xs
xsm
sm
md
lg

เอกชนผวา “3 รมต.หวย”- “โกร่ง”รมช.คลังคนใหม่ โวจีดีพี 8%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการรายวัน- เอกชนยังไม่เชื่อมั่น ชี้ปัจจัยลบรุมเร้าเศรษฐกิจการลงทุน ชี้คดีหวยบนดินอาจทำให้รัฐบาลต้องเปลี่ยนรัฐมนตรีอีกใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ส่วน "โกร่ง" ที่ปรึกษาก็เคยคิดต่างแบงก์ชาติ ได้แต่ภาวนาให้ใช้ข้อมูลเดียวกันในการตัดสินใจนโยบายการเงิน บิ๊ก กกร.คาดแบงก์ชาติอาจจำเป็นต้องพลิกกลับนโยบายดอกเบี้ย ขณะที่ "สุชาติ" รมช.คลังคนใหม่ฟุ้งปีนี้เศรษฐกิจไทยโต 8% เพราะทีมเวิร์ค "เลี้ยบ-โกร่ง"

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (สภาหอฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสมาคมธนาคารไทย วานนี้ (4 ส.ค.) ว่า แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใหม่พร้อมตั้งคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจนายกรัฐมนตรี 5 คนโดยมีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธานแต่เอกชนยังเห็นว่าการเมืองยังคงมีอีกหลายเรื่องที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะคดีหวยบนดินที่จะมีการตัดสินภายใน 2 สัปดาห์นี้ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะเกิดขึ้นอีก

“ก็ใช่ว่าจะสบายใจเพราะหากคดีหวยบนดินชี้ขาด 3 รัฐมนตรีต้องพ้นจากการดำเนินงานก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีใหม่อีกก็จะต้องตามเรื่องนี้จึงยังไม่อยากที่จะมองอะไรให้ไกลจากนี้ คือถ้าการเมืองยังไม่ชัดเจนการทำงานของรัฐบาลก็ยังไม่มีอะไรแน่นอน”นายประมนต์ กล่าว

สำหรับกรณีที่นายวีรพงษ์ ในช่วงที่ผ่านมามีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและนโยบายการดำเนินงานที่ขัดแย้งกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นั้น ได้แต่หวังว่าในที่สุดทั้งสองฝ่ายคงจะได้มีการหารือกันในข้อมูลที่ชัดเจนเพราะที่ผ่านมา ธปท.เองก็จะมีข้อมูลอยู่แล้ว ขณะที่ทีมที่ปรึกษาก็จะมีข้อมูลอีกส่วนหนึ่งและเป็นคนละข้อมูลกันแต่ทั้งหมดท้ายสุดจะต้องมองประโยชน์โดยรวม

ทั้งนี้ ภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบันภาพรวมน่าจะมีทิศทางที่ลดลงในครึ่งปีหลังจากหลายๆ ปัจจัยทั้งน้ำมันและ6 มาตรการของภาครัฐที่ออกมาดูแลค่าใช้จ่ายประชาชนทั้งลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ลดค่าครองชีพด้วยการลดค่าน้ำ ไฟฟ้า รถเมล์ฟรี ฯลฯดังนั้นอัตราดอกเบี้ยแนวโน้มครึ่งปีหลังจึงน่าจะมีโอกาสชะลอตัวมากกว่าที่จะปรับขึ้นดังนั้นทิศทางดอกเบี้ยก็น่าจะยืนในระดับปัจจุบันไปได้อีก

คาด ธปท.ปรับนโยบายดอกเบี้ย

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่ผ่านมาค่อนข้างสูงแต่แนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะเป็นทิศทางที่ชะลอตัวลงเนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับลดลงค่อนข้างมากตามภาวะตลาดโลกขณะเดียวกันอีกส่วนเกิดจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลของภาครัฐ นอกจากนี้มาตรการที่ออกมาในการลดค่าครองชีพประชาชนเช่น ขึ้นรถเมล์ฟรี น้ำประปา ค่าไฟ ฯลฯก็มีส่วนสำคัญที่จะผลักดันให้เงินเฟ้อชะลอตัวค่อนข้างมากพอสมควรแนวโน้มเดือนหน้าทิศทางเงินเฟ้อคงปรับลดได้ระดับหนึ่ง

“6 มาตรการฯ น่าจะใช้ได้ผลอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มลดลง ดังนั้น ธปท.คงต้องทบทวนนโยบายดอกเบี้ยใหม่ และเป็นไปได้ที่ ธปท.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับนี้สักระยะ”นายอภิศักดิ์ กล่าว

สำหรับการทำงานของทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจนายกฯ ที่มีนายวีรพงษ์ เป็นประธานนั้นที่ผ่านมาแนวคิดอาจจะต่างจาก ธปท.นั้นทั้งหมดเห็นว่าควรจะอยู่ที่เหตุผลในที่สุดเชื่อว่าการตัดสินใจด้านนโยบายคงอยู่บนพื้นฐานทางข้อมูลที่เหมือนกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือรัฐบาลคงจะต้องพิจารณาผ่านงบประมาณให้ได้ก่อน เพราะไม่เช่นนั้นประเทศชาติคงจะติดขัดแน่นอนการลงทุนคงจะไม่เกิดจะเป็นปัญหา

3 เดือนเห็นผลงานทีมที่ปรึกษา

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า คาดว่าอย่างน้อย 3 เดือนคงจะเห็นภาพการทำงานของทีมที่ปรึกษานายกฯและทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจรัฐบาลว่าจะไปในทางใดซึ่งเอกชนต่างคาดหวังว่าการทำงานจะต้องประสานกันไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตามการเมืองคงจะต้องรอความชัดเจนจากคดีต่างๆ อีกหลายเรื่องดังนั้นปัจจัยการเมืองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการสร้างความเชื่อมั่นภาพรวม

“ทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาล จะสร้างความรู้สึกที่ดีต่อนักลงทุนและผู้ประกอบการ โดยมีการแบ่งแยกสายงานดูแล เช่น นายมนู เลียวไพโรจน์ อดีตปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ดูแลด้านอุตสาหกรรม นายปรเมธี วิมลศิริ ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดูแลด้านการค้า นายคณิศ แสงสุพรรณ ดูแลการเงินการคลัง ซึ่งนับว่าดูแลได้ครอบคลุมทั่วถึง”นายสันติ กล่าว

สำหรับภาวะราคาน้ำมันที่ลดลงนั้นจะมีผลต่อทิศทางเงินเฟ้อที่ลดต่ำลงได้ในช่วงครึ่งปีหลังได้ดังนั้นทิศทางดอกเบี้ยคงจะชะลอตัว ส่วนกรณีที่นายวีรพงษ์ รามางกูร ทำงานอยู่ภาคเอกชนหลายแห่ง ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า น่าจะสามารถแยกแยะการทำงานระหว่างงานรัฐบาลกับภาคธุรกิจได้

รมช.คลังใหม่โวจีดีพีโต 8%

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมช.คลัง คนใหม่ กล่าวว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึง 8% เป็นผลจากการที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกับคณะที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทำงานเป็นทีม บริหารนโยบายเศรษฐกิจให้สอดคล้องกัน เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้นักลงทุนไทยไม่หันไปลงทุนต่างประเทศ โดยจะเน้นการใช้นโยบายการเงิน การคลัง และพลังงาน รวมทั้ง ใช้นโยบายเพิ่มโอกาสประชาชน

“6 มาตรการ 6 เดือน ในช่วงแรกรัฐบาลจะสูญเสียรายได้ 5 หมื่นล้านบาท แต่จะทำให้มีเงินกลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจ 8 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.6 เท่า หรือจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 0.8% ในรูปของภาษีที่ได้จากการจับจ่ายของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น ที่สำคัญจะขยายกลุ่มคนชนชั้นกลางอีก 20 ล้านคน เพราะมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1,000 บาท" นายสุชาติอ้างและเชื่อว่าทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีนำโดย นายวีรพงษ์ รามางกูร กับทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังจะไม่มีปัญหาในการทำงาน หรือแม้แต่ปัญหาการทำงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับนโยบายการเงินในเรื่องอัตราดอกเบี้ย เพราะที่ผ่านมานายวีรพงษ์ เป็นนักเศรษฐกิจมือ 1 ไม่เคยให้ความเห็นทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด

นายสุชาติ มองว่า ในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตไม่จำเป็นต้องกำหนดกรอบหนี้สาธารณะไว้ไม่เกิน 30-40% ต่อจีดีพี เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ และ อิตาลี ก็มีสัดส่วนหนี้สาธารณะมากกว่า 100-120% ต่อจีดีพี และหนี้สาธารณะของไทยส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินบาทและเป็นเพียงหนี้ทางบัญชีเท่านั้น ที่สำคัญไทยเป็นประเทศเล็ก ยังต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตมากกว่านี้

นอกจากนี้ ตนพร้อมจะให้สื่อมวลชนสอบถามเกี่ยวกับเนื้องานในความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ แต่ไม่พร้อมจะให้ตรวจสอบประวัติส่วนตัวหรือประเด็นทางการเมือง เพราะหากมีประเด็นเหล่านี้มาเกี่ยวข้องจะขอถอนตัวทันที เนื่องจากไม่ต้องการให้เสียประวัติและเกียรติภูมิที่สะสมมา สำหรับบุคคลที่ชักชวนตนเข้ามาทำหน้าที่ รมช.คลัง คือ นพ.สุรพงษ์ และถือว่าอยู่ในงานที่เคยทำงานมาตลอดตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กำลังโหลดความคิดเห็น