นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วม ฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีที่ รัฐบาลพยายามเร่งผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 วาระรวด ว่า ตนไม่แน่ใจมีการตรวจสอบรัฐธรรมนูญหรือข้อกฎหมายดีพอหรือยัง เพราะว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 วาระนั้นไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ระบุชัดว่าการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องกระทำเป็น 3 วาระ เพราะเจตนารมณ์นั้นต้องการที่จะให้สมาชิกได้พิจารณาอย่างถ่องแท้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายแม่บท การแก้ไขมาตราใดมาตราหนึ่งจะมีผลผูกพันกับบทบัญญัติ ในมาตราอื่นๆ และ มีผลการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ในระดับองค์กรต่างๆ การใช้อำนาจและสิทธิเสรีภาพและการปฏิบัติของรัฐบาลในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
การออกมาแถลงเรื่องนี้ น่าเป็นห่วง เพราะกำลังจะเป็นตัวเพิ่มความขัดแย้งทางสังคมรอบใหม่ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญกำลังพิจารณาอยู่ อาจจะมีปัญหาเหมือนกันคือ ไม่สามารถนำรายงานเสนอเข้าสู่สภาได้ เพราะเป็นสมัยประชุมนิติบัญัติ ซึ่งจะต้องใช้เสียงยินยอมเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา แต่ถ้าทุกพรรคเห็นพ้องต้องกันก็จะต้องประสานไปยังวุฒิสภาว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร เพื่อบรรจุเป็นวาระของสภา เพื่อที่จะขอความเห็นชอบดังกล่าว ยืนยันว่าฝ่ายค้านไม่มีความจำเป็นเร่งรีบในการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นขอให้วิปรัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะออกให้ความเห็นหรือเสนอแนวทางนี้
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านยินดีที่จะมีการประชุมวิป และหารือกันในพรรคอีกครั้ง แต่เบื้องต้นถ้าเป็นรายงานที่ทุกพรรคเห็นว่าจำเป็นก็ยินดีที่จะพิจารณา เพียงแต่ประเด็นที่พรรคฝากคณะกรรมธิการพิจารณาไป ทราบว่าขณะนี้ยังไม่มีอนุกรรมาธิกรชุดใดออกไปสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นขั้นตอนสำคัญที่หายไป ตนไม่แน่ใจว่าการออกมาแถลงอย่างนี้ เป็นการยืนยันท่าทีของรัฐบาลหรือไม่ หากรัฐบาลยืนยันว่าจะต้องแก้ ตนเข้าใจว่า ธงของพรรคพลังประชาชนคือยืนที่เดิม คือ ม.309, ม.190 ขณะที่รายงานของ กรรมาธิการยังไม่ออกมา ดังนั้นหากยืนยันท่าทีแบบนี้ก็ยุ่ง เพราะการเคลื่อนไหวภายนอกก็คงจะรุนแรงขึ้น
นายสาทิตยกล่าวว่าฝ่ายค้านจับตาดูรัฐบาล เช่น การสร้างระเบิดควันด้วยการ แก้มาตรา 63 แล้วเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ล่าสุดมีการพูดถึงเมกะโปรเจกต์สุขภาพกว่า 8 หมื่นล้านบาท และเมกะโปรเจกต์เกี่ยวกับการคมนาคมที่มีตัวเลขโดยรวมมากกว่า 1ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นแผนการลงทุนระยะ 5 ปี ซึ่งฝ่ายค้านจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดโดยตรง โดยเฉพาะเมกะโปเจกต์ด้านสุขภาพ ที่น่าแปลกว่ากระทรวงสาธารณะสุขพึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐนตรีใหม่ แต่รมว.คลังกลับมาผลักดันเมกะโปรเจกต์สุขภาพกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่ยังไม่แน่นอนในด้านการเมือง การพูดในเรื่องผลทีมากมายขณะนี้ การตรวจสอบทั้งหลายเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายสาทิตย์กล่าวว่าทางหนึ่งคือมีธงต้องการจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่ในทางลึกรัฐบาลยังมีการผลักดันเรื่องอื่นๆ อย่างเงียบๆ จึงจะต้องมีการซักถามคณะกรรมาธิการงบประมาณฯว่าเรื่องนี้มีการติดตามหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่สภาวันที่ 3-4 ก.ย.ซึ่งมีหลายประเด็นที่มีความไม่ชอบมาพากล โดยในการปฏิวัติงบประมาณ วาระ 2-3 จะมีการหยิบยกมาอภิปรายด้วย เช่น กรณีการจัดซื้อจัดจ้างการใช้งบระมาณ ในสำนักตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งขณะนี้ข้อมูลอยู่แล้ว และอีกหลายกระทรวงที่ต้องหยิบขึ้นมาพูด
ที่มีกระแสข่าวว่าที่ว่าการเมืองไม่แน่นอน และมีโอกาสจัดตั้งพรรคใหม่โดยจะแตกไปหลายกลุ่ม เพราะเหตุนี้หรือไม่ ที่จะมีการผลักดันเมกะโปรเจกต์ หากมีการ แสวงหาผลประโยชน์จริง เม็ดเงินจำนวนมากเหล่านั้นมีคนกังวลว่าเกี่ยวข้องกับการตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ และมีการตั้งขอสังเกตก่อนหน้านี้ว่า มีการตั้งคณะกรรมการความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน หรือ (บีบีพี) ข้อมูลตรงนี้ กรรมาธิการวบประมาณกำลังดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อยู่
การออกมาแถลงเรื่องนี้ น่าเป็นห่วง เพราะกำลังจะเป็นตัวเพิ่มความขัดแย้งทางสังคมรอบใหม่ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมาธิการวิสามัญกำลังพิจารณาอยู่ อาจจะมีปัญหาเหมือนกันคือ ไม่สามารถนำรายงานเสนอเข้าสู่สภาได้ เพราะเป็นสมัยประชุมนิติบัญัติ ซึ่งจะต้องใช้เสียงยินยอมเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา แต่ถ้าทุกพรรคเห็นพ้องต้องกันก็จะต้องประสานไปยังวุฒิสภาว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร เพื่อบรรจุเป็นวาระของสภา เพื่อที่จะขอความเห็นชอบดังกล่าว ยืนยันว่าฝ่ายค้านไม่มีความจำเป็นเร่งรีบในการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้นขอให้วิปรัฐบาลพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะออกให้ความเห็นหรือเสนอแนวทางนี้
นายสาทิตย์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านยินดีที่จะมีการประชุมวิป และหารือกันในพรรคอีกครั้ง แต่เบื้องต้นถ้าเป็นรายงานที่ทุกพรรคเห็นว่าจำเป็นก็ยินดีที่จะพิจารณา เพียงแต่ประเด็นที่พรรคฝากคณะกรรมธิการพิจารณาไป ทราบว่าขณะนี้ยังไม่มีอนุกรรมาธิกรชุดใดออกไปสอบถามความคิดเห็นจากประชาชนอย่างจริงจัง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นขั้นตอนสำคัญที่หายไป ตนไม่แน่ใจว่าการออกมาแถลงอย่างนี้ เป็นการยืนยันท่าทีของรัฐบาลหรือไม่ หากรัฐบาลยืนยันว่าจะต้องแก้ ตนเข้าใจว่า ธงของพรรคพลังประชาชนคือยืนที่เดิม คือ ม.309, ม.190 ขณะที่รายงานของ กรรมาธิการยังไม่ออกมา ดังนั้นหากยืนยันท่าทีแบบนี้ก็ยุ่ง เพราะการเคลื่อนไหวภายนอกก็คงจะรุนแรงขึ้น
นายสาทิตยกล่าวว่าฝ่ายค้านจับตาดูรัฐบาล เช่น การสร้างระเบิดควันด้วยการ แก้มาตรา 63 แล้วเดินหน้าเมกะโปรเจกต์ล่าสุดมีการพูดถึงเมกะโปรเจกต์สุขภาพกว่า 8 หมื่นล้านบาท และเมกะโปรเจกต์เกี่ยวกับการคมนาคมที่มีตัวเลขโดยรวมมากกว่า 1ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นแผนการลงทุนระยะ 5 ปี ซึ่งฝ่ายค้านจะจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เข้าไปดูแลอย่างใกล้ชิดโดยตรง โดยเฉพาะเมกะโปเจกต์ด้านสุขภาพ ที่น่าแปลกว่ากระทรวงสาธารณะสุขพึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรัฐนตรีใหม่ แต่รมว.คลังกลับมาผลักดันเมกะโปรเจกต์สุขภาพกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่ยังไม่แน่นอนในด้านการเมือง การพูดในเรื่องผลทีมากมายขณะนี้ การตรวจสอบทั้งหลายเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายสาทิตย์กล่าวว่าทางหนึ่งคือมีธงต้องการจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่ในทางลึกรัฐบาลยังมีการผลักดันเรื่องอื่นๆ อย่างเงียบๆ จึงจะต้องมีการซักถามคณะกรรมาธิการงบประมาณฯว่าเรื่องนี้มีการติดตามหรือไม่ ซึ่งคาดว่าจะนำเข้าสู่สภาวันที่ 3-4 ก.ย.ซึ่งมีหลายประเด็นที่มีความไม่ชอบมาพากล โดยในการปฏิวัติงบประมาณ วาระ 2-3 จะมีการหยิบยกมาอภิปรายด้วย เช่น กรณีการจัดซื้อจัดจ้างการใช้งบระมาณ ในสำนักตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งขณะนี้ข้อมูลอยู่แล้ว และอีกหลายกระทรวงที่ต้องหยิบขึ้นมาพูด
ที่มีกระแสข่าวว่าที่ว่าการเมืองไม่แน่นอน และมีโอกาสจัดตั้งพรรคใหม่โดยจะแตกไปหลายกลุ่ม เพราะเหตุนี้หรือไม่ ที่จะมีการผลักดันเมกะโปรเจกต์ หากมีการ แสวงหาผลประโยชน์จริง เม็ดเงินจำนวนมากเหล่านั้นมีคนกังวลว่าเกี่ยวข้องกับการตั้งพรรคการเมืองใหม่หรือไม่ และมีการตั้งขอสังเกตก่อนหน้านี้ว่า มีการตั้งคณะกรรมการความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน หรือ (บีบีพี) ข้อมูลตรงนี้ กรรมาธิการวบประมาณกำลังดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้อยู่