‘ขี้ขลาด หวาดกลัว โกหก โกรธแค้น ข่มขู่ และอาฆาต’
หลากหลายอารมณ์ที่สะท้อนผ่านลายมือที่เขียนขึ้นภายใต้แถลงการณ์เรื่องการไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่ออธิบายเหตุผลของการหลบหนีคดีไปอังกฤษพร้อมภริยา พจมาน ชินวัตร
ความจริงการหลบหนีคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ และพจมานไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้สังคมเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวปล่อยออกมาจากวงคนใกล้ชิดของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา และยิ่งพจมานถูกตัดสินจำคุก 3 ปีในคดีหลบเลี่ยงภาษี ทุกอย่างก็ตัดสินใจง่ายขึ้น
ทว่า ถ้อยแถลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ดังกล่าว คือ สิ่งที่คนคิดไม่ถึง ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเผยตัวตนอย่างล่อนจ้อนได้ขนาดนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คำในแถลงการณ์มันบ่งบอกและเฉลยทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของมันเองไปแล้ว
ประการสำคัญที่รับกันไม่ได้มากๆ คือ เพียงเพื่อหาความชอบธรรมให้ตนเองและครอบครัวแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง อุปมาไม่ต่างจากคน ‘กินบนเรือนขี้บนหลังคา’!!
การโจมตีสถาบันศาลด้วยคำพูดที่ว่า “…การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้ระบบ 2 มาตรฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจนทำให้ผมและครอบครัวพร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความเป็นธรรมก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับการที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือสั่งสมมาเป็นเวลานานต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลางซึ่งเป็นผลเสียหายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง”
และอีกครั้งกับคำว่า “…ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัย เดินทางไปไหนมาไหนจึงต้องใช้รถกันกระสุน”
คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการสื่อให้เห็นว่า เขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง และ ถูกปองร้ายหมายชีวิต เอาประเทศไทยที่ที่เป็น ‘บ้าน’ ของตัวเองและครอบครัวมาละเลงสร้างภาพชักจูงให้ใครต่อใคร โดยเฉพาะต่างชาติเชื่อว่า ไทยช่างเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้อารยะจริงๆ
ว่าไปแล้วมุกนี้พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้และได้ผลมาแล้วสมัยเมื่อตอนเขาหนีในครั้งแรก หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ระดับโลกแห่งหนึ่ง นักล็อบบี้ยิสต์ค่าตัวแพงอีกจำนวนหนึ่งทำงานให้อย่างลับๆ ขยายแผล ‘รัฐประหาร’ ซึ่งเป็นปฎิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยในสายตานานาประเทศ ออดอ้อนเรียกคะแนนสงสารโดยกลบเกลื่อนไม่พูดถึงเงื่อนไขรัฐประหาร ความเลวร้ายของระบอบทักษิณ
บริษัทพีอาร์รายนั้นซึ่งมีสายสัมพันธ์กับสำนักข่าวระดับโลกอยู่หลายแห่งก็จัดแจงกระจายข่าย ส่งบทความ สร้างโอกาสให้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีพื้นที่แก้ตัวแก้ต่างหลายครั้งหลายคราจนโน้มน้าวสื่อต่างชาติที่ไม่รู้เรื่องเมืองไทยให้วิพากษ์วิจารณ์บ้านเราอย่างเสียๆ หายๆ
พ.ต.ท.ทักษิณ คงลืมไปว่า การหลบหนีครั้งแรก และครั้งนี้แตกต่างกัน
หนึ่งนั้น เวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้สื่อพวกนั้นเห็นแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โกหกหมดทุกเรื่อง
ยกตัวอย่างเช่น ‘การเมือง’ สิ่งที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจมากที่สุดขณะนั้น เขาเคยบอกว่า... “ผมได้ชี้แจงหลายครั้งแล้ว และขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่า ผมไม่มีความปรารถนาจะกลับเข้าไปสู่เวทีการเมืองอีกต่อไป” (จากบทความเรื่อง “การกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย” : “To Return to a Democratic Thailand” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Asian Wall Street Journal ฉบับวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550) แต่หลังจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ทุกคนก็ย่อมทราบว่า เขาคือผู้บงการอยู่หลังฉากพรรคพลังประชาชน และรัฐบาลหุ่นเชิดปัจจุบัน!
ขณะที่ประเด็นข้อครหาจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นศัตรูทางการเมือง และทหารที่ปฎิวัติเขา พ.ต.ท.ทักษิณใช้โอกาสการกลับมาประเทศไทยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 และแถลงอย่างเป็นทางการต่อมา ว่า จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองด้วยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในทุกๆ คดีที่ถูกกล่าวหาก็ไม่จริง เมื่อปรากฏว่า แค่เพียงเริ่มต้นเขาก็หนีเสียแล้ว
ข้อสอง ระหว่างผู้ต้องหาหลบหนีคดีกับคนที่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยรัฐประหาร สถานะมันต่างกันมาก ไม่ว่าพีอาร์จะเก่งแค่ไหน สื่อต่างชาติสำนักไหนคงไม่โง่พอที่จะหลงคารมพ.ต.ท.ทักษิณ อีก เพราะปัจจัยพื้นฐานและการรับรู้ข่าวสารนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าในปี 2549
ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เลิกคิดไปได้เลยจะใช้ลูกไม้เก่าๆ ประดิษฐ์ถ้อยคำที่ฟังดูชวนให้น่าสงสาร เช่น “บกพร่องโดยสุจริต” หรือ “ผมถูกกลั่นแกล้ง” หรือคิดมุกกลับมาครั้งหน้าจะก้มกราบพื้นถนนต่อหน้ากล้องที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ตรงไหนดี
วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวแทนที่จะใช้เวลาเดินชอปปิ้งกลางกรุงลอนดอนให้ช่างภาพที่ว่าจ้างมาถ่ายภาพ สร้างภาพว่ายังสุขกายสบายใจกันดีหลอกตัวเองไปวันๆ ทั้งที่ข้างในใจเต็มไปด้วยเคียดแค้นโกรธขึ้งรอแต่วันของตัวเองจะมาถึง และก่อนที่จะกลายเป็น ‘ผู้ร้ายข้ามแดน’ สมบูรณ์แบบควรใช้เวลานี้ คิดและไตร่ตรองสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปในอดีต พร้อมๆ กับสัจธรรมของชีวิตดีกว่าหรือไม่
สัจธรรมของชีวิตที่ว่า คนเราหนีอะไร หนีได้ทุกอย่าง แต่ย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น!
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th
หลากหลายอารมณ์ที่สะท้อนผ่านลายมือที่เขียนขึ้นภายใต้แถลงการณ์เรื่องการไม่ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่ออธิบายเหตุผลของการหลบหนีคดีไปอังกฤษพร้อมภริยา พจมาน ชินวัตร
ความจริงการหลบหนีคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ และพจมานไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้สังคมเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวปล่อยออกมาจากวงคนใกล้ชิดของทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา และยิ่งพจมานถูกตัดสินจำคุก 3 ปีในคดีหลบเลี่ยงภาษี ทุกอย่างก็ตัดสินใจง่ายขึ้น
ทว่า ถ้อยแถลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ดังกล่าว คือ สิ่งที่คนคิดไม่ถึง ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเผยตัวตนอย่างล่อนจ้อนได้ขนาดนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คำในแถลงการณ์มันบ่งบอกและเฉลยทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวของมันเองไปแล้ว
ประการสำคัญที่รับกันไม่ได้มากๆ คือ เพียงเพื่อหาความชอบธรรมให้ตนเองและครอบครัวแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง อุปมาไม่ต่างจากคน ‘กินบนเรือนขี้บนหลังคา’!!
การโจมตีสถาบันศาลด้วยคำพูดที่ว่า “…การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และการใช้ระบบ 2 มาตรฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจนทำให้ผมและครอบครัวพร้อมด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับความเป็นธรรมก็นับว่าหนักหนาแล้ว แต่ยังเทียบไม่ได้กับการที่ระบบกระบวนการยุติธรรมของประเทศ และองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติ มีความน่าเชื่อถือสั่งสมมาเป็นเวลานานต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลางซึ่งเป็นผลเสียหายต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง”
และอีกครั้งกับคำว่า “…ผมได้รับข่าวสารตลอดเวลาว่า ชีวิตของผมไม่ปลอดภัย เดินทางไปไหนมาไหนจึงต้องใช้รถกันกระสุน”
คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการสื่อให้เห็นว่า เขาถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง และ ถูกปองร้ายหมายชีวิต เอาประเทศไทยที่ที่เป็น ‘บ้าน’ ของตัวเองและครอบครัวมาละเลงสร้างภาพชักจูงให้ใครต่อใคร โดยเฉพาะต่างชาติเชื่อว่า ไทยช่างเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้อารยะจริงๆ
ว่าไปแล้วมุกนี้พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้และได้ผลมาแล้วสมัยเมื่อตอนเขาหนีในครั้งแรก หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ระดับโลกแห่งหนึ่ง นักล็อบบี้ยิสต์ค่าตัวแพงอีกจำนวนหนึ่งทำงานให้อย่างลับๆ ขยายแผล ‘รัฐประหาร’ ซึ่งเป็นปฎิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยในสายตานานาประเทศ ออดอ้อนเรียกคะแนนสงสารโดยกลบเกลื่อนไม่พูดถึงเงื่อนไขรัฐประหาร ความเลวร้ายของระบอบทักษิณ
บริษัทพีอาร์รายนั้นซึ่งมีสายสัมพันธ์กับสำนักข่าวระดับโลกอยู่หลายแห่งก็จัดแจงกระจายข่าย ส่งบทความ สร้างโอกาสให้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีพื้นที่แก้ตัวแก้ต่างหลายครั้งหลายคราจนโน้มน้าวสื่อต่างชาติที่ไม่รู้เรื่องเมืองไทยให้วิพากษ์วิจารณ์บ้านเราอย่างเสียๆ หายๆ
พ.ต.ท.ทักษิณ คงลืมไปว่า การหลบหนีครั้งแรก และครั้งนี้แตกต่างกัน
หนึ่งนั้น เวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้สื่อพวกนั้นเห็นแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โกหกหมดทุกเรื่อง
ยกตัวอย่างเช่น ‘การเมือง’ สิ่งที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจมากที่สุดขณะนั้น เขาเคยบอกว่า... “ผมได้ชี้แจงหลายครั้งแล้ว และขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่า ผมไม่มีความปรารถนาจะกลับเข้าไปสู่เวทีการเมืองอีกต่อไป” (จากบทความเรื่อง “การกลับคืนสู่ระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย” : “To Return to a Democratic Thailand” ของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ The Asian Wall Street Journal ฉบับวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2550) แต่หลังจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ทุกคนก็ย่อมทราบว่า เขาคือผู้บงการอยู่หลังฉากพรรคพลังประชาชน และรัฐบาลหุ่นเชิดปัจจุบัน!
ขณะที่ประเด็นข้อครหาจากคนที่เขาเรียกว่าเป็นศัตรูทางการเมือง และทหารที่ปฎิวัติเขา พ.ต.ท.ทักษิณใช้โอกาสการกลับมาประเทศไทยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 และแถลงอย่างเป็นทางการต่อมา ว่า จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองด้วยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในทุกๆ คดีที่ถูกกล่าวหาก็ไม่จริง เมื่อปรากฏว่า แค่เพียงเริ่มต้นเขาก็หนีเสียแล้ว
ข้อสอง ระหว่างผู้ต้องหาหลบหนีคดีกับคนที่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองโดยรัฐประหาร สถานะมันต่างกันมาก ไม่ว่าพีอาร์จะเก่งแค่ไหน สื่อต่างชาติสำนักไหนคงไม่โง่พอที่จะหลงคารมพ.ต.ท.ทักษิณ อีก เพราะปัจจัยพื้นฐานและการรับรู้ข่าวสารนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าในปี 2549
ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เลิกคิดไปได้เลยจะใช้ลูกไม้เก่าๆ ประดิษฐ์ถ้อยคำที่ฟังดูชวนให้น่าสงสาร เช่น “บกพร่องโดยสุจริต” หรือ “ผมถูกกลั่นแกล้ง” หรือคิดมุกกลับมาครั้งหน้าจะก้มกราบพื้นถนนต่อหน้ากล้องที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ตรงไหนดี
วันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวแทนที่จะใช้เวลาเดินชอปปิ้งกลางกรุงลอนดอนให้ช่างภาพที่ว่าจ้างมาถ่ายภาพ สร้างภาพว่ายังสุขกายสบายใจกันดีหลอกตัวเองไปวันๆ ทั้งที่ข้างในใจเต็มไปด้วยเคียดแค้นโกรธขึ้งรอแต่วันของตัวเองจะมาถึง และก่อนที่จะกลายเป็น ‘ผู้ร้ายข้ามแดน’ สมบูรณ์แบบควรใช้เวลานี้ คิดและไตร่ตรองสิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปในอดีต พร้อมๆ กับสัจธรรมของชีวิตดีกว่าหรือไม่
สัจธรรมของชีวิตที่ว่า คนเราหนีอะไร หนีได้ทุกอย่าง แต่ย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น!
ท่านผู้อ่านสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มเติมได้ที่ เอ็มบล็อก http://mblog.manager.co.th/suwitcha67 หรือ E-mail suwitcha@manager.co.th