xs
xsm
sm
md
lg

อนุพงษ์สั่งห้ามสื่อเข้าพื้นที่บึ้ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ วานนี้ (22 ส.ค.) ถึงเหตุการณ์ คนร้ายวางระเบิดคาร์บอมบ์ 2 ลูกซ้อนหน้า สภ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะเป็นความรับผิดชอบของเรา ซึ่งนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้สอบถามตนในประเด็นการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ในมาตรการที่จะไม่ให้มีรถจักรยานยนต์และรถยนต์เข้ามาในพื้นที่ รวมถึงการสกัดไม่ให้เกิดเหตุระเบิดขึ้น
ผมเรียนปัญหาขั้นต้นให้กับนายกฯรับทราบ ซึ่งนายกฯกำชับขอให้ดูแลชุมชนโดยเฉพาะชุมชนที่มีประชาชนหมู่มาก ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งนายกฯได้โทรศัพท์แจ้งว่า มีความประสงค์ที่จะลงไปดูเหตุการณ์ในพื้นที่ แต่บังเอิญผมมีกำหนดการที่จะเดินทางไปพบกับ ผบ.ทบ.มาเลเซียในวันที่ 25 ส.ค.นี้ ทำให้นายกฯต้องเลื่อนกำหนดการลงพื้นที่ภาคใต้ออกไปก่อน ทั้งนี้ จะให้เจ้าหน้าที่จัดการพื้นที่ภาคใต้ให้เกิดความเรียบร้อยก่อนที่นายกฯจะเดินทางลงไป ขึ้นอยู่กับนายกฯว่าจะมีกำหนดเดินทางลงไปในพื้นที่ภาคใต้อีกครั้งเมื่อไหร่
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า มาตรการข่าวทางทหารยังไม่สามารถบอกได้อย่างละเอียดถึงการกระทำของกลุ่มที่ก่อเหตุ เราต้องเน้นการป้องกันและมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวด เช่น การตรวจตรายานพาหนะทุกคัน และกำหนดพื้นที่ แต่อาจจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ จึงต้องกำหนดกันว่าจะทำอย่างไร ปัญหาที่เกิดขึ้นผู้ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นเจ้าหน้าที่ ผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ตนได้ทักท้วงเรื่องนี้ ซึ่งกองทัพภาคที่ 4 ชี้แจงว่าการเข้าไปในพื้นที่ เจ้าหน้าที่มี มาตรการในการที่จะแก้ไขปัญหาต่อการระเบิดที่ติดตามมา เช่น ระเบิดลูกที่สอง (เซคคั่นบอมบ์)
สื่อและเจ้าหน้าที่มูลนิธิที่เข้าไปในพื้นที่ เพราะมีคนบาดเจ็บ ดังนั้น อาจต้อง กำหนดมาตรการ โดยต้องขีดเส้นและต้องพิสูจน์ทราบก่อน จึงจะให้ผู้สื่อข่าว หรือเจ้าหน้าที่มูลนิธิดูแลผู้บาดเจ็บได้ ตนได้สั่งการไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ที่ต้องประเมิน เจ้าหน้าที่ต้องทำหน้าที่ให้เกิดความสงบเรียบร้อย และต้องเข้าไป กำหนดมาตรการ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ต้องประเมินสถานการณ์เป็นระยะเวลาให้ได้
ผู้สือข่าวถามว่าการก่อเหตุเพื่อแสดงศักยภาพและท้าทายรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ผมสนใจว่าจะทำอย่างไรให้สงบ ตอบคำถามนี้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เมื่อถามว่า กองทัพจะมีมาตรการในการรับมือรูปแบบการ ก่อเหตุอย่างไร พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ว่าระเบิดพื้นที่ป่า ตามหมู่บ้าน เราเข้าไปช่วยเหลือมักจะมีเซคคั่นบอมบ์ รวมถึงในพื้นที่ชุมชนที่จะสร้างให้เกิดจุดสนใจ เช่น ไฟไหม้ เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปก็มีเซคคั่นบอมบ์
ผมเน้นเรื่องนี้ แต่เจ้าหน้าที่ยังไงต้องเข้าไป แต่ที่มีปัญหา เพราะผู้สื่อข่าวเข้าไป ดังนั้น ครั้งต่อไปอาจจะไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไป เพราะหากบาดเจ็บล้มตายเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องเป็นจำเลย และที่ตั้งคำถามว่าเป็นการท้าทายหรือไม่ ผมเห็นว่าไม่สร้างสรรค์อะไร เจ้าหน้าที่ไปดูแลผู้บาดเจ็บก็เข้าไปทำตามหน้าที่ จึงต้องกำหนดให้เจ้าหน้าที่ เคลียร์พื้นที่ก่อน เพื่อความปลอดภัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกองทัพบกมีจุดยืนอย่างไรในการเจรจากับผู้ก่อความ ไม่สงบ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ไม่มี ตนเคยเรียนไปแล้วชัดเจนว่า มีผลผูกพันต่อประเทศ ทั้งนี้ ต้องทำทุกอย่างไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้น
พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยกล่าวว่า ตนเสียใจและรู้สึกเห็นใจ กับเหตุระเบิดที่ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งเข้าใจเพราะทุกฝ่ายก็ทำงานอย่างเต็มที่ แต่การแก้ไขปัญหาจะต้องอาศัยความร่วมมือที่ดีมากขึ้นด้วย เพราะผู้ก่อเหตุยังต้องพึ่งพาประชาชน ในหมู่บ้าน ทั้งนี้ จะพยายามแก้ไขปัญหาต่อไปเรื่อยๆ เพราะกลุ่มที่มีปัญหามีจำนวนมากและถือว่ายังไม่จบ นอกจากนี้ จะลงพื้นที่ให้กำลังใจและเยียวยาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เร็วๆนี้ ด้วย
นายปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญทางด้านความมั่นคง ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความรุนแรงครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญที่หน่วยงานรัฐซึ่งเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบต้องหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะคนร้ายได้ปรับกลยุทธ และวิธีหลีกหนีการสกัดกั้นของฝ่ายบ้านเมืองได้สำเร็จ
การตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือหลังจากเกิดระเบิดลูกแรกซึ่งคนร้ายซุกซ่อน ในรถจักรยายนต์ ไม่สามารถสกัดการจุดชนวนระเบิดลูกที่สองที่คนร้ายซุกซ่อน ในรถยนต์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จในการหนีการควบคุมของรัฐและสามารถทำร้ายเป้าหมายได้จำนวนมาก
นายปณิธาน กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะใช้วิธีการตั้งระเบิดเวลา ในการก่อเหตุซึ่งการตัดสัญญาณโทรศัพท์ไม่สามารถควบคุมการจุดชนวนได้ แต่ทั้งนี้มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่าคนร้ายจะใช้รูปแบบกดชนวนระเบิดจากรีโมทระยะใกล้ เช่นเดียวกับการก่อเหตุที่ร้านอาหารดอกเตอร์คูล ริมหาดชลาทัศน์สงขลา 1ใน7จุดที่คนร้ายวางระเบิดเมื่อวันที่2สิงหาคมที่ผ่านมา
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชายด้านวัตถุระเบิดในพื้นที่ชายแดนภาคใต้พบว่า แนวร่วมรุ่นใหม่เรียนรู้จากมือระเบิดต่างถิ่น โดยการพัฒนารูปแบบการจุดชนวนระเบิด การเพิ่มน้ำหนักระเบิดในการหวังผลทำลายล้าง ซึ่งข้อมูลเชิงสถิติระบุชัดว่า แนวโน้มการก่อความรุนแรงด้วยการระเบิดเพิ่มขึ้นในระยะที่ผ่านมา
นายปณิธาน กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ระเบอดที่สุไหงโก-ลกครั้งนี้จึงน่าจะเป็นการ แก้ไขและเรียนรู้จากความผิดพลาดจากเหตุการณ์ที่โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี และระเบิด 7จุดที่จ.สงขลา โดยเฉพาะครั้งหลังสุดคนร้ายไม่ประสบความสำเร็จในเรื่อง ความุรนแรงและผลสัมฤทธิ์ เนื่องจากการควบคุมพื้นที่หาดใหญ่ฝ่ายบ้านเมือง ทำได้ดีขึ้น คนร้ายจึงหันมาก่อเหตุในพื้นที่ของตัวเองโดยเรียนรู้จากความผิดพลาดและเพิ่มน้ำหนักดินระเบิดในครั้งนี้เห็นได้จากสภาพรถยนต์แทบไม่เหลือซาก
นายศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเตปัตตานี(มอ.ปัตตานี) กล่าวว่าเหตุระเบิดที่สุไหงโก-ลก มีความคล้ายคลบึงกับเหตุคาร์บอมที่ โรงแรม ซีเอสปัตตานีในแง่รูปแบบ นั้นคือ การใช้ระเบิดลวงก่อนจุดชนวนคาร์บอมทีหลัง และที่สำคัญปริมาณน้ำหนักในระเบิดที่คนร้ายใช้ตามข่าวอยู่ในระดับที่ใกล้เคียง และที่สำคัญทั้งสองครั้งมีอานุภาพทำลายล้างสูงเช่นเดียวกัน
จากนี้ไปสิ่งที่รัฐต้องระวังคือการพัฒนาการในการก่อเหตุด้วยระเบิด ซึ่งคนร้ายได้ถอดรหัสจากความผิดพลาดในแต่ละครั้งเพื่อประยุกต์และปรับปรุงให้เกิด ประสิทธิภาพในการทำลายล้างมากยิ่งขึ้นที่สำคัญผู้ก่อการได้พยายามคิดค้นรูปแบบ ก่อเหตุที่เลี่ยงการตรวจสอบและสกัดเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอุปกรณืเทคโนโลยีในการควบคุม การจุดชนวนวัตถุระเบิดอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญในเดือนสิงหาคม มีวันสำคัญของกลุ่มขบวนการนั่นคือวันสถาปนากลุ่มเบอร์ซาตูในวันที่ 31สิงหาคม นี้ ซึ่งถือ เป็นห้วงเวลาที่รัฐต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพราะสถิติบ่งชัดว่าคลื่นความรุนแรง ในช่วงนี้มีมากกว่าปกติ
วันเดียวกัน สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ร่วมกันออกจดหมายเปิดผนึกแสดงความเสียใจเหตุระเบิดที่ เขตเทศบาลตำบลสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จนทำให้ นายชาลี บุญสวัสดิ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเสียชีวิตทันที และนายผดุง วรรณลักษณ์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี(ช่อง 9) ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของวงการสื่อมวลชนไทย เพราะเป็นครั้งแรกที่นักข่าวต้องเสียชีวิตจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ผ่านมาองค์กรวิชาขีพสื่อทั้ง 3 องค์กรและสถาบันอิศรา ตระหนักมาตลอดว่า การทำข่าวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีความขัดแย้งรุนแรงนั้น ชีวิตนักข่าวมีความเสี่ยงภัยสูง เจึงเฝ้าเตือนให้ทำหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งเพื่อนนักข่าวทุกคนก็ตื่นตัวระวังกันมาก แต่ด้วยจิตวิญญาณความเป็นนักข่าว เมื่อเกิดเหตุขึ้น พวกเขาก็ต้องลงหาความจริง ทั้งภาพและข้อมูลจากสถานที่จริง แม้จะเสี่ยงสักเพียงใดก็ตาม
นี่คือจิตวิญญาณของนักข่าวที่สมควรต่อการคารวะ เชิดชู แม้จะรู้ว่า ชีวิต ต้องเสี่ยงภัย ก็ยังมุ่งมั่นในการทำหน้าที่แสวงหาความจริง และนี่คือชีวิตที่อยู่เบื้องหลังตัวหนังสือและภาพข่าวที่ปรากฏสู่สาธารณะชน
กำลังโหลดความคิดเห็น