ผู้จัดการรายวัน - นักลงทุนพักเทรดหุ้นรอดูปัญหาซับไพรม์-คดียุบพรรค กดดันมูลค่าการซื้อขายซึมแค่ 8.6 พันล้านบาท ด้านนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อ 800 ล้านบาท ด้านบล.เคจีไอ หันแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้น 3 กลุ่ม พลังงาน ที่ดิน สื่อสาร จากที่ผ่านมาราคาหุ้นลดลงมากประกอบกับต่างชาติกลุ่มใหม่เข้ามาซื้อสุทธิจากกลุ่มเดิมที่ยังคงขายอยู่ พร้อมประสานเสียงจับตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคเป็นหลัก
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตลอดทั้งวัน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายเบาบางตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ ที่ปรับตัวลดลงจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ และนักลงทุนชะลอดูผลการตัดสินคดียุบพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ระดับ 691.33 จุด ลดลง 5.90 จุด หรือ 0.85% จุดต่ำสุดที่ระดับ 686.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,679.14 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 813.75 จุด นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 243.53 จุด นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,057.29 จุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 ส.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่ปรับตัวลงจากความกังวลปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ และมีการคาดการณ์จะมีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ จะประสบภาวะล้มละลายอีกในเร็วๆ นี้
ขณะที่ปัจจัยในประเทศเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน เช่น การเลื่อนลงมติคดียุบพรรคพลังประชาชนไปวันที่ 2 กันยายน 51 รวมถึงกรณีพิจารณาหวยบนดีที่รอคำสั่งศาลปกครองสูงสุด หลังจากกฤษฎีกามีมติให้รัฐมนตรี 3 ท่านยังคงดำรงตำแหน่งและปฏิษัติหน้าที่ต่อไป
"ปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.) คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องปัญหาสถาบันการเงินและการชะลอตัวเศรษฐกิจของโลก และจากราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าที่มีการอ่อนตัวลดลง ทั้งนี้ ต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 683-685 จุด แนวต้านที่ระดับ 693-695 จุด
**เคจีไอแนะซื้อพลังงาน-ที่ดิน-สื่อสาร
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวฐานลงมาจากปัจจัยภายนอกประเทศจากตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว รวมถึงความกังวลปัญหาการเมืองภายในประเทศเรื่องการเลื่อนการพิจารณาคดียุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสำคัญ ทำให้มีการชะลอการลงทุน รอดูทิศทางอยู่นอกตลาดทำให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางอยู่ที่ระดับ 8,000 ล้านบาท
"ตลาดหุ้นไทยร่วง 0.8% น้อยกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงถึง 1% ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยพบแรงซื้อเข้ามาในหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ กลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ หลังจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะต้องติดตามในเรื่องทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งหากดาวโจนส์มีการปรับตัวลดลง 100 จุด จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นภูมิภาคมากนัก แต่หากปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้ตลาดหุ้นในแถบดังกล่าวปรับตัวพิ่มขึ้นรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย แต่จากการที่นักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้างนั้นแสดงว่ามีกนักลงทุนต่างประเทศกลุ่มใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลุ่มเดิมยังคงขายอยู่
ขณะที่รัฐบาลเตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นั้น จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องติดตามรายละเอียดอีกครั้ง โดยบริษัทได้มีการปรับคำแนะนำการลงทุนจากขาย เป็นซื้อ โดยนักลงทุนควรเลือกซื้อในหุ้นพลังงาน ที่ดิน สื่อสาร จากที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวลดลงต่ำกว่าพื้นฐาน และจากในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีนั้นจะเป็นช่วงที่หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด จะส่งให้มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มดังกล่าว โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 687 จุด แนวต้านที่ระดับ 700 จุด
**ลุ้นทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ
นางสาวจิติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่อของสหรัฐฯ ที่คาดว่าเลแมนบราเธอร์ จะมีผลขาดทุนสูงในไตรมาส3/51 นี้ และจากการที่ Freddie Mac และ Fannie Mae ไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และจากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศไทยที่เพิ่มความกังวลกับนักลงทุนมากขึ้น ประกอบกับความกังวลในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเรื่องการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งหากมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น โดยนักลงทุนจะเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ฯ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หากมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม แต่หากปรับตัวลดลงจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงา โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 680-686 จุด แนวต้านที่ 696-700 จุด และแนะนำให้นักลงทุนซื้อขายรายวันน่าจะดีที่สุด เพราะช่วงนี้เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น คือหากได้ผลกำไร 5% ควรขายออกมาก่อนลดความเสี่ยง
***ตลาดหุ้นผันผวนในกรอบแคบๆ
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยมีปัจจัยหลักจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) บวกกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะที่ผลกระทบจากปัญหาในประเทศก็ยังเป็นเรื่องเดิม ๆ แม้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประกาศออกมาส่วนใหญ่ ยังคงออกมาดี และบางบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ทำให้หนุนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนบ้าง แต่ตัวเลขการขายสุทธิในแต่ละวันระยะนี้พบว่าเป็นแรงขายของต่างชาติขาย
"ตลาดหุ้นช่วงนี้ยังคงผันผวนและแกว่งตัวแคบๆ เพื่อรอปัจจัยทางการเมือง ทั้งเรื่องการดำเนินคดีและตัดสินรัฐมนตรี 3 ราย และการไต่สวนชี้ขาดของศาลปกครอง กรณีหวยบนดินและอื่นๆ ที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งคงต้องรอผลการตัดสินไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่แนวโน้มวันนี้มีแนวรับที่ 680-683 จุด และแนวต้านที่ 700-702 จุด"
***หุ้นพลังงานยังน่าลงทุน*
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้รูดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้า โดยตลอดวันดัชนีเคลื่อนไหวเพื่อรอดูสถานการณ์อยู่ในกรอบ 690 จุด เพียงแต่ขาดปัจจัยที่จะมากระตุ้น ส่วนการเมืองในคดียุบพรรคนั้นไม่มีผลต่อตลาด ถือเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงคือ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซบเซาตาม เพราะปัญหาซับไพรม์สหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
นายวิวัฒน์ เตชะพูนผล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดในวันนี้ คาดว่าเปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 685 จุด ก่อนจะดีดกลับในช่วงบ่ายที่ระดับ 695-698 จุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในระยะกลางและระยะสั้น และหุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ PTTAR และ BANPU ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์หน้า ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะปรับขึ้นมาที่ 108-120 เหรียญต่อบาเรล
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงตลอดทั้งวัน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายเบาบางตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ ที่ปรับตัวลดลงจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ และนักลงทุนชะลอดูผลการตัดสินคดียุบพรรคพลังประชาชน ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ระดับ 691.33 จุด ลดลง 5.90 จุด หรือ 0.85% จุดต่ำสุดที่ระดับ 686.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 8,679.14 ล้านบาท
โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 813.75 จุด นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 243.53 จุด นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,057.29 จุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 ส.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ที่ปรับตัวลงจากความกังวลปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ และมีการคาดการณ์จะมีธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ จะประสบภาวะล้มละลายอีกในเร็วๆ นี้
ขณะที่ปัจจัยในประเทศเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน เช่น การเลื่อนลงมติคดียุบพรรคพลังประชาชนไปวันที่ 2 กันยายน 51 รวมถึงกรณีพิจารณาหวยบนดีที่รอคำสั่งศาลปกครองสูงสุด หลังจากกฤษฎีกามีมติให้รัฐมนตรี 3 ท่านยังคงดำรงตำแหน่งและปฏิษัติหน้าที่ต่อไป
"ปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศได้สร้างความกังวลให้กับนักลงทุน ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (20 ส.ค.) คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องปัญหาสถาบันการเงินและการชะลอตัวเศรษฐกิจของโลก และจากราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าที่มีการอ่อนตัวลดลง ทั้งนี้ ต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 683-685 จุด แนวต้านที่ระดับ 693-695 จุด
**เคจีไอแนะซื้อพลังงาน-ที่ดิน-สื่อสาร
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวฐานลงมาจากปัจจัยภายนอกประเทศจากตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว รวมถึงความกังวลปัญหาการเมืองภายในประเทศเรื่องการเลื่อนการพิจารณาคดียุบพรรคพลังประชาชน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสำคัญ ทำให้มีการชะลอการลงทุน รอดูทิศทางอยู่นอกตลาดทำให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางอยู่ที่ระดับ 8,000 ล้านบาท
"ตลาดหุ้นไทยร่วง 0.8% น้อยกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคที่ลดลงถึง 1% ยกเว้นตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยพบแรงซื้อเข้ามาในหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ กลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์ หลังจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะต้องติดตามในเรื่องทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งหากดาวโจนส์มีการปรับตัวลดลง 100 จุด จะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นภูมิภาคมากนัก แต่หากปรับตัวเพิ่มขึ้นจะทำให้ตลาดหุ้นในแถบดังกล่าวปรับตัวพิ่มขึ้นรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย แต่จากการที่นักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้างนั้นแสดงว่ามีกนักลงทุนต่างประเทศกลุ่มใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลุ่มเดิมยังคงขายอยู่
ขณะที่รัฐบาลเตรียมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นั้น จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่ต้องติดตามรายละเอียดอีกครั้ง โดยบริษัทได้มีการปรับคำแนะนำการลงทุนจากขาย เป็นซื้อ โดยนักลงทุนควรเลือกซื้อในหุ้นพลังงาน ที่ดิน สื่อสาร จากที่ผ่านมาราคาหุ้นดังกล่าวปรับตัวลดลงต่ำกว่าพื้นฐาน และจากในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีนั้นจะเป็นช่วงที่หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด จะส่งให้มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มดังกล่าว โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 687 จุด แนวต้านที่ระดับ 700 จุด
**ลุ้นทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ
นางสาวจิติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่อของสหรัฐฯ ที่คาดว่าเลแมนบราเธอร์ จะมีผลขาดทุนสูงในไตรมาส3/51 นี้ และจากการที่ Freddie Mac และ Fannie Mae ไม่สามารถเพิ่มทุนได้ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และจากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศไทยที่เพิ่มความกังวลกับนักลงทุนมากขึ้น ประกอบกับความกังวลในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเรื่องการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งหากมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น โดยนักลงทุนจะเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ฯ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ จะต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หากมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม แต่หากปรับตัวลดลงจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงา โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 680-686 จุด แนวต้านที่ 696-700 จุด และแนะนำให้นักลงทุนซื้อขายรายวันน่าจะดีที่สุด เพราะช่วงนี้เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้น คือหากได้ผลกำไร 5% ควรขายออกมาก่อนลดความเสี่ยง
***ตลาดหุ้นผันผวนในกรอบแคบๆ
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยมีปัจจัยหลักจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) บวกกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวล จึงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ขณะที่ผลกระทบจากปัญหาในประเทศก็ยังเป็นเรื่องเดิม ๆ แม้ว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ประกาศออกมาส่วนใหญ่ ยังคงออกมาดี และบางบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ทำให้หนุนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนบ้าง แต่ตัวเลขการขายสุทธิในแต่ละวันระยะนี้พบว่าเป็นแรงขายของต่างชาติขาย
"ตลาดหุ้นช่วงนี้ยังคงผันผวนและแกว่งตัวแคบๆ เพื่อรอปัจจัยทางการเมือง ทั้งเรื่องการดำเนินคดีและตัดสินรัฐมนตรี 3 ราย และการไต่สวนชี้ขาดของศาลปกครอง กรณีหวยบนดินและอื่นๆ ที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่งคงต้องรอผลการตัดสินไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่แนวโน้มวันนี้มีแนวรับที่ 680-683 จุด และแนวต้านที่ 700-702 จุด"
***หุ้นพลังงานยังน่าลงทุน*
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้รูดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้า โดยตลอดวันดัชนีเคลื่อนไหวเพื่อรอดูสถานการณ์อยู่ในกรอบ 690 จุด เพียงแต่ขาดปัจจัยที่จะมากระตุ้น ส่วนการเมืองในคดียุบพรรคนั้นไม่มีผลต่อตลาด ถือเป็นเรื่องเก่าไปแล้ว
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงคือ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลง ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซบเซาตาม เพราะปัญหาซับไพรม์สหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกนานในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
นายวิวัฒน์ เตชะพูนผล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดในวันนี้ คาดว่าเปิดตลาดช่วงเช้าดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 685 จุด ก่อนจะดีดกลับในช่วงบ่ายที่ระดับ 695-698 จุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในระยะกลางและระยะสั้น และหุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ PTTAR และ BANPU ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์หน้า ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะปรับขึ้นมาที่ 108-120 เหรียญต่อบาเรล