ผู้จัดการรายวัน –กลุ่มลูกโยธินย้ำจุดยืนค้านสร้างรัฐสภาใหม่ ชี้ไม่ควรรีบร้อน ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 เรียกร้องให้ทำประชาพิจารณ์ ฟังความเห็นรอบด้าน ประกาศเตรียมรวบรวมข้อมูลอย่างรอบคอบเตรียมฟ้องศาลปกครองให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ขณะที่สมาคมศิษย์เก่าฯ ตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจศึกษาข้อดี-ข้อเสีย ก่อนหาข้อสรุป ขณะที่ “หมักเผด็จการ” ปิดตายต่อมรับความคิดเห็น บ่นมันอะไรกันนักกันหนา
วานนี้(24 ส.ค.) ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ ได้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของสมาคมศิษย์เก่าโยธินบูรณะ มีการประชุมสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ เรื่องการย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะเพื่อใช้พื้นที่สร้างรัฐสภาใหม่ โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้นลง นายพรพัฒน์ รังษิโย ที่ปรึกษาสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ เปิดเผยว่า ในการประชุมยังไม่มีข้อสรุปว่าจะคัดค้านหรือสนับสนุนการ้างรัฐสภาแห่งใหม่แต่ในเบื้องต้นจะมีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ 1 ชุด เพื่อทำการศึกษาหาข้อดี ข้อเสีย โดยยังไม่มีกำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอน ทั้งนี้ เพื่อให้การศึกษาข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้องและรอบด้าน จากนั้นจึงจะนัดประชุมและหาข้อสรุปในการเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
ด้าน น.ส.นาถวนิต รวมทรัพย์ แกนนำกลุ่มลูกโยธิน ศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ กล่าวว่า ตนได้ยื่นแถลงการณ์ลูกโยธิน ฉบับที่1/2551 โดยยืนยันคัดค้านการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งเนื้อหาของแถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรรีบร้อนสร้างรัฐสภาใหม่ในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเกียกกายที่มีปัญหาการจราจรมากอยู่แล้ว การสร้างรัฐสภาแห่งใหม่นอกจากจะส่งผลต่อโรงเรียนโยธินบูรณะแล้วยังกระทบกับชุมชนโดยรอบจึงเรียกร้องให้รัฐบาลทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย
นอกจากนี้ในแถลงการณ์ดังกล่าว ยังได้ยกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม 2551 เรื่องการใช้เงินว่า “ขอให้บริหารเงินไม่ให้หมดประเทศไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้วซึ่งอาจเพราะใช้เงินไม่ระวัง” ลูกโยธินเห็นว่า รัฐบาลควรปฏิบัติตามพระราชดำรัสเพราะโครงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่นั้น เป็นการใช้งบของประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ของคนเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการไม่สมควรในสภาพเศรษฐกิจเยี่ยงนี้
น.ส.นาถวนิต กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ของรัฐบาล จากทุกด้านเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนสำหรับร้องเรียนต่อศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วแต่ยังไม่รีบร้อน ต้องค่อยเป็นค่อยไป
“ตราบใดที่เรายังพอมีช่องทางของกฎหมายอยู่ เราก็จะสู้เต็มที่และจะยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแน่นอน แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นวันไหน ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อน สำหรับการมาให้กำลังใจของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 25 ส.ค.นี้ก็ขอขอบคุณและเห็นด้วยว่าไม่ต้องมามากจะได้ไม่รบกวนการเรียนและจะได้เก็บแรงไว้ต่อสู้ในวันอังคารที่ 26 ส.ค. ซึ่งจะมีกิจกรรมเป่านกหวีด สำหรับเรื่องการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ลูกโยธิน จะทำทุกวิธีทางเพื่อคัดค้านการสร้างรัฐสภาแน่นอน”น.ส.นาถนิตกล่าว
**แนะใช้กม.สุขภาพแห่งชาติค้าน
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(ส.ช.) กล่าวถึงกรณีนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะคัดค้านการย้ายโรงเรียนเพื่อก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้ตามพ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2550 ที่ผ่านมา ในมาตรา10 และ 11 โดยมาตร 10 ประชาชนมีสิทธิขอให้รัฐเปิดเผยข้อมูลผลกระทบ โดยกฎหมายระบุว่า เมื่อมีกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ต้องเปิดเผยข้อมูลนั้นและวิธีป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพให้ประชาชนทราบและจัดหาข้อมูลให้โดยเร็ว
ส่วนมาตรา 11 บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิร้องขอให้มีการประเมินและมีสิทธิร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากนโยบายสาธารณะ บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของตนหรือของชุมชนและแสดงความเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว
“สามารถที่จะใช้สิทธิตามกฎหมายนี้ได้ แต่หากรัฐไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ประชาชนก็สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้”นพ.อำพลกล่าว
**”หมัก”ปิดตายต่อมรับความคิดเห็น
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวตอบคำถามจากประชาชนทางบ้านในรายการสนทนาประสาสมัครถึงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ว่า สถานที่เดิมไปขอพระราชทานอยู่กันมา เวลานี้หาที่ได้ เรื่องนี้สักวันหนึ่งในรายการนี้ตั้งแต่เปิดจนปิดจะขอพูดเรื่องรัฐสภาอย่างเดียว
“มันอะไรกันนักหนาไม่ทราบครับ โรงเรียนนี้อยู่เลยไปมุมเดียวกันเลยครับ เลยไป 1,700 เมตร ตัวเดิมที่โรงเรียนสร้างไว้มีอยู่ 8 ไร่ โรงเรียนใหม่มี 16 ไร่ มากกว่าเท่าตัว แล้วก็จะให้เงินไปสร้าง 1,000 ล้าน สร้างโรงเรียนใหม่ ก็บอกไม่เอา ก็บอกว่าไม่ได้ แล้วก็บอกว่าไม่ไปปรึกษาหารือ เราคิดแบบคนธรรมดา อยู่ถนนเดียวกันถนนสามเสน เพียงแต่ข้ามไปถนนประชาราษฎร์เท่านั้น”
นายสมัครกล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าวัดสร้อยทองน้ำท่วมว่า สร้างโรงเรียนใหม่ใช้เงิน 1,000 ล้านสร้างแล้วให้มันน้ำท่วมนี่บ้าหรือเปล่า คิดอะไรกันไม่ทราบ บอกว่า ไม่อยากไปเพราะวัดสร้อยทองน้ำท่วม ก็สร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่ สร้างโรงเรียนไปในน้ำท่วมนี่บ้าไหม ที่เก่ามี 8 ไร่สร้าง 16 ไร่ ให้เงิน 1,000 ล้านไปสร้างใช้เวลา 2 ปี อีก 2 ปีสร้างเสร็จถึงจะไป ไม่ใช่ไปนั่งกระจอกงอกง่อยอยู่ที่ไหน
เมื่อถึงคำถามที่ว่าสร้างรัฐสภาแห่งใหม่โรงเรียนต้องย้ายออกไปภายใน 2 เดือนเป็นความจริงแค่ไหน ถ้าเลื่อนเป็น 1 - 2 ปีจะได้หรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ตกลงเขาจะเอา 1 - 2 ปี เรียนกันไปให้สบาย อะไรกันนักหนา
**อภิสิทธิ์ เตรียมพบ “ชัย”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า โดยส่วนตัวแล้วหากเห็นว่ารัฐสภาต้องอยู่ในเมือง ก็มีความเหมาะสมในการตั้งพื้นที่ดังกล่าว แต่รัฐสภาจะต้องไปดูการบริหารจัดการในเรื่องผู้ที่ได้รับผลกระทบให้มีโอกาสในการบอกกล่าวว่าจะได้รับการดูแลแก้ไขอย่างไรให้เป็นที่พอใจ ซึ่งตรงนี้ตนคิดว่ายังทำไม่พอ และในความเห็นของตนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรัดขนาดนั้น แต่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภาไปตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีการย้ายออกไปภายใน 2-3 เดือนนี้ แต่ผู้ได้รับผลกระทบยังไม่ได้ทราบว่าสิ่งที่รองรับต่าง ๆ เป็นอย่างไร ซึ่งหากดีและมีเหตุผล คิดว่าทุกคนพร้อมที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนและยอมรับได้ ดังนั้นในวันจันทร์ ที่ 25 ส.ค.นี้ จะหาโอกาสไปพบกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำข้อมูลที่ได้แลกเปลี่ยนกับตัวแทนนักเรียนและตัวแทนชุมชนที่ไม่เห็นด้วยไปหารือ
วานนี้(24 ส.ค.) ที่โรงเรียนโยธินบูรณะ ได้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของสมาคมศิษย์เก่าโยธินบูรณะ มีการประชุมสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ เรื่องการย้ายโรงเรียนโยธินบูรณะเพื่อใช้พื้นที่สร้างรัฐสภาใหม่ โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้นลง นายพรพัฒน์ รังษิโย ที่ปรึกษาสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ เปิดเผยว่า ในการประชุมยังไม่มีข้อสรุปว่าจะคัดค้านหรือสนับสนุนการ้างรัฐสภาแห่งใหม่แต่ในเบื้องต้นจะมีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ 1 ชุด เพื่อทำการศึกษาหาข้อดี ข้อเสีย โดยยังไม่มีกำหนดเวลาการทำงานที่แน่นอน ทั้งนี้ เพื่อให้การศึกษาข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้องและรอบด้าน จากนั้นจึงจะนัดประชุมและหาข้อสรุปในการเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
ด้าน น.ส.นาถวนิต รวมทรัพย์ แกนนำกลุ่มลูกโยธิน ศิษย์เก่าโรงเรียนโยธินบูรณะ กล่าวว่า ตนได้ยื่นแถลงการณ์ลูกโยธิน ฉบับที่1/2551 โดยยืนยันคัดค้านการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ซึ่งเนื้อหาของแถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรรีบร้อนสร้างรัฐสภาใหม่ในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเกียกกายที่มีปัญหาการจราจรมากอยู่แล้ว การสร้างรัฐสภาแห่งใหม่นอกจากจะส่งผลต่อโรงเรียนโยธินบูรณะแล้วยังกระทบกับชุมชนโดยรอบจึงเรียกร้องให้รัฐบาลทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากสาธารณชน รวมถึงผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย
นอกจากนี้ในแถลงการณ์ดังกล่าว ยังได้ยกพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ วันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม 2551 เรื่องการใช้เงินว่า “ขอให้บริหารเงินไม่ให้หมดประเทศไม่ให้บ้านเมืองล่มจม แม้ตอนนี้ใกล้ล่มจมแล้วซึ่งอาจเพราะใช้เงินไม่ระวัง” ลูกโยธินเห็นว่า รัฐบาลควรปฏิบัติตามพระราชดำรัสเพราะโครงการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่นั้น เป็นการใช้งบของประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ของคนเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งถือว่าเป็นการไม่สมควรในสภาพเศรษฐกิจเยี่ยงนี้
น.ส.นาถวนิต กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูลการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ของรัฐบาล จากทุกด้านเพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนสำหรับร้องเรียนต่อศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว โดยได้ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้วแต่ยังไม่รีบร้อน ต้องค่อยเป็นค่อยไป
“ตราบใดที่เรายังพอมีช่องทางของกฎหมายอยู่ เราก็จะสู้เต็มที่และจะยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวแน่นอน แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นวันไหน ก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ได้มากที่สุดก่อน สำหรับการมาให้กำลังใจของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 25 ส.ค.นี้ก็ขอขอบคุณและเห็นด้วยว่าไม่ต้องมามากจะได้ไม่รบกวนการเรียนและจะได้เก็บแรงไว้ต่อสู้ในวันอังคารที่ 26 ส.ค. ซึ่งจะมีกิจกรรมเป่านกหวีด สำหรับเรื่องการสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ลูกโยธิน จะทำทุกวิธีทางเพื่อคัดค้านการสร้างรัฐสภาแน่นอน”น.ส.นาถนิตกล่าว
**แนะใช้กม.สุขภาพแห่งชาติค้าน
นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(ส.ช.) กล่าวถึงกรณีนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะคัดค้านการย้ายโรงเรียนเพื่อก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้ตามพ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค.2550 ที่ผ่านมา ในมาตรา10 และ 11 โดยมาตร 10 ประชาชนมีสิทธิขอให้รัฐเปิดเผยข้อมูลผลกระทบ โดยกฎหมายระบุว่า เมื่อมีกรณีที่จะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเกิดขึ้น หน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ต้องเปิดเผยข้อมูลนั้นและวิธีป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพให้ประชาชนทราบและจัดหาข้อมูลให้โดยเร็ว
ส่วนมาตรา 11 บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิร้องขอให้มีการประเมินและมีสิทธิร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพจากนโยบายสาธารณะ บุคคลหรือคณะบุคคลมีสิทธิได้รับรู้ข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐ ก่อนการอนุญาตหรือการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของตนหรือของชุมชนและแสดงความเห็นของตนในเรื่องดังกล่าว
“สามารถที่จะใช้สิทธิตามกฎหมายนี้ได้ แต่หากรัฐไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ประชาชนก็สามารถฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้”นพ.อำพลกล่าว
**”หมัก”ปิดตายต่อมรับความคิดเห็น
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวตอบคำถามจากประชาชนทางบ้านในรายการสนทนาประสาสมัครถึงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ว่า สถานที่เดิมไปขอพระราชทานอยู่กันมา เวลานี้หาที่ได้ เรื่องนี้สักวันหนึ่งในรายการนี้ตั้งแต่เปิดจนปิดจะขอพูดเรื่องรัฐสภาอย่างเดียว
“มันอะไรกันนักหนาไม่ทราบครับ โรงเรียนนี้อยู่เลยไปมุมเดียวกันเลยครับ เลยไป 1,700 เมตร ตัวเดิมที่โรงเรียนสร้างไว้มีอยู่ 8 ไร่ โรงเรียนใหม่มี 16 ไร่ มากกว่าเท่าตัว แล้วก็จะให้เงินไปสร้าง 1,000 ล้าน สร้างโรงเรียนใหม่ ก็บอกไม่เอา ก็บอกว่าไม่ได้ แล้วก็บอกว่าไม่ไปปรึกษาหารือ เราคิดแบบคนธรรมดา อยู่ถนนเดียวกันถนนสามเสน เพียงแต่ข้ามไปถนนประชาราษฎร์เท่านั้น”
นายสมัครกล่าวถึงกรณีที่มีการระบุว่าวัดสร้อยทองน้ำท่วมว่า สร้างโรงเรียนใหม่ใช้เงิน 1,000 ล้านสร้างแล้วให้มันน้ำท่วมนี่บ้าหรือเปล่า คิดอะไรกันไม่ทราบ บอกว่า ไม่อยากไปเพราะวัดสร้อยทองน้ำท่วม ก็สร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่ สร้างโรงเรียนไปในน้ำท่วมนี่บ้าไหม ที่เก่ามี 8 ไร่สร้าง 16 ไร่ ให้เงิน 1,000 ล้านไปสร้างใช้เวลา 2 ปี อีก 2 ปีสร้างเสร็จถึงจะไป ไม่ใช่ไปนั่งกระจอกงอกง่อยอยู่ที่ไหน
เมื่อถึงคำถามที่ว่าสร้างรัฐสภาแห่งใหม่โรงเรียนต้องย้ายออกไปภายใน 2 เดือนเป็นความจริงแค่ไหน ถ้าเลื่อนเป็น 1 - 2 ปีจะได้หรือไม่ นายสมัคร กล่าวว่า ตกลงเขาจะเอา 1 - 2 ปี เรียนกันไปให้สบาย อะไรกันนักหนา
**อภิสิทธิ์ เตรียมพบ “ชัย”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ว่า โดยส่วนตัวแล้วหากเห็นว่ารัฐสภาต้องอยู่ในเมือง ก็มีความเหมาะสมในการตั้งพื้นที่ดังกล่าว แต่รัฐสภาจะต้องไปดูการบริหารจัดการในเรื่องผู้ที่ได้รับผลกระทบให้มีโอกาสในการบอกกล่าวว่าจะได้รับการดูแลแก้ไขอย่างไรให้เป็นที่พอใจ ซึ่งตรงนี้ตนคิดว่ายังทำไม่พอ และในความเห็นของตนคิดว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรัดขนาดนั้น แต่เข้าใจว่านายกรัฐมนตรีและประธานรัฐสภาไปตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีการย้ายออกไปภายใน 2-3 เดือนนี้ แต่ผู้ได้รับผลกระทบยังไม่ได้ทราบว่าสิ่งที่รองรับต่าง ๆ เป็นอย่างไร ซึ่งหากดีและมีเหตุผล คิดว่าทุกคนพร้อมที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนและยอมรับได้ ดังนั้นในวันจันทร์ ที่ 25 ส.ค.นี้ จะหาโอกาสไปพบกับนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำข้อมูลที่ได้แลกเปลี่ยนกับตัวแทนนักเรียนและตัวแทนชุมชนที่ไม่เห็นด้วยไปหารือ