พันธมิตรฯ รวมพลังสีฟ้า จัดงานวันแม่ยิ่งใหญ่ 10-12 ส.ค.นี้ “สนธิ” ชี้ เวทีพันธมิตรได้สร้างภราดรภาพเกิดขึ้นในไทยแล้ว พร้อมขยายวงทั่วประเทศ เผยเทียนแห่งธรรม ปราบอธรรมได้สิ้นซาก ด้านอดีต ส.ว.โคราช ตั้งฉายารัฐบาลหุ่นเชิด "หน้าด่าหลังแดก" เผยตั้งคณะกรรมการ "PPP" เป็นหน้าด่านงาบโครงการเมกะโปรเจกต์ แฉมอเตอร์เวย์เส้นทางโคราช ถูกกลืนแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้า ครม. ด้วยซ้ำ พร้อมระบุอีกหลายโครงการจ่อคิวเพียบ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถที่จะถึงนี้ว่า เราจะตั้งชื่องานว่า “12 สิงหาประชารวมใจเทิดแม่ของแผ่นดิน” โดยจะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 10-11-12 สิงหาคม โดยในวันที่ 12 ส.ค.นี้ จะมีศิลปินมากมาย เช่น การอ่านกลอนของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่แต่งกลอนเพื่อแม่ทุกคน จะมีการขับเสภา มีศิลปินอย่าง ณัฐ และพวงเดือน ยนตรรักษ์ อุมาพร บัวพึ่ง มาร่วมงานในวันนี้ด้วย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พวกเราได้สร้างภราดรภาพเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินไทย คือ ความเป็นพี่น้องกันโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติหรือศาสนา หรือชนชั้น รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ พยายามสร้างความสมานฉันท์ โดยพยายามบังคับความดีให้พวกเรายอมจำนนความชั่วของเขา ปัญหาของชาติบ้านเมืองวันนี้คือปัญหาของความเลวทรามต่ำช้าที่มันครอบงำไปทุกอณู กระทั่งพลังของศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม คือพวกเราไม่ยอมจำนน เราลุกขึ้นมาสู้ ที่สำคัญคือ พลังแห่งศีลธรรมได้กระจายตัวจากกทม.ไปทั่วประเทศแล้ว และพลังนี้กำลังไล่ ขยี้ บดสัตว์นรกทั้งหลายกระเจิดกระเจิงไปหมด
สมัยก่อนเวทีพันธมิตรไม่เคยมี เดี๋ยวนี้มีเรื่อย สระบุรี พิษณุโลก ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ขอนแก่น ลำปาง แม้กระทั่งที่เชียงใหม่ก็มี แสดงว่าพลังศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม ไม่ยอมจำนนต่อความชั่วร้าย เหตุนี้รัฐบาลหุ่นเชิดจึงเพลี่ยงพล้ำ เพราะเขาจะมาบังคับพวกเราที่เป็นตัวแทนความดีงาม ต้องยอมจำนนพวกเขา
“เขาเอางานวันเฉลิมฉลองพระราชสมภพ ของสมเด็จพระราชินี เพื่อบีบบังคับให้พวกเราต้องสยบ เราชี้แจงแจงแล้วว่า ประชาชนมีสิทธิแสดงออกความจงรักภักดีด้วยประชาชนเอง ไม่ต้องพึ่งรัฐบาล”
ถ้าหากพี่น้องมีโอกาสไปลานพระรูป รูปแบบการทำงานของเขา จอมปลอม เอาเตนท์มาตั้งเหมือนป้อมปราการ มีการเชิญผู้ทุนหนักศักดิ์ใหญ่ ขึ้นไปเพื่อกล่าวคำอวยพร ไม่เหมือนพวกเรานั้นกันด้วยจิตบริสุทธิ์ ไม่มีเต้นท์ ไม่มีพิธี รีตรอง จะสู้ใจที่บริสุทธิ์ได้ การชุมนุมของพวกเราเน้น คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มาตลอดเวลา เพราะ 3 สิ่งนี้ เมื่อเรา
เน้น 3 สิ่งนี้ เราก็ต้องปราบปรามความชั่ว ความผิด ความเลวทรามต่ำช้า เมื่อเราเน้น 3 สิ่งแล้ว ปรากฏว่า การเน้นชูธรรมนำหน้า กำลังเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่แพร่กระจายที่ไทย เรายังเน้นการออกมาพิทักษ์ รักษาชาติ ศาสนา กษัตริย์ ด้วยน้ำใจที่กตัญญู จงรักภักดีสถาบัน มุ่งโค่นระบอบทักษิน หุ่นเชิด รัฐบาสัตว์นรกไม่สามารถตอบคำถาม ไม่ยอมตอบ คือ คำถามที่บอกว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่า แถลงการณ์คือสนธิสัญญาต้องผ่านสภา ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมตินั้นไม่สามารถเอาไปใช้ได้ แสดงว่า แถลงการณ์ที่สัตว์นรกยื่นไปที่ยูเนสโก้ ต้องเป็นโมฆะ เขายังไม่ตอบคำถามนี้เลย
ธงธรรมของพันธมิตรเหมือนแสงเทียนที่จุดขึ้นมา สามารถส่องสว่างทั่วไทย จนหน้ากากที่แท้จริงของนักการเมือง ความเป็นมาร อสูรกาย ก็ออกมา ฉีกหน้ากาก ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ภาพดี ก็เป็นชั่วช้า ไม่ว่านักวิชาการที่เคยดี ก็กลายเป็นนักวิชาการที่ขายตัว พวกขายตัวขายชาติ ถูกกระชากหน้ากากกออกมาล่อนจ้อน ให้พวกเราเห็นหมด ทั้งหมดนี้เกิดจากธงธรรม เทียนแห่งธรรมแท้ๆ
ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ไทยที่เทียนแห่งธรรมส่องสว่างให้เห็นความชั่วร้าย พญามาร อสูรกาย ได้ชัดเจนเท่าเทียนแห่งธรรมของพ่อแม่พี่น้องครั้งนี้ พลังแห่งความดีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม ได้ออกมาเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ใช่พวกเราแล้ว กระบวนการจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จะหยุดอย่างนี้ไหม ก็เพราะพวกเราที่ทำให้พวกตั้งใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายชาติต้องหยุดชะงัก แม้ไม่สิ้นสุดก็มีเจตนาไม่กล้ารุกคืบต่อไป
ประกาศได้เลยว่าความจงรักภักดี และความตื่นตัวของพวกเราเอาธรรมนำ ไม่ทำให้ไทยเป็นอย่างเนปาล แต่เป็นราชอาณาจักรไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตลอดชั่วกาลนาน ต่างจังหวัด เกิดภราดรภาพยิ่งใหญ่สุดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราฟื้นสังคมชนบทที่อบอุ่น สังคมแห่งคุณธรรม ได้ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว สังคมที่เสียสละ กล้าหาญที่หายไปได้เกิดขึ้นอีกแล้ว ด้วยฝีมือของพ่อแม่พี่น้อง
ในเวทีชุมนุมเรามีหม่อมราชวงศ์ ชนชั้นกลาง คนใช้แรงงาน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชั้นผู้น้อย เกื้อกูลกัน บางคนมาจากต่างหวัด ในเวทีนี้มีหลายเชื้อชาติ มาอยู่ร่วมกันที่นี่ เป็นบรรยากาศภราดรภาพที่สังคมไทยเคยมีมานาน และสูญหายไปนับสิบปี เพิ่งกลับมาเมื่อมาชุมนุมทีนี่ เวทีเรามีภราดรภาพทางศาสนา พระคริสต์ มุสมลิม ซิกซ์ ฮินดู ทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งนั้น จะนับถือศาสนาไหนไม่มีความหมายตราบใดที่เรารักกันแบบฉันท์พี่ฉันท์น้อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นภราดรภาพแบบนี้ ศาสนาใดก็เหมือนกัน ในเวทีชุมนุมเรามีกรำฝนทนแดด ไม่ท้อถอย
“ผมต้องขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่ได้บริจาคดาวเทียมเอเอสทีวีในต่างจังหวัด วัดวาอารามซึ่งเคยเงียบสงัดเพราะวัฒนธรรมตะวันตกไหลเข้ามาทำให้คนไม่เข้าวัด เดี๋ยวนี้วัดที่ติดเอเอสทีวี เริ่มมีคนเข้าวัด มีการถวายน้ำชา นั่งดูทีวีกัน เสร็จแล้วพระนำไปเทศน์ต่อ คนที่ดูเอเอสทีวี ที่ใดมีการดูเอเอสทีวี มีพันธมิตร ไม่ทะเลาะกันมีแต่สันติ อดีตเงียบสงัดทุกคนไม่สนใจ เดี๋ยวนี้วัดเริ่มคึกคักมีคนที่รักแผ่นดินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ น่าประหลาดใจชาวพุทธ มุสสิม มานั่งดูรายการพวกเราชาวเอเอสทีวีเริ่มรู้ความจริงแล้ว พวกเขาคือพี่น้องกัน ที่เลวทรามต่ำช้าคือรัฐบาลที่รังแกพวกเขา ปล้นบ้านปล้นเมือง เอเอสทีวีติดที่ไหน ความเป็นไทยจะติดที่นั่นตลอดเวลา”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า คุณูปการที่พ่อแม่พี่น้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่พวกพันธมิตร ต้องเป็นพวกเราทุกคน รวมถึง 20 ล้านคนที่ดูเอเอสทีวี และนับวันจะเพิ่มขึ้นๆ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ของไทยเท่านั้น ผมยืนยัน ด้วยการติดตามข่าวสารไม่หยุดยั้ง ตนไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ใดที่เป็นปรากฏการณ์ที่สะพานมัฆวาน นาน 74 วัน ไม่มีการทำร้ายใคร ไม่มีทำลายทรัพย์สิน อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย แม้แต่ประชาชนที่ไม่เข้าใจเราก็ยังงงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
“วันพุธหน้าเราจะไปยื่นฟ้องศาลปกครองกรณีที่ รมต.3 คน ยังไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่”นายสนธิ กล่าว
อัดรัฐบาลหน้าด่าหลังแดก
นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา และอดีต ส.ว.จังหวัดนครราชสีมา ขึ้นกล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า เราไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ (เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์) มาถึงวันที่ 76 แล้ว และจะอยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าแผ่นดินนี้จะเข้าสู่ภาวะปกติ และเข้าสู่สันติสุขเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ ไม่สามารถสร้างได้เลย เพราะเป็นรัฐบาล 2 หน้ามาตลอด หน้าแรกคือ ออกมาวิจารณ์เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ด้านหลังหลอกลวงทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ว่า หลอกกิน ดังนั้น สรุปแล้วเราตั้งฉายาให้รัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาลหน้าด่าหลังแดก”
สำหรับเหตุการณ์ที่บอกได้ชัดเจนคือ กรณีออกมาด่านักข่าวของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งสาเหตุจริงๆ แล้ว เพราะเขากลัวว่านักข่าวจะตั้งคำถามถึงการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งภายใต้ชื่อ “PPP” หรือคณะกรรมการความร่วมมือนโยบายภาครัฐและเอกชน ที่มีนายกฯ เป็นประธาน และมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการด้วย ซึ่ง 2 คนนี้ เป็นสมาชิก “แก๊งออฟโฟร์”
โดยหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ เป็นการเอาตัวเองมาพิจารณาโครงการเมกะโปรเจกต์มูลค่าหลายแสนล้าน ก่อนเอาเข้าคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติดำเนินการ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ร่วมการงานกับรัฐในระบอบทักษิณนั้น จะบอกว่า ใครก็ตาม บริษัทใดก็ตามอยากได้งานในประเทศไทย จะต้องตีตั๋ว 2 ใบ ตั๋วใบแรก คือตั๋วเข้าสู่การประมูลซึ่งต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งหลังจากผ่านตั๋วใบแรกแล้ว จะได้งานหรือไม่ต้องซื้อตั๋วใบที่สอง 20-30% การเมืองแบบนี้ประเทศถึงฉิบหายอย่างเช่นในปัจจุบัน
ล่าสุด โครงการมอเตอร์เวย์ไปโคราช ได้ผ่านคณะกรรมการชุดนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้า ครม.ด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ยังมีโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 6,000 คัน ซึ่งนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน เตรียมจะยื่นให้ ป.ป.ช. พิจารณา ซึ่งเราสนับสนุนให้ยื่นเลย เพราะประชาชนจะร่วมมือเต็มที่ แต่เขาเผยเล่ห์เหลี่ยมออกมาว่า ถ้ายื่นเมื่อไหร่ก็จะยุบสภาทันที นอกจากนั้น ยังมีโครงการ 1.5 แสนล้านที่จะผันน้ำโขงเข้าสู่ประเทศไทย ที่ต้องจับตาด้วย รวมถึงโครงการสร้างเขื่อนที่ชัยภูมิซึ่งมีเงินลงทุนมูลค่าหมื่นล้าน ซึ่งโครงการนี้ก็ถูกนักการเมืองสั่งมาเช่นกัน
“ผมถามว่า ถ้าไม่ทำเขื่อนแต่สร้างเป็นฝายกั้นน้ำทีละ 50 กิโลเมตรได้ไหม ก็บอกว่าทำได้ แต่สาเหตุที่ไม่ทำคือ เพราะบอกว่านายไม่ได้สั่งมา ที่สำคัญมาสารภาพทีหลังว่า ถ้าไม่ทำตามคำสั่ง เจ้านายก็จะไม่ได้ 20%”
จับตารัฐแจกคลื่นให้กลุ่มทุน
นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้เวลาช่วงการจัดโครงการ “116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ” ทบทวนการกระทำที่ผ่านมา นายพิภพ กล่าวว่า จุดยืนของพันธมิตรฯ ยังคงเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน มุ่งเน้นการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น ตรวจสอบรัฐบาล ป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องการให้รัฐบาลทำงานตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ
นายพิภพ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 47 เรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ เพื่อแก้ไขกระบวนการสรรหาคณะกรรมการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ โดยให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและอำนาจรัฐ ที่จะเข้ามาควบคุมและแทรกแซงสื่อวิทยุและโทรทัศน์
“รัฐบาลยังพยายามที่จะออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิเสรีภาพ โดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามมาตรานั้นๆ ซึ่งประชาชนทุกภาคส่วนในสังคม ต้องระวัง และไปจับตาท่าทีของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด อาทิ รัฐบาลมีการทำประชาพิจารณ์สำรวจความเห็นของประชาชนก่อนหรือไม่”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถที่จะถึงนี้ว่า เราจะตั้งชื่องานว่า “12 สิงหาประชารวมใจเทิดแม่ของแผ่นดิน” โดยจะเริ่มงานตั้งแต่วันที่ 10-11-12 สิงหาคม โดยในวันที่ 12 ส.ค.นี้ จะมีศิลปินมากมาย เช่น การอ่านกลอนของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ที่แต่งกลอนเพื่อแม่ทุกคน จะมีการขับเสภา มีศิลปินอย่าง ณัฐ และพวงเดือน ยนตรรักษ์ อุมาพร บัวพึ่ง มาร่วมงานในวันนี้ด้วย
นายสนธิ กล่าวต่อว่า พวกเราได้สร้างภราดรภาพเกิดขึ้นแล้วในแผ่นดินไทย คือ ความเป็นพี่น้องกันโดยไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติหรือศาสนา หรือชนชั้น รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ พยายามสร้างความสมานฉันท์ โดยพยายามบังคับความดีให้พวกเรายอมจำนนความชั่วของเขา ปัญหาของชาติบ้านเมืองวันนี้คือปัญหาของความเลวทรามต่ำช้าที่มันครอบงำไปทุกอณู กระทั่งพลังของศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม คือพวกเราไม่ยอมจำนน เราลุกขึ้นมาสู้ ที่สำคัญคือ พลังแห่งศีลธรรมได้กระจายตัวจากกทม.ไปทั่วประเทศแล้ว และพลังนี้กำลังไล่ ขยี้ บดสัตว์นรกทั้งหลายกระเจิดกระเจิงไปหมด
สมัยก่อนเวทีพันธมิตรไม่เคยมี เดี๋ยวนี้มีเรื่อย สระบุรี พิษณุโลก ร้อยเอ็ด สุรินทร์ ขอนแก่น ลำปาง แม้กระทั่งที่เชียงใหม่ก็มี แสดงว่าพลังศีลธรรมคุณธรรม จริยธรรม ไม่ยอมจำนนต่อความชั่วร้าย เหตุนี้รัฐบาลหุ่นเชิดจึงเพลี่ยงพล้ำ เพราะเขาจะมาบังคับพวกเราที่เป็นตัวแทนความดีงาม ต้องยอมจำนนพวกเขา
“เขาเอางานวันเฉลิมฉลองพระราชสมภพ ของสมเด็จพระราชินี เพื่อบีบบังคับให้พวกเราต้องสยบ เราชี้แจงแจงแล้วว่า ประชาชนมีสิทธิแสดงออกความจงรักภักดีด้วยประชาชนเอง ไม่ต้องพึ่งรัฐบาล”
ถ้าหากพี่น้องมีโอกาสไปลานพระรูป รูปแบบการทำงานของเขา จอมปลอม เอาเตนท์มาตั้งเหมือนป้อมปราการ มีการเชิญผู้ทุนหนักศักดิ์ใหญ่ ขึ้นไปเพื่อกล่าวคำอวยพร ไม่เหมือนพวกเรานั้นกันด้วยจิตบริสุทธิ์ ไม่มีเต้นท์ ไม่มีพิธี รีตรอง จะสู้ใจที่บริสุทธิ์ได้ การชุมนุมของพวกเราเน้น คุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม มาตลอดเวลา เพราะ 3 สิ่งนี้ เมื่อเรา
เน้น 3 สิ่งนี้ เราก็ต้องปราบปรามความชั่ว ความผิด ความเลวทรามต่ำช้า เมื่อเราเน้น 3 สิ่งแล้ว ปรากฏว่า การเน้นชูธรรมนำหน้า กำลังเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่แพร่กระจายที่ไทย เรายังเน้นการออกมาพิทักษ์ รักษาชาติ ศาสนา กษัตริย์ ด้วยน้ำใจที่กตัญญู จงรักภักดีสถาบัน มุ่งโค่นระบอบทักษิน หุ่นเชิด รัฐบาสัตว์นรกไม่สามารถตอบคำถาม ไม่ยอมตอบ คือ คำถามที่บอกว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่า แถลงการณ์คือสนธิสัญญาต้องผ่านสภา ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมตินั้นไม่สามารถเอาไปใช้ได้ แสดงว่า แถลงการณ์ที่สัตว์นรกยื่นไปที่ยูเนสโก้ ต้องเป็นโมฆะ เขายังไม่ตอบคำถามนี้เลย
ธงธรรมของพันธมิตรเหมือนแสงเทียนที่จุดขึ้นมา สามารถส่องสว่างทั่วไทย จนหน้ากากที่แท้จริงของนักการเมือง ความเป็นมาร อสูรกาย ก็ออกมา ฉีกหน้ากาก ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ภาพดี ก็เป็นชั่วช้า ไม่ว่านักวิชาการที่เคยดี ก็กลายเป็นนักวิชาการที่ขายตัว พวกขายตัวขายชาติ ถูกกระชากหน้ากากกออกมาล่อนจ้อน ให้พวกเราเห็นหมด ทั้งหมดนี้เกิดจากธงธรรม เทียนแห่งธรรมแท้ๆ
ไม่เคยมีครั้งไหนในประวัติศาสตร์ไทยที่เทียนแห่งธรรมส่องสว่างให้เห็นความชั่วร้าย พญามาร อสูรกาย ได้ชัดเจนเท่าเทียนแห่งธรรมของพ่อแม่พี่น้องครั้งนี้ พลังแห่งความดีศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม ได้ออกมาเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ใช่พวกเราแล้ว กระบวนการจ้องล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จะหยุดอย่างนี้ไหม ก็เพราะพวกเราที่ทำให้พวกตั้งใจล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ทำลายชาติต้องหยุดชะงัก แม้ไม่สิ้นสุดก็มีเจตนาไม่กล้ารุกคืบต่อไป
ประกาศได้เลยว่าความจงรักภักดี และความตื่นตัวของพวกเราเอาธรรมนำ ไม่ทำให้ไทยเป็นอย่างเนปาล แต่เป็นราชอาณาจักรไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตลอดชั่วกาลนาน ต่างจังหวัด เกิดภราดรภาพยิ่งใหญ่สุดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราฟื้นสังคมชนบทที่อบอุ่น สังคมแห่งคุณธรรม ได้ปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว สังคมที่เสียสละ กล้าหาญที่หายไปได้เกิดขึ้นอีกแล้ว ด้วยฝีมือของพ่อแม่พี่น้อง
ในเวทีชุมนุมเรามีหม่อมราชวงศ์ ชนชั้นกลาง คนใช้แรงงาน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชั้นผู้น้อย เกื้อกูลกัน บางคนมาจากต่างหวัด ในเวทีนี้มีหลายเชื้อชาติ มาอยู่ร่วมกันที่นี่ เป็นบรรยากาศภราดรภาพที่สังคมไทยเคยมีมานาน และสูญหายไปนับสิบปี เพิ่งกลับมาเมื่อมาชุมนุมทีนี่ เวทีเรามีภราดรภาพทางศาสนา พระคริสต์ มุสมลิม ซิกซ์ ฮินดู ทุกคนเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งนั้น จะนับถือศาสนาไหนไม่มีความหมายตราบใดที่เรารักกันแบบฉันท์พี่ฉันท์น้อง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นภราดรภาพแบบนี้ ศาสนาใดก็เหมือนกัน ในเวทีชุมนุมเรามีกรำฝนทนแดด ไม่ท้อถอย
“ผมต้องขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่ได้บริจาคดาวเทียมเอเอสทีวีในต่างจังหวัด วัดวาอารามซึ่งเคยเงียบสงัดเพราะวัฒนธรรมตะวันตกไหลเข้ามาทำให้คนไม่เข้าวัด เดี๋ยวนี้วัดที่ติดเอเอสทีวี เริ่มมีคนเข้าวัด มีการถวายน้ำชา นั่งดูทีวีกัน เสร็จแล้วพระนำไปเทศน์ต่อ คนที่ดูเอเอสทีวี ที่ใดมีการดูเอเอสทีวี มีพันธมิตร ไม่ทะเลาะกันมีแต่สันติ อดีตเงียบสงัดทุกคนไม่สนใจ เดี๋ยวนี้วัดเริ่มคึกคักมีคนที่รักแผ่นดินใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ น่าประหลาดใจชาวพุทธ มุสสิม มานั่งดูรายการพวกเราชาวเอเอสทีวีเริ่มรู้ความจริงแล้ว พวกเขาคือพี่น้องกัน ที่เลวทรามต่ำช้าคือรัฐบาลที่รังแกพวกเขา ปล้นบ้านปล้นเมือง เอเอสทีวีติดที่ไหน ความเป็นไทยจะติดที่นั่นตลอดเวลา”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า คุณูปการที่พ่อแม่พี่น้องสร้างขึ้นมา ไม่ใช่พวกพันธมิตร ต้องเป็นพวกเราทุกคน รวมถึง 20 ล้านคนที่ดูเอเอสทีวี และนับวันจะเพิ่มขึ้นๆ นี่ไม่ใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ของไทยเท่านั้น ผมยืนยัน ด้วยการติดตามข่าวสารไม่หยุดยั้ง ตนไม่เคยเห็นปรากฏการณ์ใดที่เป็นปรากฏการณ์ที่สะพานมัฆวาน นาน 74 วัน ไม่มีการทำร้ายใคร ไม่มีทำลายทรัพย์สิน อย่าว่าแต่ฝรั่งเลย แม้แต่ประชาชนที่ไม่เข้าใจเราก็ยังงงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
“วันพุธหน้าเราจะไปยื่นฟ้องศาลปกครองกรณีที่ รมต.3 คน ยังไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่”นายสนธิ กล่าว
อัดรัฐบาลหน้าด่าหลังแดก
นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา และอดีต ส.ว.จังหวัดนครราชสีมา ขึ้นกล่าวบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ว่า เราไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่ (เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์) มาถึงวันที่ 76 แล้ว และจะอยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าแผ่นดินนี้จะเข้าสู่ภาวะปกติ และเข้าสู่สันติสุขเป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนี้ ไม่สามารถสร้างได้เลย เพราะเป็นรัฐบาล 2 หน้ามาตลอด หน้าแรกคือ ออกมาวิจารณ์เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ด้านหลังหลอกลวงทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ว่า หลอกกิน ดังนั้น สรุปแล้วเราตั้งฉายาให้รัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาลหน้าด่าหลังแดก”
สำหรับเหตุการณ์ที่บอกได้ชัดเจนคือ กรณีออกมาด่านักข่าวของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งสาเหตุจริงๆ แล้ว เพราะเขากลัวว่านักข่าวจะตั้งคำถามถึงการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งภายใต้ชื่อ “PPP” หรือคณะกรรมการความร่วมมือนโยบายภาครัฐและเอกชน ที่มีนายกฯ เป็นประธาน และมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการด้วย ซึ่ง 2 คนนี้ เป็นสมาชิก “แก๊งออฟโฟร์”
โดยหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ เป็นการเอาตัวเองมาพิจารณาโครงการเมกะโปรเจกต์มูลค่าหลายแสนล้าน ก่อนเอาเข้าคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติดำเนินการ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ร่วมการงานกับรัฐในระบอบทักษิณนั้น จะบอกว่า ใครก็ตาม บริษัทใดก็ตามอยากได้งานในประเทศไทย จะต้องตีตั๋ว 2 ใบ ตั๋วใบแรก คือตั๋วเข้าสู่การประมูลซึ่งต้องจ่ายไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งหลังจากผ่านตั๋วใบแรกแล้ว จะได้งานหรือไม่ต้องซื้อตั๋วใบที่สอง 20-30% การเมืองแบบนี้ประเทศถึงฉิบหายอย่างเช่นในปัจจุบัน
ล่าสุด โครงการมอเตอร์เวย์ไปโคราช ได้ผ่านคณะกรรมการชุดนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้า ครม.ด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ยังมีโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 6,000 คัน ซึ่งนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน เตรียมจะยื่นให้ ป.ป.ช. พิจารณา ซึ่งเราสนับสนุนให้ยื่นเลย เพราะประชาชนจะร่วมมือเต็มที่ แต่เขาเผยเล่ห์เหลี่ยมออกมาว่า ถ้ายื่นเมื่อไหร่ก็จะยุบสภาทันที นอกจากนั้น ยังมีโครงการ 1.5 แสนล้านที่จะผันน้ำโขงเข้าสู่ประเทศไทย ที่ต้องจับตาด้วย รวมถึงโครงการสร้างเขื่อนที่ชัยภูมิซึ่งมีเงินลงทุนมูลค่าหมื่นล้าน ซึ่งโครงการนี้ก็ถูกนักการเมืองสั่งมาเช่นกัน
“ผมถามว่า ถ้าไม่ทำเขื่อนแต่สร้างเป็นฝายกั้นน้ำทีละ 50 กิโลเมตรได้ไหม ก็บอกว่าทำได้ แต่สาเหตุที่ไม่ทำคือ เพราะบอกว่านายไม่ได้สั่งมา ที่สำคัญมาสารภาพทีหลังว่า ถ้าไม่ทำตามคำสั่ง เจ้านายก็จะไม่ได้ 20%”
จับตารัฐแจกคลื่นให้กลุ่มทุน
นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขอให้กลุ่มพันธมิตรฯ ใช้เวลาช่วงการจัดโครงการ “116 วัน จากวันแม่ถึงวันพ่อ” ทบทวนการกระทำที่ผ่านมา นายพิภพ กล่าวว่า จุดยืนของพันธมิตรฯ ยังคงเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน มุ่งเน้นการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น ตรวจสอบรัฐบาล ป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องการให้รัฐบาลทำงานตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ
นายพิภพ กล่าวต่อว่า รัฐบาลเตรียมเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 47 เรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ เพื่อแก้ไขกระบวนการสรรหาคณะกรรมการจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ โดยให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนและอำนาจรัฐ ที่จะเข้ามาควบคุมและแทรกแซงสื่อวิทยุและโทรทัศน์
“รัฐบาลยังพยายามที่จะออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในหมวดสิทธิเสรีภาพ โดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามมาตรานั้นๆ ซึ่งประชาชนทุกภาคส่วนในสังคม ต้องระวัง และไปจับตาท่าทีของรัฐบาลในเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด อาทิ รัฐบาลมีการทำประชาพิจารณ์สำรวจความเห็นของประชาชนก่อนหรือไม่”