ไทยเราแม้เป็นชาติยิ่งใหญ่ อุดมสมบูรณ์ แต่อย่าทำเป็นเล่นไป อาจจะถึงคราวสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน เช่นเดียวกับที่เคยสูญสิ้นมาแล้วในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้ง
คำพังเพยโบราณที่ว่า กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แต่ก็ขาดไปอีกวลีหนึ่งคือ กรุงศรีอยุธยาก็มากด้วยคนชั่ว และบางคราวเพราะเหตุที่มากด้วยคนชั่วนั่นเอง จึงทำให้สิ้นแผ่นดินสิ้นชาติกันไปแล้ว
สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้พิเคราะห์กันให้จงดีเถิดว่ามันเป็นวิกฤตที่สุดในโลกที่จะทำให้สิ้นแผ่นดินสิ้นชาติหรือไม่? จะได้ไม่คิดประมาทกันต่อไป แล้วจะได้คิดอ่านทำการรักษาบ้านรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานสืบไป
ได้พิจารณาดูโดยแยบคายแล้ว อาจสรุปสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ได้ว่ามีวิกฤตร้ายแรงที่เกิดขึ้นและกำลังขยายตัวลุกลามไป อันอาจมีผลทำให้สิ้นแผ่นดินสิ้นชาติได้ คือ
วิกฤตที่หนึ่ง คือวิกฤตที่คนชั่วขายชาติขายแผ่นดินให้เขมรในพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร ทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยเป็นครั้งแรกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทำให้กระทบต่อพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง และกำลังลุกลามไปตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เกือบ 40 จุด
เขมรนั้นเป็นชนชาติชั่วตั้งแต่ประวัติศาสตร์มาแล้ว ยามใดที่ไทยมีวิกฤต เขมรก็จะคอยซ้ำเติมและเบียดเบียน จนสมัยหนึ่งได้สร้างความเคียดแค้นแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นที่สุด เป็นเหตุให้เสร็จศึกอื่นแล้วจึงทรงกรีธาทัพไปปราบเขมร แล้วตัดหัวพระยาละแวกผู้ครองเขมร เอาเลือดหัวมาล้างพระบาท
วันนี้เขมรก็ยังไม่ทิ้งความชาติชั่ว ได้แผ่นดินบริเวณปราสาทพระวิหารแล้วยังไม่พอ ยังรุกเอาพื้นที่รอบนอกอีกกว่า 3,000 ไร่ แล้วยังบุกเข้ามายึดเอาแผ่นดินย่านสุรินทร์และแนวชายแดนอื่นซ้ำเข้าไปอีก
ยิ่งกว่านั้น ยังเอาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยซึ่งเป็นดินแดนของไทยเอาไปให้สัมปทานแก่ชาติมหาอำนาจและชาติอื่นๆ ทำการเจาะก๊าซและน้ำมันไปเกือบหมดแล้ว
ฉวยโอกาสที่คนไทยขายชาติเอื้อประโยชน์และเปิดโอกาสเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัวทำการเอาตามใจชอบ เหยียบย่ำน้ำใจคนไทยทั้งประเทศอย่างหน้าตาเฉย
ประเทศไทยยามนี้มีรั้วก็เหมือนไม่มี เขมรจึงย่ำยีเอาได้ถึงปานนี้ ช่างน่าสมเพชเวทนาและช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก!
วิกฤตนี้เราจะเสียดินแดนชายแดนนับแสนไร่ และถ้ารวมดินแดนในทะเลบริเวณอ่าวไทยอีกหลายหมื่นตารางกิโลเมตร ตลอดจนผลประโยชน์แห่งชาติคือก๊าซและน้ำมันอันสุดมหาศาลเป็นแน่แท้
รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติไม่แก้ไขปกป้องอธิปไตยและประโยชน์แห่งชาติเลย ล่าสุดก็มีมติ ครม. ให้ปรับกำลังทหารซึ่งเป็นภาษาหลอกคนไทย เพราะเนื้อหาที่แท้จริงก็คือปล่อยให้เขมรยึดครองดินแดนไทยโดยไม่ให้ทหารเข้าเกี่ยวข้องนั่นเอง อนิจจังอนิจจาประเทศไทย
วิกฤตที่สอง เป็นวิกฤตความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเคยมอดมาตั้งแต่ยุคสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และคุโชนลุกลามเป็นไฟลามทุ่งในยุคสมัยรัฐบาลทักษิณ ไฟสงครามกลางเมืองโหมกระพือทั้งพื้นที่สามจังหวัด คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือจะนะ เทพา นาทวี และสะเดา
มาวันนี้ปราการสำคัญ ณ จุดยุทธศาสตร์เบตงคงแตกแล้ว กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจึงรุกขึ้นสู่อีก 2 อำเภอของจังหวัดสงขลา คืออำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมือง ที่อุกอาจก่อเหตุถึงตำบลบ่อยาง คือบริเวณแหลมสมิหลาของอำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
แต่ที่ไม่เป็นข่าวก็คือการขยายตัวลุกลามออกไปยังฝั่งอันดามัน ทั้ง 6 จังหวัดฝั่งอันดามันนั้นแล้ว แม้ปัจจุบันนี้ยังใช้พื้นที่เป็นเขตหลัง แต่ก็ขยายอิทธิพลกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว
อำนาจรัฐซ้อนรัฐซึ่งเป็นรูปแบบการแบ่งแยกดินแดนแผนใหม่กำลังเกิดขึ้นและซึมลึกกว้างออกไปทุกที สงครามแย่งชิงประชาชนของฝ่ายตรงกันข้ามขยายไปเป็นไฟลามทุ่งโดยที่ไม่มีมาตรการใด ๆ ไปหยุดยั้งเอาไว้เลย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป 10 จังหวัดภาคใต้นอกจากสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และระนอง คงจะถูกแย่งยึดเอาไปหมดในรูปแบบของรัฐซ้อนรัฐ และสงครามประชากรแผนใหม่
และหากความชั่วช้าสารเลวกดขี่ข่มเหงราษฎรและการฉ้อฉลปล้นชาติยังดำเนินต่อไปเหตุการณ์ร้ายก็จะมากกว่านี้ เพราะชาวไทยพุทธในพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลาช้านานแล้ว และรำไรจะปกครองตนเองกันอยู่แล้ว คงจะหันไปจับมือกับพี่น้องมุสลิม แล้วจะกลายเป็น 17 จังหวัด คือ 14 จังหวัดของภาคใต้แล้วขยายลามขึ้นมาถึงประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี รวมเป็น 17 จังหวัด ที่อำนาจรัฐส่วนกลางเอื้อมไปไม่ได้
วิกฤตที่สาม คือวิกฤตที่คนไทยแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการขับไล่ไสส่งพวกฉ้อฉลปล้นชาติขายชาติขายแผ่นดินออกไปจากอำนาจ กับพวกหนึ่งต้องการเปลี่ยนการปกครองไปเป็นระบอบสาธารณรัฐที่มีอำนาจรัฐหนุนหลัง และใช้อันธพาลการเมืองเป็นเครื่องมือ
แม้ว่าวันนี้กองกำลังอันธพาลยังเป็นกองกำลังประเภทที่ต้องอาศัยเงินไปเติมเพื่อขับเคลื่อน แต่ในที่สุดก็จะค่อยๆ พัฒนาไป ซึมลึกลงไปถึงจิตใจ และยากต่อการแก้ไขมากขึ้นทุกที
ถึงวันนั้นแม้จะตัดเส้นเลือดทางเศรษฐกิจได้สำเร็จ แต่สื่อความคิดอุดมการณ์ได้ปลูกฝังลงไปแล้ว ย่อมยากที่จะแก้ไข
รัฐบาลนอกจากไม่สร้างความสามัคคีในชาติ กลับใช้กลอุบายเล่ห์ร้ายนานาประการเพื่อทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กระทั่งบังอาจเอื้อมเอาพระบารมีมาเป็นเครื่องมือสลายการชุมนุมก็ยังกล้ากระทำ กราบบังคมทูลเท็จก็ยังกล้ากระทำ
ทำให้เหตุปัจจัยที่จะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยด้วยกันเกิดขึ้นและกำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวางทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด หากจัดการแก้ไขไม่ถูกต้อง เลือดไทยคงต้องนองแผ่นดินในครั้งนี้
และถึงวันนั้นแม้อัศวินม้าขาวจะเข้ามากอบกู้ชาติก็ยากจะสำเร็จ ถึงสำเร็จก็ยากที่จะฟื้นฟูชาติให้สำเร็จได้ในเร็ววัน
ความบอบช้ำของชาติบ้านเมืองและความพินาศฉิบหายสุดที่จะประมาณนัก!
วิกฤตที่สี่ คือวัฒนธรรมแห่งการฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือการทุจริตคอร์รัปชันกำลังขยายตัวลุกลามงอกงามยิ่งกว่ายุคไหนๆ ในประวัติศาสตร์
เป็นการคอร์รัปชันแบบดิจิตอลและแบบโคตรโกงมหาโกง นั่นคือเป็นกระบวนการโกงชาติขนาดใหญ่นับแสนๆ ล้าน และใช้เล่ห์กลชั้นเชิงตลอดจนการย่ำยีกฎหมายบ้านเมืองทุกรูปแบบ ไม่เกรงหน้าอินทร์ ไม่กลัวหน้าพรหม ไม่แยแสต่อการตรวจสอบหรือกระบวนการยุติธรรมใดๆ เพราะเอามาไว้ในฝ่าเท้าเกือบหมดสิ้นแล้ว
ยกระดับขึ้นเป็นการโกงชาติที่ถึงขนาดสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน ขายชาติ ขายอธิปไตย ขายผลประโยชน์แห่งชาตินับล้านๆ บาทอย่างโจ๋งครึ่ม
การทำให้การฉ้อฉลปล้นชาติและการโกงชาติเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่เป็นปกติโดยการดึงเอาคนชั่วช้าเลวทรามทุกสารทิศเข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง สวนคำสั่งสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสั่งสอนมาตลอดรัชกาลว่าให้ส่งเสริมคนดีให้มีอำนาจในบ้านเมืองอย่างหน้าตาเฉย และโดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้
วิกฤตนี้วิกฤตเดียวก็สามารถทำให้ประเทศไทยของเราสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินและสิ้นทุกสิ่งอย่างได้ มันจะทำลายประเทศชาติทั้งปัจจุบันและตลอดไปในอนาคตชั่วลูกหลานเหลนโหลน
วิกฤตที่ห้า คือวิกฤตทุรยุคที่เกิดข้าวยากหมากแพงทุกแห่งหน ประชาชนมีรายได้ไม่พอรายจ่าย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนเหล่าไหนพวกไหน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทหารตำรวจหรือพลเรือนหรือประชาชนชาวบ้านธรรมดา ไม่ว่าหน้าไหนๆ ต่างก็มีรายได้ไม่พอรายจ่ายมากขึ้นและมากขึ้นทุกที และเดินไปสู่หนทางสิ้นเนื้อประดาตัวมากขึ้นทุกที
อย่าว่าแต่คนที่อาศัยรายได้จากการทำงานใดๆ เลย แม้คนมีเงินฝากอยู่ในธนาคารดีๆ ก็ขาดทุน เพราะอัตราดอกเบี้ยได้รับน้อยกว่าค่าเงินเฟ้อ ค่าเงินก็ลดลงจนมีมูลค่าแท้จริงด้อยค่าลงโดยลำดับ สักวันหนึ่งเงินพันบาทจะซื้อได้ก็แค่บุหรี่ซองเดียวเท่านั้น
วิกฤตนี้จะทำลายความมั่งคั่งของประชาชนทั้งแผ่นดิน และสิ้นทั้งชาติ กระบวนการทำลายยังขยายตัวไปทุกขุมขน แม้เงินสำรองพิเศษในคลังหลวงก็กำลังถูกล้วงเอามาใช้ล้างผลาญสังเวยให้แก่กระบวนการทำลายชาติในคราวนี้
วิกฤตที่หก คือวิกฤตที่เกิดจากรัฐเป็นภัยของประชาชนเสียเอง ในสมัยโบราณนั้นเรียกภัยที่เกิดจากผู้ถืออำนาจรัฐว่าราชภัย แต่ในวันนี้ไม่มีราชภัยแล้ว แต่มันเป็นรัฐภัยที่มีรัฐตำรวจเป็นศูนย์กลางของสรรพภัยในประเทศนี้
ภัยจากโจรผู้ร้ายชุกชุม ภัยจากนักอุ้มซุ้มมือปืน ภัยจากการข่มเหงกดขี่ ภัยจากการกลั่นแกล้งและการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ถึงขนาดกฎหมายที่ควรเป็นขื่อแปของบ้านเมืองก็ถูกบิดผันมาใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทำลายล้างอาณาประชาราษฎร แล้วใช้เป็นเกราะกำบังคุ้มกันความชั่วช้าเลวทรามให้กับเหล่าอันธพาลที่ย่ำยีราษฎรนั้น
ประชาชนชาวไทยทั้งชาติกำลังถูกมายาภาพของสื่อในเงื้อมมืออำนาจรัฐปกปิดบิดเบือนและแปรผันไม่ให้รู้ความจริงหรือให้รู้บ้างก็ให้รู้เพียงบางส่วน มิหนำซ้ำยังบิดเบือน พลิกขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ฉีดยาชาให้กับสติปัญญาของประชาชนที่ไม่รู้สึกรู้สาอันใดต่อการฉ้อฉลปล้นชาติ ต่อการขายชาติ ต่อการสร้างความพินาศฉิบหายให้กับบ้านเมือง
หกวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังขยายตัวลุกลามไปอย่างกว้างขวางรวดเร็วนั้นมันเป็นวิกฤตเสียยิ่งกว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในยามใกล้เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง
เราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งเพียงเพราะขุนนางฝ่ายเหนือบางกลุ่มขายตัวยอมเป็นพวกพม่า เราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเพราะเหตุแตกสามัคคีกันภายในและมีคนชั่วขายตัวให้พม่า
แต่ครานี้สารพัดวิกฤตที่เป็นมหาวิกฤตยิ่งกว่าการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้งได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ชนชาวไทยทั้งผองจะร่วมกันกู้ชาติ หรือจะปล่อยให้เป็นไปสุดแท้แต่บุญกรรม ดังคำของซุยเป๋งเพื่อนของขงเบ้งที่เคยกล่าวไว้ว่า “ฟ้าจะถล่ม กบทูจะหัก จะเอาแขนค้ำยันไว้ได้หรือ?”
วันหนึ่งข้างหน้าประวัติศาสตร์อาจต้องบันทึกว่ากรุงรัตนโกสินทร์สิ้นแล้วในยุคสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายทัพนายกองที่มีชื่อเสียงเรียงนามต่าง ๆ กัน ให้อนุชนรุ่นหลังได้ประจานกันไปไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้!
คำพังเพยโบราณที่ว่า กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี แต่ก็ขาดไปอีกวลีหนึ่งคือ กรุงศรีอยุธยาก็มากด้วยคนชั่ว และบางคราวเพราะเหตุที่มากด้วยคนชั่วนั่นเอง จึงทำให้สิ้นแผ่นดินสิ้นชาติกันไปแล้ว
สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้พิเคราะห์กันให้จงดีเถิดว่ามันเป็นวิกฤตที่สุดในโลกที่จะทำให้สิ้นแผ่นดินสิ้นชาติหรือไม่? จะได้ไม่คิดประมาทกันต่อไป แล้วจะได้คิดอ่านทำการรักษาบ้านรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานสืบไป
ได้พิจารณาดูโดยแยบคายแล้ว อาจสรุปสถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ได้ว่ามีวิกฤตร้ายแรงที่เกิดขึ้นและกำลังขยายตัวลุกลามไป อันอาจมีผลทำให้สิ้นแผ่นดินสิ้นชาติได้ คือ
วิกฤตที่หนึ่ง คือวิกฤตที่คนชั่วขายชาติขายแผ่นดินให้เขมรในพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร ทำให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยเป็นครั้งแรกในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทำให้กระทบต่อพระบรมเดชานุภาพอย่างร้ายแรง และกำลังลุกลามไปตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เกือบ 40 จุด
เขมรนั้นเป็นชนชาติชั่วตั้งแต่ประวัติศาสตร์มาแล้ว ยามใดที่ไทยมีวิกฤต เขมรก็จะคอยซ้ำเติมและเบียดเบียน จนสมัยหนึ่งได้สร้างความเคียดแค้นแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นที่สุด เป็นเหตุให้เสร็จศึกอื่นแล้วจึงทรงกรีธาทัพไปปราบเขมร แล้วตัดหัวพระยาละแวกผู้ครองเขมร เอาเลือดหัวมาล้างพระบาท
วันนี้เขมรก็ยังไม่ทิ้งความชาติชั่ว ได้แผ่นดินบริเวณปราสาทพระวิหารแล้วยังไม่พอ ยังรุกเอาพื้นที่รอบนอกอีกกว่า 3,000 ไร่ แล้วยังบุกเข้ามายึดเอาแผ่นดินย่านสุรินทร์และแนวชายแดนอื่นซ้ำเข้าไปอีก
ยิ่งกว่านั้น ยังเอาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยซึ่งเป็นดินแดนของไทยเอาไปให้สัมปทานแก่ชาติมหาอำนาจและชาติอื่นๆ ทำการเจาะก๊าซและน้ำมันไปเกือบหมดแล้ว
ฉวยโอกาสที่คนไทยขายชาติเอื้อประโยชน์และเปิดโอกาสเพื่อหาประโยชน์ส่วนตัวทำการเอาตามใจชอบ เหยียบย่ำน้ำใจคนไทยทั้งประเทศอย่างหน้าตาเฉย
ประเทศไทยยามนี้มีรั้วก็เหมือนไม่มี เขมรจึงย่ำยีเอาได้ถึงปานนี้ ช่างน่าสมเพชเวทนาและช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก!
วิกฤตนี้เราจะเสียดินแดนชายแดนนับแสนไร่ และถ้ารวมดินแดนในทะเลบริเวณอ่าวไทยอีกหลายหมื่นตารางกิโลเมตร ตลอดจนผลประโยชน์แห่งชาติคือก๊าซและน้ำมันอันสุดมหาศาลเป็นแน่แท้
รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติไม่แก้ไขปกป้องอธิปไตยและประโยชน์แห่งชาติเลย ล่าสุดก็มีมติ ครม. ให้ปรับกำลังทหารซึ่งเป็นภาษาหลอกคนไทย เพราะเนื้อหาที่แท้จริงก็คือปล่อยให้เขมรยึดครองดินแดนไทยโดยไม่ให้ทหารเข้าเกี่ยวข้องนั่นเอง อนิจจังอนิจจาประเทศไทย
วิกฤตที่สอง เป็นวิกฤตความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเคยมอดมาตั้งแต่ยุคสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และคุโชนลุกลามเป็นไฟลามทุ่งในยุคสมัยรัฐบาลทักษิณ ไฟสงครามกลางเมืองโหมกระพือทั้งพื้นที่สามจังหวัด คือยะลา ปัตตานี นราธิวาส และอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือจะนะ เทพา นาทวี และสะเดา
มาวันนี้ปราการสำคัญ ณ จุดยุทธศาสตร์เบตงคงแตกแล้ว กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบจึงรุกขึ้นสู่อีก 2 อำเภอของจังหวัดสงขลา คืออำเภอหาดใหญ่และอำเภอเมือง ที่อุกอาจก่อเหตุถึงตำบลบ่อยาง คือบริเวณแหลมสมิหลาของอำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
แต่ที่ไม่เป็นข่าวก็คือการขยายตัวลุกลามออกไปยังฝั่งอันดามัน ทั้ง 6 จังหวัดฝั่งอันดามันนั้นแล้ว แม้ปัจจุบันนี้ยังใช้พื้นที่เป็นเขตหลัง แต่ก็ขยายอิทธิพลกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว
อำนาจรัฐซ้อนรัฐซึ่งเป็นรูปแบบการแบ่งแยกดินแดนแผนใหม่กำลังเกิดขึ้นและซึมลึกกว้างออกไปทุกที สงครามแย่งชิงประชาชนของฝ่ายตรงกันข้ามขยายไปเป็นไฟลามทุ่งโดยที่ไม่มีมาตรการใด ๆ ไปหยุดยั้งเอาไว้เลย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป 10 จังหวัดภาคใต้นอกจากสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร และระนอง คงจะถูกแย่งยึดเอาไปหมดในรูปแบบของรัฐซ้อนรัฐ และสงครามประชากรแผนใหม่
และหากความชั่วช้าสารเลวกดขี่ข่มเหงราษฎรและการฉ้อฉลปล้นชาติยังดำเนินต่อไปเหตุการณ์ร้ายก็จะมากกว่านี้ เพราะชาวไทยพุทธในพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกทอดทิ้งมาเป็นเวลาช้านานแล้ว และรำไรจะปกครองตนเองกันอยู่แล้ว คงจะหันไปจับมือกับพี่น้องมุสลิม แล้วจะกลายเป็น 17 จังหวัด คือ 14 จังหวัดของภาคใต้แล้วขยายลามขึ้นมาถึงประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี รวมเป็น 17 จังหวัด ที่อำนาจรัฐส่วนกลางเอื้อมไปไม่ได้
วิกฤตที่สาม คือวิกฤตที่คนไทยแตกแยกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการขับไล่ไสส่งพวกฉ้อฉลปล้นชาติขายชาติขายแผ่นดินออกไปจากอำนาจ กับพวกหนึ่งต้องการเปลี่ยนการปกครองไปเป็นระบอบสาธารณรัฐที่มีอำนาจรัฐหนุนหลัง และใช้อันธพาลการเมืองเป็นเครื่องมือ
แม้ว่าวันนี้กองกำลังอันธพาลยังเป็นกองกำลังประเภทที่ต้องอาศัยเงินไปเติมเพื่อขับเคลื่อน แต่ในที่สุดก็จะค่อยๆ พัฒนาไป ซึมลึกลงไปถึงจิตใจ และยากต่อการแก้ไขมากขึ้นทุกที
ถึงวันนั้นแม้จะตัดเส้นเลือดทางเศรษฐกิจได้สำเร็จ แต่สื่อความคิดอุดมการณ์ได้ปลูกฝังลงไปแล้ว ย่อมยากที่จะแก้ไข
รัฐบาลนอกจากไม่สร้างความสามัคคีในชาติ กลับใช้กลอุบายเล่ห์ร้ายนานาประการเพื่อทำลายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กระทั่งบังอาจเอื้อมเอาพระบารมีมาเป็นเครื่องมือสลายการชุมนุมก็ยังกล้ากระทำ กราบบังคมทูลเท็จก็ยังกล้ากระทำ
ทำให้เหตุปัจจัยที่จะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยด้วยกันเกิดขึ้นและกำลังขยายตัวไปอย่างกว้างขวางทั้งในกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัด หากจัดการแก้ไขไม่ถูกต้อง เลือดไทยคงต้องนองแผ่นดินในครั้งนี้
และถึงวันนั้นแม้อัศวินม้าขาวจะเข้ามากอบกู้ชาติก็ยากจะสำเร็จ ถึงสำเร็จก็ยากที่จะฟื้นฟูชาติให้สำเร็จได้ในเร็ววัน
ความบอบช้ำของชาติบ้านเมืองและความพินาศฉิบหายสุดที่จะประมาณนัก!
วิกฤตที่สี่ คือวัฒนธรรมแห่งการฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินหรือการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือการทุจริตคอร์รัปชันกำลังขยายตัวลุกลามงอกงามยิ่งกว่ายุคไหนๆ ในประวัติศาสตร์
เป็นการคอร์รัปชันแบบดิจิตอลและแบบโคตรโกงมหาโกง นั่นคือเป็นกระบวนการโกงชาติขนาดใหญ่นับแสนๆ ล้าน และใช้เล่ห์กลชั้นเชิงตลอดจนการย่ำยีกฎหมายบ้านเมืองทุกรูปแบบ ไม่เกรงหน้าอินทร์ ไม่กลัวหน้าพรหม ไม่แยแสต่อการตรวจสอบหรือกระบวนการยุติธรรมใดๆ เพราะเอามาไว้ในฝ่าเท้าเกือบหมดสิ้นแล้ว
ยกระดับขึ้นเป็นการโกงชาติที่ถึงขนาดสิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน ขายชาติ ขายอธิปไตย ขายผลประโยชน์แห่งชาตินับล้านๆ บาทอย่างโจ๋งครึ่ม
การทำให้การฉ้อฉลปล้นชาติและการโกงชาติเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องที่เป็นปกติโดยการดึงเอาคนชั่วช้าเลวทรามทุกสารทิศเข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง สวนคำสั่งสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงสั่งสอนมาตลอดรัชกาลว่าให้ส่งเสริมคนดีให้มีอำนาจในบ้านเมืองอย่างหน้าตาเฉย และโดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้
วิกฤตนี้วิกฤตเดียวก็สามารถทำให้ประเทศไทยของเราสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินและสิ้นทุกสิ่งอย่างได้ มันจะทำลายประเทศชาติทั้งปัจจุบันและตลอดไปในอนาคตชั่วลูกหลานเหลนโหลน
วิกฤตที่ห้า คือวิกฤตทุรยุคที่เกิดข้าวยากหมากแพงทุกแห่งหน ประชาชนมีรายได้ไม่พอรายจ่าย ไม่ว่าจะเป็นประชาชนเหล่าไหนพวกไหน ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทหารตำรวจหรือพลเรือนหรือประชาชนชาวบ้านธรรมดา ไม่ว่าหน้าไหนๆ ต่างก็มีรายได้ไม่พอรายจ่ายมากขึ้นและมากขึ้นทุกที และเดินไปสู่หนทางสิ้นเนื้อประดาตัวมากขึ้นทุกที
อย่าว่าแต่คนที่อาศัยรายได้จากการทำงานใดๆ เลย แม้คนมีเงินฝากอยู่ในธนาคารดีๆ ก็ขาดทุน เพราะอัตราดอกเบี้ยได้รับน้อยกว่าค่าเงินเฟ้อ ค่าเงินก็ลดลงจนมีมูลค่าแท้จริงด้อยค่าลงโดยลำดับ สักวันหนึ่งเงินพันบาทจะซื้อได้ก็แค่บุหรี่ซองเดียวเท่านั้น
วิกฤตนี้จะทำลายความมั่งคั่งของประชาชนทั้งแผ่นดิน และสิ้นทั้งชาติ กระบวนการทำลายยังขยายตัวไปทุกขุมขน แม้เงินสำรองพิเศษในคลังหลวงก็กำลังถูกล้วงเอามาใช้ล้างผลาญสังเวยให้แก่กระบวนการทำลายชาติในคราวนี้
วิกฤตที่หก คือวิกฤตที่เกิดจากรัฐเป็นภัยของประชาชนเสียเอง ในสมัยโบราณนั้นเรียกภัยที่เกิดจากผู้ถืออำนาจรัฐว่าราชภัย แต่ในวันนี้ไม่มีราชภัยแล้ว แต่มันเป็นรัฐภัยที่มีรัฐตำรวจเป็นศูนย์กลางของสรรพภัยในประเทศนี้
ภัยจากโจรผู้ร้ายชุกชุม ภัยจากนักอุ้มซุ้มมือปืน ภัยจากการข่มเหงกดขี่ ภัยจากการกลั่นแกล้งและการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ถึงขนาดกฎหมายที่ควรเป็นขื่อแปของบ้านเมืองก็ถูกบิดผันมาใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งทำลายล้างอาณาประชาราษฎร แล้วใช้เป็นเกราะกำบังคุ้มกันความชั่วช้าเลวทรามให้กับเหล่าอันธพาลที่ย่ำยีราษฎรนั้น
ประชาชนชาวไทยทั้งชาติกำลังถูกมายาภาพของสื่อในเงื้อมมืออำนาจรัฐปกปิดบิดเบือนและแปรผันไม่ให้รู้ความจริงหรือให้รู้บ้างก็ให้รู้เพียงบางส่วน มิหนำซ้ำยังบิดเบือน พลิกขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ฉีดยาชาให้กับสติปัญญาของประชาชนที่ไม่รู้สึกรู้สาอันใดต่อการฉ้อฉลปล้นชาติ ต่อการขายชาติ ต่อการสร้างความพินาศฉิบหายให้กับบ้านเมือง
หกวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังขยายตัวลุกลามไปอย่างกว้างขวางรวดเร็วนั้นมันเป็นวิกฤตเสียยิ่งกว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในยามใกล้เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง
เราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งเพียงเพราะขุนนางฝ่ายเหนือบางกลุ่มขายตัวยอมเป็นพวกพม่า เราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเพราะเหตุแตกสามัคคีกันภายในและมีคนชั่วขายตัวให้พม่า
แต่ครานี้สารพัดวิกฤตที่เป็นมหาวิกฤตยิ่งกว่าการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้งได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ชนชาวไทยทั้งผองจะร่วมกันกู้ชาติ หรือจะปล่อยให้เป็นไปสุดแท้แต่บุญกรรม ดังคำของซุยเป๋งเพื่อนของขงเบ้งที่เคยกล่าวไว้ว่า “ฟ้าจะถล่ม กบทูจะหัก จะเอาแขนค้ำยันไว้ได้หรือ?”
วันหนึ่งข้างหน้าประวัติศาสตร์อาจต้องบันทึกว่ากรุงรัตนโกสินทร์สิ้นแล้วในยุคสมัยที่นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายทัพนายกองที่มีชื่อเสียงเรียงนามต่าง ๆ กัน ให้อนุชนรุ่นหลังได้ประจานกันไปไม่มีที่สิ้นสุดก็เป็นได้!