวงศ์ชัยกุล พงส.(สบ.2) สน.ดุสิต หลังพบอาวุธสงครามและเครื่องกระสุนจำนวนมาก ภายในชั้น 2 ของอาคารฝ่ายปฏิบัติการ รปภ.ด้านประตู 4 ถนนพิษณุโลก ภายในทำเนียบฯ
ร.ต.แซมดิน กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ให้เข้าแจ้งความภายหลังจากพบอาวุธสงคราม เนื่องจากเมื่อเวลา 03.00 น. ขณะที่การ์ดพันธมิตรฯ กำลังสำรวจความปลอดภัย และตรวจสอบความเรียบร้อยภายในทำเนียบฯ เมื่อมาถึงอาคารดังกล่าว พบตำรวจจำนวน 38 คน แต่งกายสวมเสื้อสีเหลือง ยังอยู่ในอาคาร โดยอ้างกับฝ่ายอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยว่า เป็นตำรวจสันติบาล ไม่มีอาวุธ เป็นเพียงเจ้าหน้าที่รักษาอาคาร แต่ทางพันธมิตรฯยืนยันว่า ต้องออกไป จึงเจรจาขอให้ออกจากอาคาร จากนั้นตรวจสันติบาลจึงยินยอมออกจากอาคาร โดยตำรวจสันติบาลขอให้ทางอาสาสมัครของพันธมิตรฯนำส่งพ้นนอกพื้นที่ และแจ้งให้พันธมิตรฯ เข้าตรวจสอบบริเวณด้านในของอาคารได้
"จากการตรวจสอบที่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร พบอาวุธปืนสงคราม และกระสุนปืนจำนวนมาก ประกอบด้วยปืนเอ็ม 16 จำนวน 17 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 3 ลัง จำนวนลังละ 2,000 นัด รวม 6,000 นัด และยังพบปืนเอชเค 33 จำนวน 13 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน จำนวน 440 นัด กระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 2 กล่องใหญ่ รวม 2,350 นัด และไฟฉาย จำนวน 13 กระบอก ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นปืนที่มีทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ร.ต.แซมดิน กล่าว และว่า การเข้าแจ้งความครั้งนี้ เพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า อาวุธที่พบไม่ได้เป็นของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยต้องการให้ตำรวจ สน.ดุสิต เข้าตรวจสอบ และยึดปืน รวมทั้งเครื่องกระสุนทั้งหมดไว้ อีกทั้งยังได้ประสานตำรวจสันติบาลเข้าตรวจสอบ และนำหลักฐานมาแสดงว่าเป็นของตำรวจสันติบาลจริงหรือไม่
จนกระทั่ง เมื่อเวลา 07.00 น. หลังจากที่ ร.ต.แซมดิน และนายกิตติชัย ได้ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันแล้ว ได้นำผู้สื่อข่าวขึ้นไปดูอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืน ในสำนักงานของกองรักษาการฯ ขณะเดียวกันได้นัดหมายกับผู้กำกับ สน.ดุสิต ให้มาตรวจสอบหลักฐาน แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายใดเดินทางมาตรวจสอบตามที่นัดหมายไว้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับบริเวณชั้น 2 ของอาคารดังกล่าวเป็นสำนักงานของตำรวจสันติบาล ซึ่งสังกัดกองกำกับการ 4 กองบัญชาการตำรวจสันติบาล 3 กองรักษาการตำรวจทำเนียบรัฐบาล โดยอาวุธปืนและกระสุนจำนวนมากดังกล่าว กองอยู่ที่พื้นห้องสุดปลายทางเดิน และจากกรณีที่พบอาวุธสงครามจำนวนมาก ทำให้พันธมิตรฯ มีความจำเป็นที่จำต้องตรวจสอบภายในของทุกอาคารในทำเนียบฯ เนื่องจากเกรงว่าจะมีผู้ไม่หวังดี ลอบนำอาวุธไปหลบซ่อนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือจัดการกับกลุ่มพันธมิตรฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากที่พันธมิตรฯ ได้ไปแจ้งความ แต่กลับไม่ปรากฏมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบอาวุธแต่อย่างใด โดยห้องที่มีอาวุธดังกล่าว มีบอร์ดระบุชื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคือ พ.ต.ท.อดินาท อิศรางกูร ณ อยุธยา
นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่เวรที่ขึ้นบอร์ด คือ ส.ต.อ.มนูญ เขียวมา ผช.ผบ.กองรักษาการฯ ส.ต.อ.อำนวย สุขเสน สิบเวร และ ส.ต.อ.สัญญา รักขพันธ์ นายยาม ส.ต.ท.จักรรินทร์ ไทธะนี เจ้าหน้าที่พัสดุ
ลิ่วล้อ"แม้ว"ขอระงับแพร่ภาพ ASTV
นายศักดา นพสิทธิ์ อ้างว่าเป็นนักกฎหมายภาคตะวันออก ใช้ชื่อ กลุ่มยุติธรรมไทย ได้เดินทางไปยังศาลปกครอง แจ้งวัฒนะ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลปกครองสูงสุด ยุติการออกอากาศของสถานีเอเอสทีวี เนื่องจากว่า หลังจากที่ศาลได้อนุมัติหมายจับแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คน ได้กระทำผิด ตามมาตรา 113,114,215 และ 216 ในข้อหากบฏ อันเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามคำฟ้องของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ได้ระบุว่า ผู้ต้องทั้ง 9 คน ได้ร่วมกับพวกกระทำการระดมประชาชน ผ่านสื่อเอเอสทีวี โจมตีรัฐบาล และบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ประชาชน ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงมาร่วมชุมนุมกับผู้ต้องหาทั้ง 9 ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.51 จนเกิดการกระทำที่ไม่เคารพต่อกฎหมายบ้านเมือง มีการบุกรุกสถานที่ราชการหลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และได้บังคับพนักงานหยุดปฏิบัติหน้าที่ การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตรฯได้ใช้สถานีเอเอสทีวี ออกอากาศให้ประชาชนทั่วประเทศขัดขืนคำสั่งของศาลอาญา เรื่องการจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้ง 9 คน และคำสั่งของศาลแพ่ง ที่ให้ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ออกจากทำเนียบรัฐบาลโดยทันที จึงเห็นชัดว่า ขณะนี้สถานีเอเอสทีวีคือเครื่องมือของกลุ่มพันธมิตร ที่ใช้ต่อต้านอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประเทศ ถือได้ว่าเป็นการประทำที่ชั่วร้าย เป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง หากไม่แก้ไขประเทศไทย และสังคมไทยก็อาจจะวิบัติได้
อย่างไรก็ตาม ในหนังสือดังกล่าว ยังระบุอีกว่า บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่าการที่ศาลปกครองได้ให้การคุ้มครองชั่วคราว กับสถานีเอเอสทีวี ให้สามารถออกอากาศได้ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความแตกแยก และมีทัศนคติที่เกลียดชังกัน จนนำไปสู่การไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมือง หากปล่อยปละละเลยโดยอ้างข้อจำกัด และกฎหมายที่เกี่ยวข้องยังไม่แล้วเสร็จ ก็จะทำให้ผู้คนเข้าใจเป็นอื่นไม่ได้ว่า ท่านและคณะ เป็นส่วนสำคัญของปัญหา
ดังนั้น พวกข้าพเจ้าจึงใคร่ขอท่าน และคณะได้ใช้อำนาจหน้าที่พิจารณาให้สถานี เอเอสทีวีหยุดออกอากาศ โดยทันที เพื่อเป็นการรักษาประเทศไทย ให้สามารถอยู่รอดปลอดภัย และดำรงอยู่ได้อย่างสง่างาม อีกทั้งท่านก็จะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงที่ว่า มีความเป็นห่วงต่อบ้านเมือง
ทั้งนี้ ยังหวังว่าสถาบันศาลปกครองจะเป็นเครื่องมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย และความยุติธรรมของประเทศ มิใช่เป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่ผู้คนหลายฝ่ายได้เข้าใจอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการฟ้องให้เอเอสทีวี หยุดอออกอากาศนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด หลังจากที่ศาลปกครองกลาง ได้มีคำสั่งว่า เอเอสทีวี สามารถเผยแพร่ภาพได้ ทำให้สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์ ต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งก็อยู่ระหว่างการพิจารณา
พรรคร่วมเสนอขอเปิดประชุม 2 สภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลไปประชุมกันที่ บ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย เพื่อหาทางแก้วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ โดยพรรคร่วมเห็นพ้องว่า จะเสนอให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร์ เปิดประชุม 2 สภา ในวันอาทิตย์ที่ 31 ส.ค.นี้ เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาวิกฤตการเมืองในครั้งนี้
"เลี้ยบ-ห้อย"เผ่นซบแทบเท้านายใหญ่
ภายหลังพันธมิตรฯ ได้กดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปได้หมดแล้ว พบว่า ตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมา ได้มีกระแสข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.คลัง และ นายเนวิน ชิดชอบ หนึ่งใน 111 ซากศพไทยรักไทย ได้พาครอบครัวบินไปประเทศอังกฤษแล้ว
ล่าสุด มีรายงานข่าวยืนยันว่า เที่ยวบินของสายการบินไทย TG910 กรุงเทพฯ-ลอนดอน ซึ่งจะออกจากกรุงเทพฯในเวลาประมาณ 01.10 น.ปรากฏว่า มีชื่อของ นายเนวิน และ นางกรุณา ชิดชอบ พร้อมด้วยบุตรทั้งสอง อยู่ในรายชื่อผู้โดยสารด้วย
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า นพ.สุรพงษ์ และ นายเนวิน นั้น ได้แสดงตัวอย่างชัดเจนว่า เป็นลูกน้องคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด โดย นพ.สุรพงษ์ เป็นรัฐมนตรีกำกับดูแลกระทรวงการคลัง ซึ่งมีกรมสรรพากรอยู่ในกำกับดูแล และที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้พยายามจะร้องขอถอนอายัดทรัพย์สินให้ลูกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่ นายเนวิน มักจะมีชื่อพัวพันกับเหตุการณ์ทำร้ายพันธมิตรฯ หลายครั้ง