“โกวิท” ถกนายตำรวจระดับสูง ประเมินสถานการณ์พันธมิตรฯ ชุมนุม พร้อมสั่งรับมือแผนดาวกระจาย ปัดอีกตำรวจไม่ได้ยิงแก๊สน้ำตา แต่ไม่ยืนยันว่าใครยิง อ้างสื่อใน บชน.ไม่เห็น ส่วนที่มีอาวุธปืนจ่อหัวผู้ชุมนุม บอกปืนไม่มีกระสุน
วันนี้ (30 ส.ค.) เวลา 09.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. และนายตำรวจระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมประเมินสถานการณ์ และสรุปผลการปฏิบัติในการรับมือกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นวันที่ 5
จากนั้นเวลา 11.45 น. พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการประชุมประเมินสถานการณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า เป็นการประชุมสรุปสถานการณ์ในรอบวันที่ผ่านมาโดยตั้งแต่ช่วงเช้าถึงบ่ายวันนี้เชื่อว่าคงยังไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ เนื่องจากทางการมีพระราชพิธีที่สวนอัมพร และการเดินเทอดพระเกียรติที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ส่วนในงานพระราชพิธีนั้น ผบ.ตร.เน้นย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรเป็นหลัก ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแล้ว
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมตามภูมิภาคต่างๆที่มีปัญหาอยู่หลายพื้นที่นั้น พล.ต.อ.โกวิท ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่ง เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็ได้สั่งการให้ผู้บังคับการจังหวัดที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นๆ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมที่เกิดขึ้น โดยที่ประชุมเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ใช้ความละมุนละม่อม ส่วนสถานที่ราชการ หรือสถานที่อื่นๆที่มีการข่าวว่าจะมีการไปชุมนุมกันนั้นก็ได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าคุมสถานการณ์ อย่างเช่น สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีก็ได้เสริมกำลังเข้าไปรักษาความปลอดภัยให้เรียร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการประชุมทั้ง 2 สภา ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ น่าจะทำให้สถานการณ์การเมืองดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะชุมนุมกันแบบดาวกระจาย พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า กรณีได้ให้ฝ่ายสืบสวนติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาสั่งการว่า หากมีการกระจายไปที่จุดใดบ้างก็ให้ปรับกำลังที่มีอยู่ หากไม่เพียงพอก็ให้จัดกำลังเพิ่ม แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาจนกว่างานพระราชพิธีจะเสร็จสิ้นในเวลา 15.00 น.
ต่อข้อถามที่ว่า ศาลสั่งงดบังคับคดีฟ้องละเมิดขับไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบ เพราะตำรวจทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บนั้น พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของโจทก์ คือ สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กับจำเลยทั้ง 6 คนที่ถูกล่าวหาว่าเข้าไปบุกรุกในสถานที่ราชการ และศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อฝ่ายจำเลยขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและศาลได้สั่งมานั้น ทางตำรวจเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ไม่ใช่ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงคือได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี ฉะนั้นการที่ศาลสั่งเลิกหรือยกเลิกนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลย ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ขอร้องให้เจ้าหนาที่ตำรวจเข้าไปช่วยก็ไม่สามารถช่วยได้ตามกระบวนการของกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทในคดีแพ่งนั้นเป็นสถานที่ราชการที่ขณะนี้ยังมีการบุกรุกอยู่ และได้มีการดำเนินคดีตามกำหมายไปส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนจะสามารถจับกุมดำเนินคดีให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินต่อไปได้หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ในบ้านเมือง แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเพราะคดีมีอายุความถึง 20 ปี ค่อยๆทำไปจะเหมาะสมกว่า
ผู้สื่อข่าวได้ขอให้ชี้แจงกรณีที่มีการยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (29 ส.ค.) เนื่องจากขณะนี้ยังมีข้อกังขากันอยู่ว่ามาจากฝ่ายไหนกันแน่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เรื่องนี้ตนมีความเห็นว่ามีสื่อมวลชนอยู่ข้างบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการสอบถามสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์หลายทาง ก็ได้ความชัดเจนว่า ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยหลักการณ์และเหตุผลแล้ว เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่าน มีการชุมนุมกันที่หน้า บช.น.จนถึงขั้นพังประตู ทางตำรวจก็ยังไม่มีการต่อต้านในลักษณะใช้แก๊สน้ำตา ฉะนั้นเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ทางผู้ชุมนุมเพียงแค่มาชุมนุมอยู่ด้านหน้า บช.น.เท่านั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องยิงแก๊สน้ำตาแต่อย่างใด อีกทั้ง ผบ.ตร.ก็สั่งให้หลีกเลี่ยงการปะทะอยู่แล้ว ถึงขั้นสั่งเรียกตำรวจที่อยู่ด้านนอกแล้วเสี่ยงต่อการปะทะกลับพื้นที่ให้หมด
“มีลูกหนึ่งที่โยนออกไปจาก บช.น. แต่ลูกนั้นถูกโยนจากข้างนอกเข้ามาแล้วระเบิดโดนผู้บัญชาการ ทางตำรวจก็เลยโยนกลับออกไป ถ้าเราเป็นคนยิงเองก็คงไม่โดนผู้บัญชาการ” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีหนังสือพิมพ์ลงภาพตำรวจใช้อาวุธปืนจ่อหัวกลุ่มผู้ชุมนุม พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เป็นอาวุธปืนที่ใช้ปราบจลาจล ไม่ใช่ปืนที่มีกระสุน อาจะเป็นปืนตาข่ายหรือเป็นปืนลูกยาง ซึ่งปืนที่มีลูกจริงนั้นจะไม่ถูกบรรจุอยู่ในการปราบจราจลแน่นอน ซึ่งภาพที่ออกมานั้น ต้องดูภาพรวมทั้งหมดที่มีการเคลื่นไหวในช่วงเวลานั้นสัก 30 วินาทีว่าจริงแล้ว ภาพที่ปรากฏออกไปนั้น มันมีความเคลื่อนไหวมาจากอะไร อาจจะเป็นสะดุด พลาดไป หรือใช้ชี้อะไรต่างๆ ซึ่งตนเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจจะไปทำเช่นนั้น จึงขอให้ดูภาพที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจึงจะทราบว่า ภาพดังกล่าวที่ตัดออกมาลงนั้นเป็นอะไร
“ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเพราะเขามีอยู่สองมือแล้วถืออาวุธที่เป็นอาวุธยาว การเคลื่อนตัวไปก็จะมีโอกาสที่จะเกิดเป็นภาพนั้นขึ้นมาได้ แต่ไม่ใช่เจตนาจะไปเอาปืนจ่อหัวอย่างแน่นอน จึงไม่ควรเอาภาพในจุดเดียวมาขยายความเพื่อให้เกิดภาพลบกับองค์กร” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวถึงกรณีที่อาจจะมีกลุ่มมือที่สามเข้ามาแทรกแซงให้เกิดความรุนแรงว่า การชุมนุมที่ผ่านมาแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาน้อยนั้น เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ฝ่ายการข่าว และฝั่งแกนนำพันธมิตร รวมทั้งชุดการ์ดซึ่งดูแลความปลอดภัยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอยู่ตลอดเวลา แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่กลุ่มผุ้ชุมนุมยื่นคำขาดว่าจะแตกหัก ฉะนั้นจะเป็นใครก็ตามที่มีวัตถุประสงค์หรือมีส่วนได้เสียจากการชุมนุม ก็ต้องหาสถานการณ์ในการยกระดับการชุมนุมให้รุนแรงขึ้นเพื่อเกิดผลกระทบทางการเมืองให้มากที่สุด โอกาสที่จะเกิดจากแซกแทรงจากมือที่ 3 หรือมือที่ 4 ก็ย่อมมีผลตามมาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นการโยนแก๊สน้ำตาที่หน้า บช.น.เมื่อวานนี้นั้น ก็เป็นส่วนของการแทรกแซงของคนที่หวังจะให้เกิดผลของการ จากที่ 90 กว่าวันนั้นไม่ค่อยจะมี
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวด้วยว่า ขวัญและกำลังใจของตำรวจขณะนี้ยังคงดีอยู่ พล.ต.อ.โกวิท รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ที่เข้ามาเป็นประธานในช่วงต้นการประชุมนั้น ก็ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้เสียสละปฏิบัติงานมาโดยตลอด และในส่วนของ ผบ.ตร.นั้น ได้ยืนยันกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผบ.ตร.จะเป็นผู้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในฐานะที่เป็น ผบ.ตร.
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 16 ล้านบาท จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปทำลายข้าวของ รวมทั้งการทวงถามเงินบริจาคที่หายไประหว่างที่กำลังตำรวจเข้าไปติดประกาศบังคับคดีว่า เป็นสิทธิที่ผู้เสียหายจะดำเนินการได้ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น ตำรวจมีความชัดเจนในกรอบการทำงานทั้งการดำเนินการกับผู้ชุมนุมหรือกับสิ่งของว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ขอยืนยันว่าเราปฏิบัติหน้าที่ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีร้องขอมา และดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมาย
วันนี้ (30 ส.ค.) เวลา 09.30 น.ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. และนายตำรวจระดับสูงที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมประเมินสถานการณ์ และสรุปผลการปฏิบัติในการรับมือกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นวันที่ 5
จากนั้นเวลา 11.45 น. พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก.ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการประชุมประเมินสถานการณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า เป็นการประชุมสรุปสถานการณ์ในรอบวันที่ผ่านมาโดยตั้งแต่ช่วงเช้าถึงบ่ายวันนี้เชื่อว่าคงยังไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ เนื่องจากทางการมีพระราชพิธีที่สวนอัมพร และการเดินเทอดพระเกียรติที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ส่วนในงานพระราชพิธีนั้น ผบ.ตร.เน้นย้ำเรื่องการอำนวยความสะดวกด้านการจราจรเป็นหลัก ซึ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแล้ว
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวต่อว่า ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมตามภูมิภาคต่างๆที่มีปัญหาอยู่หลายพื้นที่นั้น พล.ต.อ.โกวิท ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากระทบกระทั่ง เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็ได้สั่งการให้ผู้บังคับการจังหวัดที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นๆ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมที่เกิดขึ้น โดยที่ประชุมเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ใช้ความละมุนละม่อม ส่วนสถานที่ราชการ หรือสถานที่อื่นๆที่มีการข่าวว่าจะมีการไปชุมนุมกันนั้นก็ได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าคุมสถานการณ์ อย่างเช่น สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีก็ได้เสริมกำลังเข้าไปรักษาความปลอดภัยให้เรียร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการประชุมทั้ง 2 สภา ในวันที่ 31 ส.ค.นี้ น่าจะทำให้สถานการณ์การเมืองดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะชุมนุมกันแบบดาวกระจาย พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า กรณีได้ให้ฝ่ายสืบสวนติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาสั่งการว่า หากมีการกระจายไปที่จุดใดบ้างก็ให้ปรับกำลังที่มีอยู่ หากไม่เพียงพอก็ให้จัดกำลังเพิ่ม แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาจนกว่างานพระราชพิธีจะเสร็จสิ้นในเวลา 15.00 น.
ต่อข้อถามที่ว่า ศาลสั่งงดบังคับคดีฟ้องละเมิดขับไล่พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบ เพราะตำรวจทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บนั้น พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของโจทก์ คือ สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กับจำเลยทั้ง 6 คนที่ถูกล่าวหาว่าเข้าไปบุกรุกในสถานที่ราชการ และศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เมื่อฝ่ายจำเลยขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและศาลได้สั่งมานั้น ทางตำรวจเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ไม่ใช่ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงคือได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นเจ้าพนักงานบังคับคดี ฉะนั้นการที่ศาลสั่งเลิกหรือยกเลิกนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลย ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ขอร้องให้เจ้าหนาที่ตำรวจเข้าไปช่วยก็ไม่สามารถช่วยได้ตามกระบวนการของกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทในคดีแพ่งนั้นเป็นสถานที่ราชการที่ขณะนี้ยังมีการบุกรุกอยู่ และได้มีการดำเนินคดีตามกำหมายไปส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนจะสามารถจับกุมดำเนินคดีให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินต่อไปได้หรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ในบ้านเมือง แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเพราะคดีมีอายุความถึง 20 ปี ค่อยๆทำไปจะเหมาะสมกว่า
ผู้สื่อข่าวได้ขอให้ชี้แจงกรณีที่มีการยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (29 ส.ค.) เนื่องจากขณะนี้ยังมีข้อกังขากันอยู่ว่ามาจากฝ่ายไหนกันแน่ พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เรื่องนี้ตนมีความเห็นว่ามีสื่อมวลชนอยู่ข้างบนเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการสอบถามสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์หลายทาง ก็ได้ความชัดเจนว่า ไม่ได้เกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยหลักการณ์และเหตุผลแล้ว เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่าน มีการชุมนุมกันที่หน้า บช.น.จนถึงขั้นพังประตู ทางตำรวจก็ยังไม่มีการต่อต้านในลักษณะใช้แก๊สน้ำตา ฉะนั้นเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ทางผู้ชุมนุมเพียงแค่มาชุมนุมอยู่ด้านหน้า บช.น.เท่านั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องยิงแก๊สน้ำตาแต่อย่างใด อีกทั้ง ผบ.ตร.ก็สั่งให้หลีกเลี่ยงการปะทะอยู่แล้ว ถึงขั้นสั่งเรียกตำรวจที่อยู่ด้านนอกแล้วเสี่ยงต่อการปะทะกลับพื้นที่ให้หมด
“มีลูกหนึ่งที่โยนออกไปจาก บช.น. แต่ลูกนั้นถูกโยนจากข้างนอกเข้ามาแล้วระเบิดโดนผู้บัญชาการ ทางตำรวจก็เลยโยนกลับออกไป ถ้าเราเป็นคนยิงเองก็คงไม่โดนผู้บัญชาการ” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีหนังสือพิมพ์ลงภาพตำรวจใช้อาวุธปืนจ่อหัวกลุ่มผู้ชุมนุม พล.ต.ต.สุรพล กล่าวว่า เป็นอาวุธปืนที่ใช้ปราบจลาจล ไม่ใช่ปืนที่มีกระสุน อาจะเป็นปืนตาข่ายหรือเป็นปืนลูกยาง ซึ่งปืนที่มีลูกจริงนั้นจะไม่ถูกบรรจุอยู่ในการปราบจราจลแน่นอน ซึ่งภาพที่ออกมานั้น ต้องดูภาพรวมทั้งหมดที่มีการเคลื่นไหวในช่วงเวลานั้นสัก 30 วินาทีว่าจริงแล้ว ภาพที่ปรากฏออกไปนั้น มันมีความเคลื่อนไหวมาจากอะไร อาจจะเป็นสะดุด พลาดไป หรือใช้ชี้อะไรต่างๆ ซึ่งตนเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ที่ตำรวจจะไปทำเช่นนั้น จึงขอให้ดูภาพที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจึงจะทราบว่า ภาพดังกล่าวที่ตัดออกมาลงนั้นเป็นอะไร
“ต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ที่ทำงานเพราะเขามีอยู่สองมือแล้วถืออาวุธที่เป็นอาวุธยาว การเคลื่อนตัวไปก็จะมีโอกาสที่จะเกิดเป็นภาพนั้นขึ้นมาได้ แต่ไม่ใช่เจตนาจะไปเอาปืนจ่อหัวอย่างแน่นอน จึงไม่ควรเอาภาพในจุดเดียวมาขยายความเพื่อให้เกิดภาพลบกับองค์กร” พล.ต.ต.สุรพล กล่าว
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวถึงกรณีที่อาจจะมีกลุ่มมือที่สามเข้ามาแทรกแซงให้เกิดความรุนแรงว่า การชุมนุมที่ผ่านมาแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาน้อยนั้น เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน ฝ่ายการข่าว และฝั่งแกนนำพันธมิตร รวมทั้งชุดการ์ดซึ่งดูแลความปลอดภัยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอยู่ตลอดเวลา แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่กลุ่มผุ้ชุมนุมยื่นคำขาดว่าจะแตกหัก ฉะนั้นจะเป็นใครก็ตามที่มีวัตถุประสงค์หรือมีส่วนได้เสียจากการชุมนุม ก็ต้องหาสถานการณ์ในการยกระดับการชุมนุมให้รุนแรงขึ้นเพื่อเกิดผลกระทบทางการเมืองให้มากที่สุด โอกาสที่จะเกิดจากแซกแทรงจากมือที่ 3 หรือมือที่ 4 ก็ย่อมมีผลตามมาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นการโยนแก๊สน้ำตาที่หน้า บช.น.เมื่อวานนี้นั้น ก็เป็นส่วนของการแทรกแซงของคนที่หวังจะให้เกิดผลของการ จากที่ 90 กว่าวันนั้นไม่ค่อยจะมี
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวด้วยว่า ขวัญและกำลังใจของตำรวจขณะนี้ยังคงดีอยู่ พล.ต.อ.โกวิท รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ที่เข้ามาเป็นประธานในช่วงต้นการประชุมนั้น ก็ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายที่ได้เสียสละปฏิบัติงานมาโดยตลอด และในส่วนของ ผบ.ตร.นั้น ได้ยืนยันกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ผบ.ตร.จะเป็นผู้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในฐานะที่เป็น ผบ.ตร.
พล.ต.ต.สุรพล กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวน 16 ล้านบาท จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปทำลายข้าวของ รวมทั้งการทวงถามเงินบริจาคที่หายไประหว่างที่กำลังตำรวจเข้าไปติดประกาศบังคับคดีว่า เป็นสิทธิที่ผู้เสียหายจะดำเนินการได้ตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม ซึ่งในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานบังคับคดีเท่านั้น ตำรวจมีความชัดเจนในกรอบการทำงานทั้งการดำเนินการกับผู้ชุมนุมหรือกับสิ่งของว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร ขอยืนยันว่าเราปฏิบัติหน้าที่ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีร้องขอมา และดำเนินการทุกขั้นตอนตามกฎหมาย