ในคำสอนของพุทธศาสนา ได้แบ่งคำสอนในส่วนที่ว่าด้วยธรรมออกเป็น 3 ฝ่าย คือ
1. ฝ่ายที่เป็นกุศลหรือฝ่ายดี เช่น เมตตา กรุณา เป็นต้น
2. ฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายชั่ว เช่น ความโลภ ความโกรธ และความหลง เป็นต้น
3. ฝ่ายที่เป็นอัพยากฤต คือ กลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว เป็นเพียงอากัปกิริยา เช่น การคิดหรือการทำที่มิได้มีมูลเหตุทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลมาครอบงำจิตใจ
โดยนัยแห่งการแบ่งธรรมออกเป็น 3 ฝ่ายนี้เองทำให้บุคคลถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ในทำนองเดียวกับพบผลของการกระทำ ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ดังต่อไปนี้
1. เมื่อใดก็ตามที่บุคคลคิด ทำ หรือพูด โดยมีธรรมฝ่ายกุศลเป็นเหตุปัจจัยบงการให้เป็นไป ก็เป็นคนคิดดี ทำดี และพูดดี
2. เมื่อใดก็ตามที่บุคคลคิด ทำ หรือพูดโดยมีธรรมฝ่ายอกุศลเป็นเหตุปัจจัยบงการให้เป็นไป ก็เป็นคนคิดไม่ดี ทำไม่ดี และพูดไม่ดี
3. เมื่อใดบุคคลคิด ทำ หรือพูดโดยไม่มีเหตุปัจจัยทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดีมาเป็นเหตุปัจจัยคอยบงการ เป็นเพียงสักว่าคิด สักว่าทำ สักว่าพูด ก็เป็นคนกลางๆ ยังไม่ดี และไม่ชั่ว
แต่การที่ว่าคนจะเป็นกลางๆ อยู่ได้นั้น เพียงชั่วขณะจิตคือชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นจะยาวนานไม่ได้ จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเรานั่งสมาธิโดยการสะกดจิตให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง โดยที่ฝักใฝ่ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ในภาวะจิตเช่นนี้เรียกได้ว่าจิตเป็นอัพยากฤต คือไม่เป็นทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว
แต่ในความเป็นจริงที่ปุถุชนคนมากด้วยกิเลสต้องอยู่กับสิ่งยั่วเย้าทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล และอกุศลแล้ว จิตคนจะเป็นกลางๆ อยู่ได้ไม่นาน แต่จะเอนเอียงเข้าไปอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ในโลกนี้คนจะเป็นคนกลางๆ ไม่ได้ แต่จะต้องจัดอยู่ในฝ่ายดีหรือฝ่ายเลว โดยอนุมานจากผลของการกระทำส่วนใหญ่กับส่วนน้อยเทียบเคียงกันดังต่อไปนี้
1. ถ้าบุคคลใดคิด ทำ และพูดด้วยอาศัยเหตุปัจจัยฝ่ายกุศลธรรมส่วนใหญ่ และคิด ทำ และพูดโดยอาศัยเหตุปัจจัยแห่งอกุศลธรรมเป็นส่วนน้อยก็จัดเป็นคนดี
2. ในทางกลับกัน ถ้าบุคคลใดคิด ทำ และพูดด้วยอาศัยเหตุปัจจัยฝ่ายอกุศลธรรมเป็นส่วนใหญ่ และคิด ทำ และพูดด้วยอาศัยเหตุปัจจัยฝ่ายกุศลธรรมเป็นส่วนน้อย ก็จัดเป็นคนเลว คนไม่ดี
โดยสรุปง่ายๆ ก็คือ คนดี หมายถึง คนที่ทำดีมากและทำเลวน้อย ส่วนคนไม่ดี ก็ควรบงการแบ่งแยกในลักษณะดังกล่าวนี้มาเป็นเงื่อนไขในการพัฒนาประเทศ ทั้งๆ ที่โดยความจริงแล้ว การแบ่งแยกของบุคคลในสังคมโดยอาศัยผลของการกระทำที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นและมีอยู่ โดยกฎเกณฑ์แห่งศีลธรรมและจริยธรรมที่สังคมกำหนดขึ้น และถือปฏิบัติกันมายาวนานจนกลายเป็นกติกาทางสังคมไปแล้ว
ยิ่งกว่านี้ ยังมีการเรียกร้องให้ผู้คนในสังคมที่แบ่งกลุ่มกันหันหน้าเข้าหากัน ด้วยวาทะที่ว่าให้สมานฉันท์โดยไม่ได้ดูเหตุปัจจัยแห่งการแบ่งแยก ตลอดไปถึงความเป็นไปได้ในการให้คนดีทำชั่วมากและทำดีน้อยนั่นเอง
ส่วนคนที่จะไม่ทำชั่วเลยนั้นจะมีได้ก็คือ ผู้ที่หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลเป็นตัวผลักดันเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือจะมีคนที่ว่านี้ได้ก็จัดอยู่ในประเภทพระอริยบุคคลนั่นเอง จะไม่มีอยู่ในโลกแห่งโลกียชนคนมีกิเลสอย่างเราๆ ท่านๆ
ถึงแม้กระนั้นก็ยังมีบุคคลบางคนบางกลุ่มพยายามที่นำการแบ่งแยกบุคคลมาเป็นเงื่อนไขในการแสวงหาอำนาจในทางการเมือง การปกครอง โดยการประมาณการแบ่งแยกระหว่างคนดีกับคนเลว คนผิดกับคนถูก ว่าเป็นการทำให้สังคมไม่สงบสุข และที่ยิ่งกว่านี้ ได้ทำการแบ่งคนดีกับคนเลวรวมกลุ่มกันว่าเป็นไปได้หรือไม่
ตัวอย่างของบุคคลที่ออกมาเรียกร้องในลักษณะนี้ที่สามารถอ้างอิงได้อย่างเป็นรูปธรรมในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เห็นจะไม่มีใครมีความชัดเจนเท่ากับนายสมัคร สุนทรเวช ที่ปรากฏเป็นข่าวในทางสื่อที่ว่าจะมีการจัดงาน 100 กว่าวันติดต่อกันเพื่อให้มีการสลายกลุ่มชนที่แตกแยกกัน ด้วยเหตุปัจจัยอันเป็นจุดเริ่มต้น และยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่างกัน ถึงแม้นายสมัครจะไม่พูดชัดเจนว่า กลุ่มไหนและใครเป็นแกนนำของแต่ละกลุ่ม แต่ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงคน 2 กลุ่มดังต่อไปนี้
1. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมกันอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ เพื่อขับไล่รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ด้วยข้อหาที่ว่าปกครองประเทศไม่เป็นธรรม และรับใช้กลุ่มอำนาจเก่าที่กำลังตกเป็นจำเลยทั้งของกระบวนการยุติธรรม และกระบวนการทางสังคมในข้อหาทุจริต คอร์รัปชัน
2. กลุ่มที่ทำหน้าที่ปกป้องกลุ่มอำนาจเก่าให้รอดพ้นจากการตกเป็นจำเลยสังคม แม้กระทั่งจำเลยของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีทั้งในรูปของกระบวนการจัดตั้งโดยการจ้างวาน และให้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ
การแบ่งแยกของคน 2 กลุ่มนี้ ถ้าดูจากมูลเหตุแห่งการแบ่งแยกแล้ว ก็เข้าทำนองเดียวกับการแบ่งธรรมออกเป็นฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศลอย่างชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีเหตุผลอันใดที่ผู้นำรัฐบาลอย่างนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารจัดการประเทศเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมโดยยึดความถูกต้องและเป็นธรรม จะให้คน 2 กลุ่มเลิกแบ่งแยกโดยที่ไม่ให้ความเป็นธรรมว่าฝ่ายใดผิด และฝ่ายใดถูกแล้วให้ฝ่ายที่ผิดได้รับโทษตามกฎหมายของบ้านเมือง และในขณะเดียวกันให้การยกย่องสรรเสริญฝ่ายที่ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในฐานะเป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่จะต้องรักษาความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายในสังคมโดยไม่เลือกเขาเลือกเรา
อีกประการหนึ่ง การออกมาเรียกร้องให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างคน 2 กลุ่มนั้น สิ่งแรกที่จะต้องกระทำก่อนมีการเรียกร้องจะต้องถามตนเองก่อนว่าจะให้ใครสมานฉันท์กับใคร คนดีกับคนดี คนเลวกับคนเลว หรือคนดีกับคนเลว ถ้าให้คนดีกับคนดีหรือแม้กระทั่งคนเลวกับคนเลวคงไม่ยาก เพราะมีความเหมือนกันเข้าทำนองนกสีเดียวกันเข้าฝูงกันได้
แต่ถ้าให้คนดีสมานฉันท์กับคนเลวก็คงจะทำได้ยาก เพราะมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของความคิด และรูปแบบของจริยธรรม
อย่าว่าให้ 2 กลุ่มมารวมกันเลย แค่ให้ฝ่ายที่ถูกต้องวางเฉยโดยไม่ต่อต้านฝ่ายที่ไม่ถูกต้องก็ทำได้ยาก เพราะโดยจิตสำนึกของคนที่ต้องการเห็นความถูกต้องและเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม ก็ทนดูพฤติกรรมของฝ่ายตรงกันข้ามได้ยากอยู่แล้ว
จากนัยการแบ่งทั้งในแง่ของธรรมและบุคคลที่อาศัยธรรม โดยการแบ่งจะเห็นได้ว่าถ้าจะให้สังคมไทยยุติความขัดแย้งที่เป็นอยู่ลงได้ ก็ควรอย่างยิ่งที่องค์กรที่มีหน้าที่ในการรักษากฎหมาย และจรรโลงศีลธรรม จริยธรรม อันได้แก่ ศาล และศาสนารับหน้าที่ไปดำเนินการ โดยที่ฝ่ายอื่นใดแม้กระทั่งฝ่ายบริหารไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายจะดีที่สุด
1. ฝ่ายที่เป็นกุศลหรือฝ่ายดี เช่น เมตตา กรุณา เป็นต้น
2. ฝ่ายอกุศลหรือฝ่ายชั่ว เช่น ความโลภ ความโกรธ และความหลง เป็นต้น
3. ฝ่ายที่เป็นอัพยากฤต คือ กลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว เป็นเพียงอากัปกิริยา เช่น การคิดหรือการทำที่มิได้มีมูลเหตุทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลมาครอบงำจิตใจ
โดยนัยแห่งการแบ่งธรรมออกเป็น 3 ฝ่ายนี้เองทำให้บุคคลถูกแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ในทำนองเดียวกับพบผลของการกระทำ ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ดังต่อไปนี้
1. เมื่อใดก็ตามที่บุคคลคิด ทำ หรือพูด โดยมีธรรมฝ่ายกุศลเป็นเหตุปัจจัยบงการให้เป็นไป ก็เป็นคนคิดดี ทำดี และพูดดี
2. เมื่อใดก็ตามที่บุคคลคิด ทำ หรือพูดโดยมีธรรมฝ่ายอกุศลเป็นเหตุปัจจัยบงการให้เป็นไป ก็เป็นคนคิดไม่ดี ทำไม่ดี และพูดไม่ดี
3. เมื่อใดบุคคลคิด ทำ หรือพูดโดยไม่มีเหตุปัจจัยทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดีมาเป็นเหตุปัจจัยคอยบงการ เป็นเพียงสักว่าคิด สักว่าทำ สักว่าพูด ก็เป็นคนกลางๆ ยังไม่ดี และไม่ชั่ว
แต่การที่ว่าคนจะเป็นกลางๆ อยู่ได้นั้น เพียงชั่วขณะจิตคือชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นจะยาวนานไม่ได้ จะเห็นได้ชัดเจนเมื่อเรานั่งสมาธิโดยการสะกดจิตให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง โดยที่ฝักใฝ่ทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ในภาวะจิตเช่นนี้เรียกได้ว่าจิตเป็นอัพยากฤต คือไม่เป็นทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่ว
แต่ในความเป็นจริงที่ปุถุชนคนมากด้วยกิเลสต้องอยู่กับสิ่งยั่วเย้าทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล และอกุศลแล้ว จิตคนจะเป็นกลางๆ อยู่ได้ไม่นาน แต่จะเอนเอียงเข้าไปอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ในโลกนี้คนจะเป็นคนกลางๆ ไม่ได้ แต่จะต้องจัดอยู่ในฝ่ายดีหรือฝ่ายเลว โดยอนุมานจากผลของการกระทำส่วนใหญ่กับส่วนน้อยเทียบเคียงกันดังต่อไปนี้
1. ถ้าบุคคลใดคิด ทำ และพูดด้วยอาศัยเหตุปัจจัยฝ่ายกุศลธรรมส่วนใหญ่ และคิด ทำ และพูดโดยอาศัยเหตุปัจจัยแห่งอกุศลธรรมเป็นส่วนน้อยก็จัดเป็นคนดี
2. ในทางกลับกัน ถ้าบุคคลใดคิด ทำ และพูดด้วยอาศัยเหตุปัจจัยฝ่ายอกุศลธรรมเป็นส่วนใหญ่ และคิด ทำ และพูดด้วยอาศัยเหตุปัจจัยฝ่ายกุศลธรรมเป็นส่วนน้อย ก็จัดเป็นคนเลว คนไม่ดี
โดยสรุปง่ายๆ ก็คือ คนดี หมายถึง คนที่ทำดีมากและทำเลวน้อย ส่วนคนไม่ดี ก็ควรบงการแบ่งแยกในลักษณะดังกล่าวนี้มาเป็นเงื่อนไขในการพัฒนาประเทศ ทั้งๆ ที่โดยความจริงแล้ว การแบ่งแยกของบุคคลในสังคมโดยอาศัยผลของการกระทำที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นและมีอยู่ โดยกฎเกณฑ์แห่งศีลธรรมและจริยธรรมที่สังคมกำหนดขึ้น และถือปฏิบัติกันมายาวนานจนกลายเป็นกติกาทางสังคมไปแล้ว
ยิ่งกว่านี้ ยังมีการเรียกร้องให้ผู้คนในสังคมที่แบ่งกลุ่มกันหันหน้าเข้าหากัน ด้วยวาทะที่ว่าให้สมานฉันท์โดยไม่ได้ดูเหตุปัจจัยแห่งการแบ่งแยก ตลอดไปถึงความเป็นไปได้ในการให้คนดีทำชั่วมากและทำดีน้อยนั่นเอง
ส่วนคนที่จะไม่ทำชั่วเลยนั้นจะมีได้ก็คือ ผู้ที่หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลเป็นตัวผลักดันเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือจะมีคนที่ว่านี้ได้ก็จัดอยู่ในประเภทพระอริยบุคคลนั่นเอง จะไม่มีอยู่ในโลกแห่งโลกียชนคนมีกิเลสอย่างเราๆ ท่านๆ
ถึงแม้กระนั้นก็ยังมีบุคคลบางคนบางกลุ่มพยายามที่นำการแบ่งแยกบุคคลมาเป็นเงื่อนไขในการแสวงหาอำนาจในทางการเมือง การปกครอง โดยการประมาณการแบ่งแยกระหว่างคนดีกับคนเลว คนผิดกับคนถูก ว่าเป็นการทำให้สังคมไม่สงบสุข และที่ยิ่งกว่านี้ ได้ทำการแบ่งคนดีกับคนเลวรวมกลุ่มกันว่าเป็นไปได้หรือไม่
ตัวอย่างของบุคคลที่ออกมาเรียกร้องในลักษณะนี้ที่สามารถอ้างอิงได้อย่างเป็นรูปธรรมในสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เห็นจะไม่มีใครมีความชัดเจนเท่ากับนายสมัคร สุนทรเวช ที่ปรากฏเป็นข่าวในทางสื่อที่ว่าจะมีการจัดงาน 100 กว่าวันติดต่อกันเพื่อให้มีการสลายกลุ่มชนที่แตกแยกกัน ด้วยเหตุปัจจัยอันเป็นจุดเริ่มต้น และยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่างกัน ถึงแม้นายสมัครจะไม่พูดชัดเจนว่า กลุ่มไหนและใครเป็นแกนนำของแต่ละกลุ่ม แต่ผู้เขียนเชื่อว่าท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟังก็เข้าใจได้ว่าหมายถึงคน 2 กลุ่มดังต่อไปนี้
1. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมกันอยู่ที่เชิงสะพานมัฆวานฯ เพื่อขับไล่รัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ด้วยข้อหาที่ว่าปกครองประเทศไม่เป็นธรรม และรับใช้กลุ่มอำนาจเก่าที่กำลังตกเป็นจำเลยทั้งของกระบวนการยุติธรรม และกระบวนการทางสังคมในข้อหาทุจริต คอร์รัปชัน
2. กลุ่มที่ทำหน้าที่ปกป้องกลุ่มอำนาจเก่าให้รอดพ้นจากการตกเป็นจำเลยสังคม แม้กระทั่งจำเลยของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีทั้งในรูปของกระบวนการจัดตั้งโดยการจ้างวาน และให้ผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ
การแบ่งแยกของคน 2 กลุ่มนี้ ถ้าดูจากมูลเหตุแห่งการแบ่งแยกแล้ว ก็เข้าทำนองเดียวกับการแบ่งธรรมออกเป็นฝ่ายกุศลกับฝ่ายอกุศลอย่างชัดเจน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีเหตุผลอันใดที่ผู้นำรัฐบาลอย่างนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารจัดการประเทศเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมโดยยึดความถูกต้องและเป็นธรรม จะให้คน 2 กลุ่มเลิกแบ่งแยกโดยที่ไม่ให้ความเป็นธรรมว่าฝ่ายใดผิด และฝ่ายใดถูกแล้วให้ฝ่ายที่ผิดได้รับโทษตามกฎหมายของบ้านเมือง และในขณะเดียวกันให้การยกย่องสรรเสริญฝ่ายที่ต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในฐานะเป็นผู้นำฝ่ายบริหารที่จะต้องรักษาความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายในสังคมโดยไม่เลือกเขาเลือกเรา
อีกประการหนึ่ง การออกมาเรียกร้องให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างคน 2 กลุ่มนั้น สิ่งแรกที่จะต้องกระทำก่อนมีการเรียกร้องจะต้องถามตนเองก่อนว่าจะให้ใครสมานฉันท์กับใคร คนดีกับคนดี คนเลวกับคนเลว หรือคนดีกับคนเลว ถ้าให้คนดีกับคนดีหรือแม้กระทั่งคนเลวกับคนเลวคงไม่ยาก เพราะมีความเหมือนกันเข้าทำนองนกสีเดียวกันเข้าฝูงกันได้
แต่ถ้าให้คนดีสมานฉันท์กับคนเลวก็คงจะทำได้ยาก เพราะมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของความคิด และรูปแบบของจริยธรรม
อย่าว่าให้ 2 กลุ่มมารวมกันเลย แค่ให้ฝ่ายที่ถูกต้องวางเฉยโดยไม่ต่อต้านฝ่ายที่ไม่ถูกต้องก็ทำได้ยาก เพราะโดยจิตสำนึกของคนที่ต้องการเห็นความถูกต้องและเป็นธรรมเกิดขึ้นในสังคม ก็ทนดูพฤติกรรมของฝ่ายตรงกันข้ามได้ยากอยู่แล้ว
จากนัยการแบ่งทั้งในแง่ของธรรมและบุคคลที่อาศัยธรรม โดยการแบ่งจะเห็นได้ว่าถ้าจะให้สังคมไทยยุติความขัดแย้งที่เป็นอยู่ลงได้ ก็ควรอย่างยิ่งที่องค์กรที่มีหน้าที่ในการรักษากฎหมาย และจรรโลงศีลธรรม จริยธรรม อันได้แก่ ศาล และศาสนารับหน้าที่ไปดำเนินการ โดยที่ฝ่ายอื่นใดแม้กระทั่งฝ่ายบริหารไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายจะดีที่สุด