xs
xsm
sm
md
lg

อนุฯ กกต.สรุปยุบ"พลังแม้ว"!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"พลังประชาชน" หนีเวรกรรมไม่พ้นถูกยุบพรรค อนุฯ สอบสวนสรุปให้ กกต.พิจารณาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดแล้ว ขณะที่ลิ่วล้อพลังแม้ว เตรียมเปลี่ยนสี ปรับเปลี่ยนหัวใหม่เป็น "พรรคเพื่อไทย" คุยยังเกาะกลุ่มกันติด "รณฤทธิชัย" ปั่นกระแสปั้นข้าวเหนียว รวมกลุ่ม ส.ส.อีสาน แต่ถูกมัชฌิมาฯ โต้ทันที ยันไม่ไปร่วมแก๊ง หากพรรคถูกยุบก็มีสำรองไว้แล้วเหมือนกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) เป็นวันสุดท้ายที่คณะอนุกรรมการพิจารณากรณียุบพรรคพลังประชาชนจะสรุปความเห็นก่อนที่จะเสนอต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อทำความเห็นเสนอต่อ กกต. ว่าควรยุบพรรคหรือไม่ โดยผลสรุปของคณะอนุกรรมการ เห็นว่า ควรส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ทั้งนี้เนื่องจากกกต.ได้เคยวางบรรทัดฐานในการพิจารณาคดียุบพรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ว่า กฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 103 ประกอบกฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 94 ตีความได้ว่า หาก กรรมการบริหารพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นในการกระทำ ก็จำเป็นต้องยื่นเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณายุบพรรค โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องความเกี่ยวข้อง หรือความมีอำนาจในพรรคการเมืองแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาถึงกรณีความเกี่ยวข้องระหว่างการกระทำทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรคในขณะนั้น กับความรู้เห็นของพรรคการเมือง ศาลฎีกา ก็ได้มีคำพิพากษาไว้ชัดเจนว่า การกระทำดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับพรรค และส่งผลประโยชน์ต่อพรรคอย่างชัดเจน ดังนั้น พรรคจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบกับการกระทำครั้งนี้

ทั้งนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอเอกสารประกอบการพิจารณา ให้กับนายทะเบียนพรรคการเมือง ซึ่งประกอบไปด้วย สำนวนใบแดง ของนายยงยุทธ ประกอบคำพิพากษาศาลฎีกา คำชี้แจงของนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะหัวหน้าพรรค และนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน ซึ่งอาจใช้เป็นหลักฐานในการส่งให้อัยการสูงสุดทำคำร้องส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคพลังประชาชนต่อไป
 
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจาคณะอนุกรรมการฯ ว่าที่ประชุมได้ข้อยุติแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้จะส่งเอกสารหลักฐานแก่ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยตรง เพื่อพิจารณาทำความเห็นเสนอต่อ กกต.เพื่อลงมติ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยทั้งนี้ก็จะขึ้นกับดุลพินิจของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าจะมีความเห็นอย่างไร

"มาร์ค" ไม่ห่วงเรื่องยุบพรรค

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ระบุว่า ให้จับตาดูให้ดีในวันที่ 15 ส.ค.นี้ อาจจะมีพรรคการเมืองอีกพรรคจะได้รับใบแดงว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคนยังเชื่อว่า มีประเด็นที่จะต่อสู้กันไปได้ การไปด่วนสรุปว่าทุกพรรคที่มีคำร้องจะต้องถูกยุบ หรือพรรคอื่นๆ ต้องถูกยุบตามมาก็ยังไกลเกินไป

อย่างไรก็ตาม เรายังยืนว่า ถ้ามีการทำผิดกฎหมาย ก็ต้องรับโทรตามกฎหมาย ส่วนที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครทราบ เพียงแต่ต้องดูการทำงานขององค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องต่อไป

ด้าน นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่รู้ที่นายบรรหารพูดหมายถึงอะไร การทำงานของ กกต.ไม่คำนึงถึงพรรคการเมือง และไม่ยื้อเวลา และการพูดดังกล่าวไม่ได้สร้างความกดดันให้กับ กกต. ในการพิจารณาสำนวนต่างๆ เพราะ กกต.พิจารณาตามพยานหลักฐานที่มี ไม่ได้พิจารณาจากกระแสสังคม

ส่วนการพิจารณาสำนวนคัดค้านผลการเลือกตั้งของนายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า อนุกรรมการสอบสวนฯ จะเชิญนายวิฑูรย์ มาสอบสวนเพิ่มเติม ในวันที่ 14 ส.ค. เวลา 16.00 น. หลังผู้ร้องจากพลังประชาชน นำพยานและหลักฐาน ที่เป็นวีซีดี มามอบให้ ซึ่งคาดว่าอนุกรรมการฯ น่าจะสรุปสำนวนได้ในเร็วๆนี้

ปชป.แจงอนุฯสอบใบแดง "วิทูรย์"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายวานนี้ นายศุภชัย ศรีหล้า นายวุฒิพงษ์ นามบุตร ส.ส. อุบลราชธานี เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ และนายวิทวัส พันธ์นิกุล ผู้สมัครส.ส. เขตเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมาชี้แจงต่ออนุกรรมการฯ กรณีถูกกล่าวหาว่าแจกคูปองเพื่อนำไปแลกบัตรชมภาพยนตร์ หรือนำไปขึ้นเงิน ในช่วงที่มีการปราศรัยในโรงหนังเนวาด้า จ.อุบลราชธานี โดยคดีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ นายวิฑูรย์ นามบุตร ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ และรองหัวหน้าพรรค และอาจจะส่งผลต่อการยุบพรรคในอนาคตได้

โดยนายศุภชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่ใช่การแจกคูปอง เพื่อแลกบัตรชมภาพยนตร์ หรือให้นำไปขึ้นเงินแต่อย่างใด แต่ภาพยนตร์ซึ่งฉายขณะปราศรัยนั้นเป็นประวัติผู้สมัครแต่ละคนสลับกับการปราศรัยถึงนโยบายพรรค

ส่วนการแจกบัตรชมภาพยนตร์นั้น ก็ได้แจกมาเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่ ปี 2518 เพราะเป็นธุรกิจของครอบครัว นายวิทวัส และได้หยุดแจกตั้งแต่ช่วงที่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง นอกจากนี้ ในส่วนของโรงหนังที่ใช้ในการแนะนำตัวผู้สมัคร ก็เป็นคนละส่วนกับที่ใช้ฉายภาพยนตร์แต่ อยู่ในบริเวณเดียวกันเท่านั้น

"เรื่องนี้ เป็นกระบวนการของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่กำลังอยู่ในช่วงการถูกยุบพรรคแต่ต้องการที่จะดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปอยู่ในกระบวนการยุบพรรคด้วย จึงนำข้อมูลที่ไม่จริงมาเป็นเหตุของการร้องคัดค้าน โดยเชื่อมโยงว่า นายวิฑูรย์ ในฐานะที่เป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่เบื้องหลัง ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ทำทุจริตและทำตามกรอบกฎหมาย และได้ชี้แจงต่อ กก.บห.พรรคเรียบร้อยแล้ว และทางพรรคก็ไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด"

พลังแม้วเปลี่ยนหัวเป็น "เพื่อไทย"

นายวัฒนา เซ่งไพเราะ ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ภาค กทม. พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า จากการประเมินกันแล้ว คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญคงจะตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนแน่นอน และหากพรรคโดนยุบ ส.ส.ของพรรคจะไปสมัครเข้าพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะในส่วนของ ส.ส.กทม. แต่ในส่วนของกลุ่มภาคอีสาน หรือ ส.ส.กลุ่มอื่นๆ จะไปตั้งพรรคใหม่ หรือไปเข้าพรรคใดนั้น ตนไม่ทราบ แต่เชื่อว่าหาก ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยเดิม หรือ ส.ส.พลังประชาชน ปัจจุบัน ไม่ว่าจะกลุ่มก๊วนใด หากหลุดไปอยู่พรรคอื่น คงไม่ได้รับเลือกกลับมาแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภาคอีสาน หรือภาคเหนือ

นายวัฒนา ยังกล่าวถึงกระแสความขัดแย้งของกลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรค โดยเฉพาะที่มีการโยงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เข้ามาเกี่ยวข้องว่า ตนไม่ได้เจอ และพูดคุยกับคุณหญิงสุดารัตน์ มานานเกือบเดือนแล้ว อีกทั้งอยากฝากไปบอก ส.ส.ในกลุ่มก๊วนต่างๆ ว่า อย่าหวาดระแวงมากนัก เดี๋ยวสุขภาพจิตจะเสียเปล่าๆ

เชื่อ "พลังแม้ว" ยังเกาะกลุ่มกันได้

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน กล่าวถึงปัญหาความแตกแยกในพรรคว่า แม้ว่ากลุ่มอีสานพัฒนาอาจจะตัดสินใจย้ายไปอยู่พรรคความหวังใหม่ แต่เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ขณะนี้ปัญหาแตกแยกในทุกกลุ่มเริ่มเบาบางลงแล้วโดยทุกคน เริ่มมองว่าปัญหาเกิดขึ้นจากจุดใด และนั่งพูดคุยกันว่าจะร่วมกันแก้ปัญหาอย่างไร

"พรรคพลังประชาชนก็เหมือนกับครอบครัวมีปัญหา สามีอาจแอบไปมีกิ๊ก ลูกมีปัญหาบ้าง แต่สุดท้ายปัญหาน่าจะเคลียร์ได้ แล้วกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง เนื่องจากสมาชิกทุกคนต่างต้องการให้พรรคก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม หากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร เพราะนายทะเบียนพรรคพลังประชาชนได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคสำรองไว้แล้ว 2 พรรค"

นายสมพงษ์ กล่าวว่า หากพรรคถูกยุบ จะต้องสมาชิกบางส่วนแตกไปอยู่กับพรรคอื่นๆบ้าง แต่เชื่อว่าส่วนใหญ่ที่เป็นพรรคไทยรักไทยเดิม จะยังอยู่รวมกันอีก

แผนผนึก ส.ส.อีสานมาอีกแล้ว

นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน จากกลุ่มบ้านริมน้ำ ของนายสุชาติ ตันเจริญ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงอนาคตทางการเมือง หากถูกยุบพรรค ซึ่งล่าสุดพรรคพลังประชาชน มีแนวคิดไปตั้งพรรคใหม่คือพรรคเพื่อไทย ว่า เท่าที่พูดคุยในพรรค กลุ่มส.ส.อีสานเห็นพ้องกันว่า จะต้องรวมกัน เหมือนที่เคยรวมกันในสมัยที่อยู่พรรคไทยรักไทย จึงจะเป็นหนทางที่สามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องชาวอีสานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะนโยบายเรื่องน้ำ และการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพง

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นนี้ได้คุยกับ ส.ส.พรรคมัฌชิมา พรรครวมใจไทยฯ ซึ่งต่างมีทิศทางเดียวกับ ส.ส.ในพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่จะไปอยู่ด้วยกัน หากพรรคพลังประชาชนตั้งพรรคใหม่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม นับจากนี้ไปก็ต้องประเมินสถานการณ์เป็นระยะๆ ก่อนที่จะตัดสินใจ

"อีสานต้องอยู่รวมกัน เพราะถ้าไม่รวมกันก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ทั้งในส่วนของ ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อแผ่นดิน เราไปด้วยกันหมด คือไปอยู่กับ ส.ส.ของพลังประชาชน ขณะที่ส.ส.อีสาน พรรคอื่น อย่างพรรครวมใจไทย และพรรคมัฌชิมาฯ ก็มีการพูดคุยกันมาตลอด เพราะเราต้องปั้นข้าวเหนียวให้ติดกัน ถึงจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายต่างๆให้สำเร็จได้ เหมือนที่เคยอยู่ในพรรคไทยรักไทย ตรงนั้นเราเห็นว่ามีความชัดเจน ทำงานได้ ก็อยากกลับไปจุดนั้น เพราะแม้พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ได้อยู่เมืองไทย แต่กระแสของพ.ต.ท.ทักษิณ จะดีกว่าเดิม เพราะชาวบ้านให้ความสงสารมากขึ้น" นายรณฤทธิชัย กล่าว

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เคยอยู่พรรคไทยรักไทยมาด้วยกัน มองความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชาชนอย่างไร นายรณฤทธิชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา ตามคติที่ว่า ยามศึกเราช่วยกันรบ ยามสงบเรารบกันเอง ผู้สื่อข่าวถามว่า มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะกลับมาลงสนามการเมืองอีกครั้ง นายรณฤทธิชัย กล่าวว่าพล.อ.ชวลิต เป็นคนดี มีคุณสมบัติที่มีความประนีประนอม เป็นอดีตนายกฯ ที่ไม่มีผลประโยชน์ ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาส แต่ส.ส.ในกลุ่มมองว่าหาก สภาและรัฐบาลอยู่ไม่ได้ เช่น นายสมัคร ลาออก หรือเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง รวมทั้งกรณีการยุบพรรค ภาวะอย่างนี้ต้องมีผู้นำที่มีความประนีประนอม เพราะผู้นำในประเทศไทย ไม่ใช่แค่มีความรู้ความสามารถ แต่ต้องมีบารมีด้วย

"สุพล" อ้างไม่ได้อยู่ในแก๊งออฟโฟร์

ด้านนายสุพล ฟองงาม รมช.มหาดไทย ส.ส.อุบลราชธานี พรรคพลังประชาชน ปฏิเสธว่า ตนไม่ได้อยู่ใน"แก๊งออฟ โฟร์" แต่อยู่ในกลุ่มพลังประชาชนกลุ่มเดียว ส่วนกรณีที่ถูกวิจารณ์ว่า เป็นคนนำนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ มาช่วยงานที่กระทรวงมหาดไทย เพราะได้รับคำสั่งจากนายเนวิน ชิดชอบ นั้น ยอมรับว่ารู้จักกับนายเนวิน และนายศักดิ์สยาม โดยนายศักดิสยาม เป็น ส.ส.รุ่นเดียวกัน และการที่นายศักดิ์สยาม มาช่วยงาน ก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ

มัชฌิมาฯ ยันไม่เข้าคอกพลังแม้ว

ด้านนายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคมัชฌิมาธิปไตย กล่าวปฏิเสธกรณีที่นายรณฤทธิชัย แอบอ้างว่า หากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ และมีการตั้งพรรคใหม่ ส.ส.อีสาน ในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดิน มัชฌิมาธิปไตย และพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา จะไปรวมอยู่ที่พรรคใหม่นั้น ว่า ตนได้รับมอบหมายจากกรรมการบริหารพรรคมัชฌิมาธิปไตย ให้มาชี้แจงโดยยืนยันว่า พรรคมัชฌิมาฯ ยังไม่มีแนวคิดที่จะไปรวมกับใคร เนื่องจากพรรคยังไม่ได้ถูกตัดสินให้ยุบพรรค และเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่ ส.ส.พรรคอื่นจะมาพูดเช่นนี้ อีกทั้งที่ผ่านมา ส.ส.ในพรรคก็ไม่เคยมีการประสานกับนายรณฤทธิชัย แต่อย่างใด ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้พรรคเสียหาย และประชาชนเข้าใจผิด ก็ขอให้นายรณฤทธิชัย รับผิดชอบคำพูดด้วย ยืนยันว่าการไปรวมกับพรรคอื่น ไม่เป็นความจริง

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการประสานกันระหว่าง ส.ส.ด้วยกันเอง นายเกียรติกร กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นวิปรัฐบาล หาก ส.ส.ในพรรคจะประสานงานเรื่องอะไร ต้องผ่านตนทุกครั้ง ยืนยันว่าพรรคมัชฌิมาฯไม่รู้เรื่องดังกล่าว ในส่วนของหัวหน้าพรรคก็ยังไม่มีแนวคิดดังกล่าว และ ส.ส. ทั้ง 11 คนของพรรคยังปรองดอง มีอะไรก็ปรึกษาหารือกันตลอดเวลา มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ถ้าพรรคถูกยุบ ก็ต้องตั้งพรรคใหม่และไปด้วยกัน ยืนยันว่าไม่รวมกับพรรคอื่นแน่นอน

ต่อข้อถามว่ามีการตั้งพรรคสำรองไว้หรือไม่ นายเกียรติกร กล่าวว่า ทุกพรรคต้องเตรียมไว้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ และพรรคใหม่ที่เตรียมไว้ อาจจะมีสมาชิกมากขึ้นด้วยซ้ำ
กำลังโหลดความคิดเห็น