ผู้จัดการรายวัน- “น้องเก๋” -ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล คว้าเหรียญทองแรกในกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 29 มาให้ชาวไทยได้ชื่นชมจากกีฬายกน้ำหนักรุ่น 54 กก. แถมทำลายสถิติโอลิมปิกลงด้วย เผยได้รับเงินสดอัดฉีดตอนนี้แน่นอนแล้ว 12 ล้านบาท และรถกระบะ 1 คัน ยังไม่รวมส่วนที่จะเพิ่มเติมอีกหลายล้านบาทเมื่อกลับถึงเมืองไทย เจ้าตัวเผยแม่ชีทักให้เปลี่ยนชื่อแล้วจะประสบความสำเร็จ ตนเองทำตามด้วยความเคารพและในที่สุดก็บรรลุความฝัน "เหรียญทอง" หลังจากผิดหวังอย่างหนักเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
วานนี้(10 ส.ค.) น้องเก๋-น.ส.ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล-หรือชื่อเดิมจันทร์พิมพ์ กันทะเตียน ลงสนามยกน้ำหนักในรุ่น 54 กิโลกรัม โดยจอมพลังสาวไทยโชว์ความเหนือชั้นด้วยการเรียกน้ำหนักทั้งในท่า สแนช และ คลีน แอนด์ เจิร์ก ชนิดทิ้งให้คู่แข่งไปลุ้นแค่เหรียญเงิน โดยน้ำหนักรวมทั้งสองท่าอยู่ที่ 221 กิโลกรัม พร้อมกันนี้ ประภาวดียังทำลายสถิติโอลิมปิกของนักยกจีน หยาง เซี๊ย ในท่า คลีน แอนด์ เจิร์ก ที่ 125 กก. หลังจากยกครั้งที่สองได้ที่ 126 กก. และผลงานในครั้งนี้ส่งให้น้องเก๋ เป็นนักกีฬาไทยรายแรกในโอลิมปิกครั้งที่ 29 ที่คว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้สำเร็จ
ทันทีที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาคล้องคอได้สำเร็จ น.ส.ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ถึงกับก้มลงกราบเท้าผู้จัดการทีมหญิงเหล็ก บุษบา ยอดบางเตย ที่ทำให้เธอมาถึงวันแห่งความฝันซึ่งรอคอยมานานถึง 8 ปี และเมื่อผ่านพิธีรับเหรียญรางวัลพร้อมกับธงไตรรงค์ได้ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา จอมพลังสาวไทยได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวพร้อมกับนักกีฬาที่ได้รับเหรียญเงินและทองแดง ณ ห้องแถลงข่าวที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ โดยน้องเก๋ ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นนักกีฬาจากไทยที่คว้าเหรียญทองมาครองได้เป็นคนแรกและสามารถทำลายสถิติโอลิมปิกได้อย่างสวยงามแล้ว ประเด็นที่เธอเปลี่ยนชื่อและนามสกุลจาก "จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน" มาเป็น "ประภาวดี เจริญรัตนกูล" ซึ่งมีความหมายว่า "กุลสตรี" ก็กลายเป็นเรื่องที่สื่อต่างประเทศสนใจเป็นอย่างยิ่ง
โดยน้องเก๋ ได้ตอบข้อสงสัยนี้ต่อผู้สื่อข่าวต่างชาติว่า "ที่เปลี่ยนชื่อเพราะว่าปีที่แล้วมีแม่ชีมาทัก ท่านบอกว่าถ้ายังใช้ชื่อเดิมอาจไม่ถึงความฝันที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวก็นับถือในท่านแม่ชี เลยตัดสินใจเปลี่ยน แต่อยากจะบอกว่าผลงานในครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนชื่ออย่างเดียวหากเกิดขึ้นได้เพราะเก๋ซ้อมอย่างหนักและมุ่งมั่นที่จะมาโอลิมปิกเพื่อคว้าเหรียญรางวัลให้ได้"
**มอบให้แม่ชาวไทยทั่วประเทศ
เมื่อถูกถามว่าเมื่อประสบความสำเร็จได้เหรียญทองโอลิมปิกอยากจะคุยกับใครเป็นคนแรกน้องเก๋ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ตอนนี้อยากคุยกับแม่มากที่สุดและเหรียญทองเหรียญนี้เก๋ ทำเพื่อคุณแม่ชาวไทยทั่วประเทศและแม่หลวงของชาวไทย"
น้องเก๋ ยังเผยความรู้สึกเพิ่มเติมอีกว่า "ตอนนี้อยากกลับบ้านมากที่สุดอยากอยู่กับครอบครัวเพราะตลอด 8 ปีที่เก็บตัวฝึกซ้อมอยู่ในค่ายนักกีฬานั้นได้กลับบ้านเพียงสามครั้ง เมื่อประสบความสำเร็จขนาดคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ก็อยากจะอยู่กับครอบครัวมากที่สุด"
หากย้อนกลับไปในปี 2007 น้องเก๋เกือบไม่ได้มาโอลิมปิกเพราะมีอาการบาดเจ็บในการแข่งขันชิงแชมป์โลก ซึ่งเจ้าตัวเผยถึงกำลังใจที่ได้รับจากครอบครัวและผู้จัดการทีมจนกลับมาทำฝันของตนเองได้สำเร็จว่า "เมื่อครั้งบาดเจ็บตอนแข่งขันชิงแชมป์โลกรู้สึกใจเสียอยู่เหมือนกัน แต่เวลานั้นพยายามรักษาตัวให้หายเร็วที่สุดและเวลาสี่ปีที่เก็บตัวฝึกซ้อมกับการได้เข้าร่วมโอลิมปิกคือฝันที่เก๋รอคอยมานาน หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บได้สนิทแล้วก็กลับมาเรียกความฟิตให้กับตนเองอย่างเต็มที่ วันนี้ก่อนขึ้นแข่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะคว้าเหรียญทองได้อย่างแน่นอน เพราะในรุ่นนี้จีนไม่ได้ส่งนักกีฬาลงทำการแข่งขัน แต่ถ้าเจ้าภาพส่งเราคงต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่หนักกว่านี้ แข่งครั้งนี้ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว เหรียญทองที่ได้กับสถิติโอลิมปิกใหม่ก็นับว่าน่าพอใจมาก แม้จะไม่สามารถทำลายสถิติโลกได้"
ทั้งนี้ ภายหลังจากให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้องเก๋ ถูกเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันนำตัวเพื่อไปตรวจโด๊ป
**บุษบาเผยคุมเองหลังผิดพลาดเมื่อวันเสาร์
จากนั้นผู้สื่อข่าวไทยจึงได้พูดคุยกับ "บุษบา ยอดบางเตย" หญิงเหล็กแห่งวงการกีฬาไทย ซึ่งในวันนี้ "มาดามบุษ" สีหน้าผ่อนคลายกว่าเมื่อวานมาก ยืนอวดพระพิฆเนศทองที่พกไว้ในกระเป๋ากับผู้สื่อข่าวพร้อมกับบอกว่านี่คืออีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิที่ทำให้เก๋ได้เหรียญทอง หลังจากนั้นก็ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความเหรียญในรุ่น 48 กก.ที่พลาดไปว่า
"เมื่อวานยอมรับว่ากดดันมาก รู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยส่งเด็กลงในรุ่นเดียวกันถึงสองคน เมื่อวันเสาร์ที่พลาดส่วนหนึ่งมาจากเทคนิกของทีมงาน แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ทำให้วันนี้พี่ตัดสินใจคุมการเรียกน้ำหนักเอง สำหรับ เปรมศิริ กับ เพ็ญศิริ นั้นต้องบอกก่อนว่าสถิติของเขาในตอนซ้อมเท่ากับคนที่ได้เหรียญทองเมื่อวานนี้ในรุ่น 48 กก. แต่สุดท้ายก็พลาดทุกเหรียญรางวัล มาวันนี้ เก๋ เดินมาบอกพี่แต่เช้าว่าจะเอาเหรียญทองมาให้ เราก็ค่อนข้างเชื่อมั่น แต่จากเหตุการณ์เมื่อวันแรกทำให้กดดันไม่น้อยเช่นกัน แต่พอเด็กทำได้สำเร็จก็ทำให้พี่รู้สึกผ่อนคลายไปได้เยอะ"
ความสำเร็จของน.ส.ประภาวดี ในวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากความพยายามในการปลุกปั้นของ "มาดามบุษ" ที่รั้งตัว "น้องเก๋" เอาไว้ เมื่อครั้งที่จอมพลังสาวคิดจะอำลาทีมชาติหลังไม่ติดทีมโอลิมปิก 2004 และในที่สุด "ประภาวดี" ก็มาถึงโอลิมปิกพร้อมกับคว้าเหรียญทองได้ในที่สุดโดย มาดามบุษ เปิดใจว่าตอนที่ เก๋ ได้เหรียญทองนั้นพอเดินมาด้านหลัง นักยกลูกเหล็กสาวถึงกับก้มลงกราบ พร้อมกับบอกว่าถ้าไม่มี คุณบุษบาและพล.ต อินทรรัตน์ ยอดบางเตย เธอคงไม่มีวันนี้
ขณะเดียวกันบุษบายังกล่าวถึงอนาคตของน.ส.ประภาวดี ในอีกสี่ปีข้างหน้าว่า "เรายังคงเก็บตัวฝึกซ้อมอยู่เหมือนเดิม อย่างประภาวดี ยังคงทำผลงานให้กับทีมชาติไทยได้อีกนาน ตอนนี้พอกลับถึงเมืองไทยคงปล่อยให้เขาพักประมาณ 1 เดือนเหมือนกับนักกีฬาทุกคนจากนั้นก็เก็บตัวฝึกซ้อมต่อ"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงวันกลับ "มาดามบุษ" กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ก็คงกลับพร้อมกับในวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ตอนนี้ก็รอให้แข่งจบเพราะได้เตรียมเงินไว้ให้นักกีฬาชอปปิ้งกันแล้วคนละหนึ่งหมื่นบาท" ส่วนเรื่องแฟลตของเพ็ญศิริ ที่ไฟไหม้นั้น นายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทยกล่าวปิดท้ายสั้นๆว่า "ทางสมาคมมีความช่วยเหลืออย่างแน่นอนเพียงแต่ต้องรอให้กลับไปถึงเมืองไทยก่อน"
**พ่อเตรียมแก้บน-แม่ลมจับหลังซิวทอง
หลังจากที่ “น้องเก๋”จอมพลังสาวไทย สามารถคว้าเหรียญทองในการยกน้ำหนักรุ่นไม่เกิน 53 กิโลกรัม มาครองได้อย่างน่าชื่นชม บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 399/54 ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ปรากฏว่า ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ รวมถึงญาติพี่น้องและแฟนกีฬาเมืองสี่แคว ที่แห่มาให้กำลังใจกันล้นหลามต่างโห่ร้องด้วยความดีใจเป็นการใหญ่ โดย คุณพ่อจันทร์แก้ว เจริญรัตนธารากุล เผยถึงลูกสาวคนเก่ง ทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า “วันนี้พอภูมิใจที่ลูก (น้องเก๋) ทำได้ วันนี้ความฝันของลูกเป็นจริง พ่อภูมิใจในตัวเก๋มากๆ”
นอกจากนี้คุณพ่อของฮีโร่สาวไทยยังเผยถึงการบนบานในการที่ลูกสาวคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ ว่า “ได้มีการบนไว้ที่ศาลหลักเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ด้วยการถวายไข่ต้ม 100 ฟอง รวมถึงจะมีการจ้างละครมาเล่นถวายที่วัดนครสวรรค์ แต่ทั้งนี้ ต้องรอให้เก๋กลับมาเมืองไทยก่อน”
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวก็พยายามรุมสอบถามความรู้สึกไปยัง คุณแม่ภาวลี แต่ด้วยความปลื้มปิติแบบสุดๆ ทำให้คุณแม่ถึงกับเป็นลมล้มลงท่ามกลางความดีใจของกองเชียร์ชาวไทยทั้งประเทศ
**เงินหล่นทับยอดอัดฉีดกว่า 10 ล.
สำหรับผู้คว้าเหรียญทองให้ไทยเป็นเหรียญแรกในกีฬาโอลิมปิกหนนี้ มีการเปิดเผยจากอุปนายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย เผยว่า "เก๋" ถึงคราวเป็นเศรษฐีนี หลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2008 โดยเบื้องต้นจะได้รับเงินอัดฉีดจากรัฐฯ 10 ล้านบาท รวมกับสปอนเซอร์อีก 2 ล้านบาท และรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ 1 คัน
"บิ๊กต่าย" จิตรนรา นวรัตน์ อุปนายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "เงินจำนวนดังกล่าวจะแยกเป็นจากกองทุนพัฒนากีฬาชาติของรัฐบาล ที่ดูแลโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย 10 ล้านบาท ซึ่งจะจ่ายทันที 5 ล้านบาทเป็นเงินสด จากนั้นจะแบ่งจ่ายอีก 5 ล้านบาท เป็นรายเดือนจนครบตามจำนวน"
"ส่วนที่ 2 จะเป็นเงินสนับสนุนกีฬาจากผู้สนับสนุนในภาคเอกชน ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานว่ามีผู้สนับสนุนหลักอย่าง แม็คโดนัลด์ และช่อง 7 สี เป็นจำนวน 1 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ช้างอีก 1 ล้านบาทสำหรับผู้คว้าเหรียญทอง ขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์โตโยต้าจะมอบรถยนต์กระบะโตโยต้าไฮลักซ์ วีโก้ ให้กับนักกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากปักกิ่งเกมส์ทุกคน โดยในรายของ น้องเก๋ จะได้รับรถยนต์รุ่นดังกล่าวด้วยเช่นกัน"
ส่วนเรื่องการหันหลังให้กับการเป็นนักกีฬาทีมชาติเมื่อประสบความสำเร็จสูงสุดแล้วนั้น อุปนายกสมาคมยกน้ำหนักกล่าวว่า "เราพร้อมฟังการตัดสินใจของนักกีฬา จากนี้ไปเขาอาจจะมีฐานะมั่นคงขึ้นมากแล้ว แต่หากเขายังอยากทำหน้าที่รับใช้ชาติอยู่มันก็เป็นสิ่งที่เราพร้อมสนับสนุน เพราะนักกีฬาชนิดนี้แข่งขันได้จนถึงอายุ 30 ปี หรือถ้าดูแลรักษาตัวดีกว่านั้นก็อาจจะยืดอายุในการเป็นนักกีฬาออกไปอีกได้ เรื่องนี้คงต้องรอคุยกันเมื่อเขากลับมาถึงเมืองไทยอีกครั้ง"
*เผยเส้นทางชีวิตสุดพลิกผัน
"น้องเก๋” หรือชื่อเดิม คือ จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นบุตรสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน ของ นายจันทร์แก้ว และ นางภาวลี ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพื้นฐานแล้วครอบครัวมีฐานะยากจน โดย นายจันทร์แก้ว นั้นยึดอาชีพเป็นกรรมกรก่อสร้างมานาน
ทว่าหลังจากที่ เก๋ เมื่อวัย 11 ปี มุ่งหน้าเข้าสู่การฝึกซ้อมกีฬายกน้ำหนักอย่างจริงจัง ทำให้ฐานะครอบครัวแต่เดิมที่เคยลำบากนั้นเริ่มดีขึ้น โดยเด็กสาวรายนี้ถือเป็นกำลังหลักของครอบครัว
จากน้ำพักน้ำแรงของจอมพลังสาววัย 24 ปี รายนี้ ปัจจุบัน คุณพ่อจันทร์แก้ว ไม่จำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพกรรมกรอีกแล้ว โดยหันไปยึดอาชีพขายไอศกรีมทอดแทน
นอกจากนี้ “น้องเก๋” ยังเก็บหอมรอมริบเงินรางวัลจากการแข่งขันเพื่อนำเงินมาปลูกบ้านให้กับพ่อแม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ได้อีกด้วย แม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม
ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นลง ซึ่ง “น้องเก๋” เองก็หลีกหนีวัฏจักรนี้ไปไม่พ้น เมื่อในชีวิตนักกีฬาต้องเสียน้ำตาถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งในครั้งนั้นจอมพลังสาวจากเมืองปากน้ำโพ ถือเป็นนักกีฬาดาวรุ่งอยู่ อีกทั้งยังลงแข่งขันในรุ่นเดียวกับ “น้องอรสู้โว้ย” อุดมพร พลศักดิ์ อีก ส่งผลให้สมาคมยกเหล็กตัดประภาวดีออกจากทีมชุดลุยโอลิมปิก ส่งผลให้นักยกเหล็กรายนี้เสียศูนย์จนหอบเสื้อผ้าหนีจากค่ายซ้อมไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่ “เจ๊บุษ” บุษบา ยอดบางเตย นายกสมาคมยกเหล็กจะตามตัวกลับมา พร้อมปลุกปลอบให้กลับมาร่วมแคมป์ซ้อมทีมชาติไทยอีกครั้ง
หลังจากนั้น ประภาวดี ก็กลับมาเป็นคนเดิม ตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อโอกาสในการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2008 ทว่าโชคร้ายของจอมพลังรายนี้ยังไม่จบ เมื่อต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บข้อศอกหลุดระหว่างการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก 2007 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลให้ “น้องเก๋” ต้องชวดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2007 ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งก่อนหน้านั้น มีความหวั่นเกรงว่าอาการบาดเจ็บขนาดนั้นอาจทำให้จอมพลังรายนี้ต้องจบชีวิตนักกีฬาทีมชาติ
แม้จะไม่ได้เดินทางร่วมทีมไปโคราชเกมส์ ทว่า ระหว่างนั้น “เก๋” ประภาวดี ก็หมั่นฝึกซ้อมและเรียกความฟิตอยู่เสมอ ซึ่งนับเป็นผลดีกับสภาพร่างกาย รวมทั้งความมุ่งมั่นที่มีมาก อีกทั้งสภาพจิตใจที่เยือกเย็นขึ้น ทำให้จอมพลังสาวเมืองปากน้ำโพก้าวมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการคว้าเหรียญทองปักกิ่งเกมส์ พร้อมสร้างสถิติโอลิมปิกในท่าคลีนแอนด์เจิร์กขึ้นมาใหม่ที่ 126 กิโลกรัมอีกด้วย
สำหรับผลงานที่ผ่านมาของ ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล
1 เหรียญทอง ซีเกมส์ 2005 ที่ฟิลิปปินส์
1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน ยกน้ำหนักชิงแชมป์โลกที่กาตาร์
1 เหรียญเงิน เอเชียนเกมส์ ที่กาตาร์
1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน ยกน้ำหนักชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศจีน
1 เหรียญทอง โอลิมปิก 2008 ที่ประเทศจีน
วานนี้(10 ส.ค.) น้องเก๋-น.ส.ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล-หรือชื่อเดิมจันทร์พิมพ์ กันทะเตียน ลงสนามยกน้ำหนักในรุ่น 54 กิโลกรัม โดยจอมพลังสาวไทยโชว์ความเหนือชั้นด้วยการเรียกน้ำหนักทั้งในท่า สแนช และ คลีน แอนด์ เจิร์ก ชนิดทิ้งให้คู่แข่งไปลุ้นแค่เหรียญเงิน โดยน้ำหนักรวมทั้งสองท่าอยู่ที่ 221 กิโลกรัม พร้อมกันนี้ ประภาวดียังทำลายสถิติโอลิมปิกของนักยกจีน หยาง เซี๊ย ในท่า คลีน แอนด์ เจิร์ก ที่ 125 กก. หลังจากยกครั้งที่สองได้ที่ 126 กก. และผลงานในครั้งนี้ส่งให้น้องเก๋ เป็นนักกีฬาไทยรายแรกในโอลิมปิกครั้งที่ 29 ที่คว้าเหรียญทองมาคล้องคอได้สำเร็จ
ทันทีที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกมาคล้องคอได้สำเร็จ น.ส.ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล ถึงกับก้มลงกราบเท้าผู้จัดการทีมหญิงเหล็ก บุษบา ยอดบางเตย ที่ทำให้เธอมาถึงวันแห่งความฝันซึ่งรอคอยมานานถึง 8 ปี และเมื่อผ่านพิธีรับเหรียญรางวัลพร้อมกับธงไตรรงค์ได้ถูกเชิญขึ้นสู่ยอดเสา จอมพลังสาวไทยได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวพร้อมกับนักกีฬาที่ได้รับเหรียญเงินและทองแดง ณ ห้องแถลงข่าวที่ทางเจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ โดยน้องเก๋ ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นนักกีฬาจากไทยที่คว้าเหรียญทองมาครองได้เป็นคนแรกและสามารถทำลายสถิติโอลิมปิกได้อย่างสวยงามแล้ว ประเด็นที่เธอเปลี่ยนชื่อและนามสกุลจาก "จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน" มาเป็น "ประภาวดี เจริญรัตนกูล" ซึ่งมีความหมายว่า "กุลสตรี" ก็กลายเป็นเรื่องที่สื่อต่างประเทศสนใจเป็นอย่างยิ่ง
โดยน้องเก๋ ได้ตอบข้อสงสัยนี้ต่อผู้สื่อข่าวต่างชาติว่า "ที่เปลี่ยนชื่อเพราะว่าปีที่แล้วมีแม่ชีมาทัก ท่านบอกว่าถ้ายังใช้ชื่อเดิมอาจไม่ถึงความฝันที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นชื่อนี้ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตส่วนตัวก็นับถือในท่านแม่ชี เลยตัดสินใจเปลี่ยน แต่อยากจะบอกว่าผลงานในครั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนชื่ออย่างเดียวหากเกิดขึ้นได้เพราะเก๋ซ้อมอย่างหนักและมุ่งมั่นที่จะมาโอลิมปิกเพื่อคว้าเหรียญรางวัลให้ได้"
**มอบให้แม่ชาวไทยทั่วประเทศ
เมื่อถูกถามว่าเมื่อประสบความสำเร็จได้เหรียญทองโอลิมปิกอยากจะคุยกับใครเป็นคนแรกน้องเก๋ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ตอนนี้อยากคุยกับแม่มากที่สุดและเหรียญทองเหรียญนี้เก๋ ทำเพื่อคุณแม่ชาวไทยทั่วประเทศและแม่หลวงของชาวไทย"
น้องเก๋ ยังเผยความรู้สึกเพิ่มเติมอีกว่า "ตอนนี้อยากกลับบ้านมากที่สุดอยากอยู่กับครอบครัวเพราะตลอด 8 ปีที่เก็บตัวฝึกซ้อมอยู่ในค่ายนักกีฬานั้นได้กลับบ้านเพียงสามครั้ง เมื่อประสบความสำเร็จขนาดคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ก็อยากจะอยู่กับครอบครัวมากที่สุด"
หากย้อนกลับไปในปี 2007 น้องเก๋เกือบไม่ได้มาโอลิมปิกเพราะมีอาการบาดเจ็บในการแข่งขันชิงแชมป์โลก ซึ่งเจ้าตัวเผยถึงกำลังใจที่ได้รับจากครอบครัวและผู้จัดการทีมจนกลับมาทำฝันของตนเองได้สำเร็จว่า "เมื่อครั้งบาดเจ็บตอนแข่งขันชิงแชมป์โลกรู้สึกใจเสียอยู่เหมือนกัน แต่เวลานั้นพยายามรักษาตัวให้หายเร็วที่สุดและเวลาสี่ปีที่เก็บตัวฝึกซ้อมกับการได้เข้าร่วมโอลิมปิกคือฝันที่เก๋รอคอยมานาน หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บได้สนิทแล้วก็กลับมาเรียกความฟิตให้กับตนเองอย่างเต็มที่ วันนี้ก่อนขึ้นแข่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะคว้าเหรียญทองได้อย่างแน่นอน เพราะในรุ่นนี้จีนไม่ได้ส่งนักกีฬาลงทำการแข่งขัน แต่ถ้าเจ้าภาพส่งเราคงต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่หนักกว่านี้ แข่งครั้งนี้ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว เหรียญทองที่ได้กับสถิติโอลิมปิกใหม่ก็นับว่าน่าพอใจมาก แม้จะไม่สามารถทำลายสถิติโลกได้"
ทั้งนี้ ภายหลังจากให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว น้องเก๋ ถูกเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันนำตัวเพื่อไปตรวจโด๊ป
**บุษบาเผยคุมเองหลังผิดพลาดเมื่อวันเสาร์
จากนั้นผู้สื่อข่าวไทยจึงได้พูดคุยกับ "บุษบา ยอดบางเตย" หญิงเหล็กแห่งวงการกีฬาไทย ซึ่งในวันนี้ "มาดามบุษ" สีหน้าผ่อนคลายกว่าเมื่อวานมาก ยืนอวดพระพิฆเนศทองที่พกไว้ในกระเป๋ากับผู้สื่อข่าวพร้อมกับบอกว่านี่คืออีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิที่ทำให้เก๋ได้เหรียญทอง หลังจากนั้นก็ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงความเหรียญในรุ่น 48 กก.ที่พลาดไปว่า
"เมื่อวานยอมรับว่ากดดันมาก รู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในสถานที่ซึ่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ต้องบอกก่อนว่าเราไม่เคยส่งเด็กลงในรุ่นเดียวกันถึงสองคน เมื่อวันเสาร์ที่พลาดส่วนหนึ่งมาจากเทคนิกของทีมงาน แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ทำให้วันนี้พี่ตัดสินใจคุมการเรียกน้ำหนักเอง สำหรับ เปรมศิริ กับ เพ็ญศิริ นั้นต้องบอกก่อนว่าสถิติของเขาในตอนซ้อมเท่ากับคนที่ได้เหรียญทองเมื่อวานนี้ในรุ่น 48 กก. แต่สุดท้ายก็พลาดทุกเหรียญรางวัล มาวันนี้ เก๋ เดินมาบอกพี่แต่เช้าว่าจะเอาเหรียญทองมาให้ เราก็ค่อนข้างเชื่อมั่น แต่จากเหตุการณ์เมื่อวันแรกทำให้กดดันไม่น้อยเช่นกัน แต่พอเด็กทำได้สำเร็จก็ทำให้พี่รู้สึกผ่อนคลายไปได้เยอะ"
ความสำเร็จของน.ส.ประภาวดี ในวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากความพยายามในการปลุกปั้นของ "มาดามบุษ" ที่รั้งตัว "น้องเก๋" เอาไว้ เมื่อครั้งที่จอมพลังสาวคิดจะอำลาทีมชาติหลังไม่ติดทีมโอลิมปิก 2004 และในที่สุด "ประภาวดี" ก็มาถึงโอลิมปิกพร้อมกับคว้าเหรียญทองได้ในที่สุดโดย มาดามบุษ เปิดใจว่าตอนที่ เก๋ ได้เหรียญทองนั้นพอเดินมาด้านหลัง นักยกลูกเหล็กสาวถึงกับก้มลงกราบ พร้อมกับบอกว่าถ้าไม่มี คุณบุษบาและพล.ต อินทรรัตน์ ยอดบางเตย เธอคงไม่มีวันนี้
ขณะเดียวกันบุษบายังกล่าวถึงอนาคตของน.ส.ประภาวดี ในอีกสี่ปีข้างหน้าว่า "เรายังคงเก็บตัวฝึกซ้อมอยู่เหมือนเดิม อย่างประภาวดี ยังคงทำผลงานให้กับทีมชาติไทยได้อีกนาน ตอนนี้พอกลับถึงเมืองไทยคงปล่อยให้เขาพักประมาณ 1 เดือนเหมือนกับนักกีฬาทุกคนจากนั้นก็เก็บตัวฝึกซ้อมต่อ"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงวันกลับ "มาดามบุษ" กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ก็คงกลับพร้อมกับในวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ตอนนี้ก็รอให้แข่งจบเพราะได้เตรียมเงินไว้ให้นักกีฬาชอปปิ้งกันแล้วคนละหนึ่งหมื่นบาท" ส่วนเรื่องแฟลตของเพ็ญศิริ ที่ไฟไหม้นั้น นายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทยกล่าวปิดท้ายสั้นๆว่า "ทางสมาคมมีความช่วยเหลืออย่างแน่นอนเพียงแต่ต้องรอให้กลับไปถึงเมืองไทยก่อน"
**พ่อเตรียมแก้บน-แม่ลมจับหลังซิวทอง
หลังจากที่ “น้องเก๋”จอมพลังสาวไทย สามารถคว้าเหรียญทองในการยกน้ำหนักรุ่นไม่เกิน 53 กิโลกรัม มาครองได้อย่างน่าชื่นชม บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 399/54 ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ปรากฏว่า ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ รวมถึงญาติพี่น้องและแฟนกีฬาเมืองสี่แคว ที่แห่มาให้กำลังใจกันล้นหลามต่างโห่ร้องด้วยความดีใจเป็นการใหญ่ โดย คุณพ่อจันทร์แก้ว เจริญรัตนธารากุล เผยถึงลูกสาวคนเก่ง ทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ผ่านสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยว่า “วันนี้พอภูมิใจที่ลูก (น้องเก๋) ทำได้ วันนี้ความฝันของลูกเป็นจริง พ่อภูมิใจในตัวเก๋มากๆ”
นอกจากนี้คุณพ่อของฮีโร่สาวไทยยังเผยถึงการบนบานในการที่ลูกสาวคว้าเหรียญทองได้สำเร็จ ว่า “ได้มีการบนไว้ที่ศาลหลักเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ด้วยการถวายไข่ต้ม 100 ฟอง รวมถึงจะมีการจ้างละครมาเล่นถวายที่วัดนครสวรรค์ แต่ทั้งนี้ ต้องรอให้เก๋กลับมาเมืองไทยก่อน”
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวก็พยายามรุมสอบถามความรู้สึกไปยัง คุณแม่ภาวลี แต่ด้วยความปลื้มปิติแบบสุดๆ ทำให้คุณแม่ถึงกับเป็นลมล้มลงท่ามกลางความดีใจของกองเชียร์ชาวไทยทั้งประเทศ
**เงินหล่นทับยอดอัดฉีดกว่า 10 ล.
สำหรับผู้คว้าเหรียญทองให้ไทยเป็นเหรียญแรกในกีฬาโอลิมปิกหนนี้ มีการเปิดเผยจากอุปนายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย เผยว่า "เก๋" ถึงคราวเป็นเศรษฐีนี หลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2008 โดยเบื้องต้นจะได้รับเงินอัดฉีดจากรัฐฯ 10 ล้านบาท รวมกับสปอนเซอร์อีก 2 ล้านบาท และรถกระบะโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ 1 คัน
"บิ๊กต่าย" จิตรนรา นวรัตน์ อุปนายกสมาคมยกน้ำหนักแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "เงินจำนวนดังกล่าวจะแยกเป็นจากกองทุนพัฒนากีฬาชาติของรัฐบาล ที่ดูแลโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย 10 ล้านบาท ซึ่งจะจ่ายทันที 5 ล้านบาทเป็นเงินสด จากนั้นจะแบ่งจ่ายอีก 5 ล้านบาท เป็นรายเดือนจนครบตามจำนวน"
"ส่วนที่ 2 จะเป็นเงินสนับสนุนกีฬาจากผู้สนับสนุนในภาคเอกชน ซึ่งเบื้องต้นมีรายงานว่ามีผู้สนับสนุนหลักอย่าง แม็คโดนัลด์ และช่อง 7 สี เป็นจำนวน 1 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ช้างอีก 1 ล้านบาทสำหรับผู้คว้าเหรียญทอง ขณะที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์โตโยต้าจะมอบรถยนต์กระบะโตโยต้าไฮลักซ์ วีโก้ ให้กับนักกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากปักกิ่งเกมส์ทุกคน โดยในรายของ น้องเก๋ จะได้รับรถยนต์รุ่นดังกล่าวด้วยเช่นกัน"
ส่วนเรื่องการหันหลังให้กับการเป็นนักกีฬาทีมชาติเมื่อประสบความสำเร็จสูงสุดแล้วนั้น อุปนายกสมาคมยกน้ำหนักกล่าวว่า "เราพร้อมฟังการตัดสินใจของนักกีฬา จากนี้ไปเขาอาจจะมีฐานะมั่นคงขึ้นมากแล้ว แต่หากเขายังอยากทำหน้าที่รับใช้ชาติอยู่มันก็เป็นสิ่งที่เราพร้อมสนับสนุน เพราะนักกีฬาชนิดนี้แข่งขันได้จนถึงอายุ 30 ปี หรือถ้าดูแลรักษาตัวดีกว่านั้นก็อาจจะยืดอายุในการเป็นนักกีฬาออกไปอีกได้ เรื่องนี้คงต้องรอคุยกันเมื่อเขากลับมาถึงเมืองไทยอีกครั้ง"
*เผยเส้นทางชีวิตสุดพลิกผัน
"น้องเก๋” หรือชื่อเดิม คือ จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน เกิดเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2527 เป็นบุตรสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คน ของ นายจันทร์แก้ว และ นางภาวลี ในจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งพื้นฐานแล้วครอบครัวมีฐานะยากจน โดย นายจันทร์แก้ว นั้นยึดอาชีพเป็นกรรมกรก่อสร้างมานาน
ทว่าหลังจากที่ เก๋ เมื่อวัย 11 ปี มุ่งหน้าเข้าสู่การฝึกซ้อมกีฬายกน้ำหนักอย่างจริงจัง ทำให้ฐานะครอบครัวแต่เดิมที่เคยลำบากนั้นเริ่มดีขึ้น โดยเด็กสาวรายนี้ถือเป็นกำลังหลักของครอบครัว
จากน้ำพักน้ำแรงของจอมพลังสาววัย 24 ปี รายนี้ ปัจจุบัน คุณพ่อจันทร์แก้ว ไม่จำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพกรรมกรอีกแล้ว โดยหันไปยึดอาชีพขายไอศกรีมทอดแทน
นอกจากนี้ “น้องเก๋” ยังเก็บหอมรอมริบเงินรางวัลจากการแข่งขันเพื่อนำเงินมาปลูกบ้านให้กับพ่อแม่ที่จังหวัดนครสวรรค์ได้อีกด้วย แม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็ตาม
ชีวิตคนเราย่อมมีขึ้นลง ซึ่ง “น้องเก๋” เองก็หลีกหนีวัฏจักรนี้ไปไม่พ้น เมื่อในชีวิตนักกีฬาต้องเสียน้ำตาถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกเมื่อการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2004 ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ซึ่งในครั้งนั้นจอมพลังสาวจากเมืองปากน้ำโพ ถือเป็นนักกีฬาดาวรุ่งอยู่ อีกทั้งยังลงแข่งขันในรุ่นเดียวกับ “น้องอรสู้โว้ย” อุดมพร พลศักดิ์ อีก ส่งผลให้สมาคมยกเหล็กตัดประภาวดีออกจากทีมชุดลุยโอลิมปิก ส่งผลให้นักยกเหล็กรายนี้เสียศูนย์จนหอบเสื้อผ้าหนีจากค่ายซ้อมไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่ “เจ๊บุษ” บุษบา ยอดบางเตย นายกสมาคมยกเหล็กจะตามตัวกลับมา พร้อมปลุกปลอบให้กลับมาร่วมแคมป์ซ้อมทีมชาติไทยอีกครั้ง
หลังจากนั้น ประภาวดี ก็กลับมาเป็นคนเดิม ตั้งใจฝึกซ้อม เพื่อโอกาสในการคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2008 ทว่าโชคร้ายของจอมพลังรายนี้ยังไม่จบ เมื่อต้องประสบปัญหาอาการบาดเจ็บข้อศอกหลุดระหว่างการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก 2007 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลให้ “น้องเก๋” ต้องชวดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2007 ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งก่อนหน้านั้น มีความหวั่นเกรงว่าอาการบาดเจ็บขนาดนั้นอาจทำให้จอมพลังรายนี้ต้องจบชีวิตนักกีฬาทีมชาติ
แม้จะไม่ได้เดินทางร่วมทีมไปโคราชเกมส์ ทว่า ระหว่างนั้น “เก๋” ประภาวดี ก็หมั่นฝึกซ้อมและเรียกความฟิตอยู่เสมอ ซึ่งนับเป็นผลดีกับสภาพร่างกาย รวมทั้งความมุ่งมั่นที่มีมาก อีกทั้งสภาพจิตใจที่เยือกเย็นขึ้น ทำให้จอมพลังสาวเมืองปากน้ำโพก้าวมาถึงวันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการคว้าเหรียญทองปักกิ่งเกมส์ พร้อมสร้างสถิติโอลิมปิกในท่าคลีนแอนด์เจิร์กขึ้นมาใหม่ที่ 126 กิโลกรัมอีกด้วย
สำหรับผลงานที่ผ่านมาของ ประภาวดี เจริญรัตนธารากูล
1 เหรียญทอง ซีเกมส์ 2005 ที่ฟิลิปปินส์
1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน ยกน้ำหนักชิงแชมป์โลกที่กาตาร์
1 เหรียญเงิน เอเชียนเกมส์ ที่กาตาร์
1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน ยกน้ำหนักชิงแชมป์เอเชีย ที่ประเทศจีน
1 เหรียญทอง โอลิมปิก 2008 ที่ประเทศจีน