โครงการจัดหารถก๊าซเอ็นจีวีของ ขสมก. จำนวน 6,000 คัน โดยมีวงเงินงบประมาณค่าเช่า 10 ปี เป็นจำนวนเงินสูงถึง 110,000 ล้านบาท ถูกเปิดโปงจากพรรคฝ่ายค้านและต้องถอนออกจากการประชุมคณะรัฐมนตรีถึง 2 ครั้ง และล่าสุดก็ต้องเตะโด่งไปให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฟอกโครงการให้ดูเนียนขึ้น
หมายความว่าถึงแม้จะถูกเปิดโปงอย่างไร รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติก็ยังคงดึงดันที่จะทำโครงการนี้ต่อไป และเร่งรัดให้สภาพัฒน์ รีบส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 8 สิงหาคม 2551
จะเป็นการฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนฝุ่นตลบทางการเมืองเป็นม่านบังเพื่อปล้นชาติปล้นแผ่นดินต่อไปก็ว่าได้
เหตุผลที่โครงการนี้ต้องถอนไปจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกก็เพราะพรรคฝ่ายค้านเปิดโปงว่าโครงการนี้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะกันถึง 6,000 ล้านบาท และแบ่งกันเป็น 3 ส่วนในหมู่แกนนำของรัฐบาล
การเปิดโปงดังกล่าวเป็นข่าวฮือฮาอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดการตื่นตระหนกขึ้นในรัฐบาล แล้วต้องเตะเรื่องออกไปจากการพิจารณา แต่แล้วก็นำเข้ามาใหม่อีก!
คราวนี้ถูกพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปิดโปงบนเวทีปราศรัยว่าความจริงไม่ได้โกงชาติกันแค่ 6,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่โกงกันถึง 62,000 ล้านบาท
แล้วระบุอีกว่ามีการตั้งกลุ่มจัดทำเอกสารสำคัญของโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในคืนวันอาทิตย์ ทำกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน แล้วไปเสร็จเอาตอนตี 4 โดยมีการกำชับกันอย่างแน่นหนาว่าอย่าให้ข่าวหลุดออกไปถึงสื่อมวลชนหรือกลุ่มพันธมิตรฯ
ปรากฏว่ารุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ พอตกกลางคืน พวกแกนนำพันธมิตรฯ ก็นำความออกไปเปิดโปงถึงการซุ่มทำเอกสารสำคัญดังกล่าว โดยอ้างอิงว่าได้รับสำเนาจากข้าราชการที่รักชาติรักบ้านเมืองส่งมาให้
รุ่งขึ้นเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี ก็เกิดอาการตื่นตระหนกตกใจเพราะข้อมูลที่พวกพันธมิตรฯ นำมาเปิดเผยนั้น มันสะเทือนใจและมันตรงกับความจริง จนทำให้คนที่เกี่ยวข้องต้องสะทกสะท้าน
มิหนำซ้ำ พวกรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยเมื่อได้รู้จำนวนผลประโยชน์มากมายมหาศาล โดยที่ตัวเองไม่ได้รับแบ่งสันปันส่วนเลยก็ไม่พอใจ จึงพากันตั้งข้อสงสัยและซักถามกันเป็นการใหญ่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่การชี้แจงก็ไม่ใสกระจ่าง
ในที่สุดจะดึงดันไปก็ไม่ไหว จึงต้องเตะลูกออกนอกสนามไปชั่วคราว ด้วยการมีมติให้ส่งเรื่องไปให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณา แล้วอาศัยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิเศษคอยติดตามกำกับเร่งรัดเรื่องนี้ และเร่งรัดกันให้นำเข้าพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 สิงหาคม ศกนี้
คราวนี้คงจะตกลงแบ่งสันปันส่วนกันไปเรียบร้อยแล้ว และคงมีการฟอกความสกปรกให้ดูเนียนขึ้นแล้ว จึงจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
ก็ต้องบอกกล่าวให้คนไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตทั้งหลายทั้งปวง และองค์กรตรวจสอบทั้งหลายในสภาผู้แทนราษฎรก็ดี ในวุฒิสภาก็ดี ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐสภาก็ดี องค์กรประชาชนก็ดี สหภาพ ขสมก. ก็ดี ตลอดจนประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายได้ช่วยกันดูแลโครงการนี้อย่าให้มีการโกงบ้านผลาญเมืองได้เป็นอันขาด
และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ต้องทำความเข้าใจกันว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการใหม่ แต่เป็นโครงการเก่าตั้งแต่ปลายยุครัฐบาลทักษิณ
คราวนั้นโครงการกำหนดจัดหารถบัส ขสมก. ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพียง 2,000 คันเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้เพราะมีจำนวนรถมากอยู่แล้ว และยังมีเมกะโปรเจกต์เรื่องรถไฟใต้ดินอีกตั้ง 9 สาย ขอให้จำหมายไว้ให้แม่นว่าโครงการนี้แต่เดิมทีกำหนดเอาเพียง 2,000 คันเท่านั้น
แต่ใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการจัดหาสุดลึกล้ำนัก เรียกว่ายากจะจับได้ไล่ทัน เพราะจะทำโครงการเป็นว่า ปตท. จะจัดหารถบัสดังกล่าวมายกให้ฟรีแก่ ขสมก. ดูผิวเผินแล้ว ขสมก. ก็จะได้รถฟรี
แล้วมันเชื่อมโยงอะไรกับ ปตท. เล่า? มันมีข้อตกลงต่อไปว่า ขสมก. จะต้องซื้อก๊าซเอ็นจีวีจาก ปตท. มาใช้กับรถจำนวน 2,000 คันนี้ตลอดไป ในราคาตลาดบวกราคาพิเศษเพิ่มขึ้นอีกยูนิตละ 12 บาท ซึ่งเมื่อรวมคำนวณแล้วตลอดระยะเวลาที่ใช้รถ ขสมก. จะต้องจ่ายเงินส่วนเกินนี้ถึงคันละ 12 ล้านบาท
นั่นเท่ากับว่า ขสมก. จะต้องจ่ายค่ารถในรูปของค่าก๊าซส่วนเกินถึง 12 ล้านบาทต่อคัน ในขณะที่ถ้าหากจะซื้อรถกันโดยตรงก็จะซื้อได้ในราคาคันละ 3,800,000 บาทเท่านั้น
ปตท. ลงทุนจัดหารถคันละ 3,800,000 บาท แต่ได้รับเงินจาก ขสมก. ถึง 12 ล้านบาท เป็นกำไรถึง 8,200,000 บาทต่อคัน แล้วจะมีการจัดสรรผลประโยชน์กันในรูปแบบที่ลึกลับซับซ้อน
ดังนั้นในคราวนั้น ขสมก. อาจต้องใช้เงินถึง 24,000 ล้านบาท ในการจัดหารถบัสจำนวน 2,000 คัน โดยรถนั้นรู้กันว่าจัดหามาจากผู้ผลิตในมณฑลฮกเกี้ยนของประเทศจีน ซึ่งได้ล็อกสเป็กกันไว้แล้วส่งรถตัวอย่างมาให้ใช้กันบ้างแล้ว
เดชะบุญโครงการโกงชาติคราวนั้นยังทำไม่ทันเสร็จก็เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสียก่อน เรื่องมันจึงระงับไป แต่พอรัฐบาลหุ่นเชิดเข้ามาก็มีการรื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาใหม่
แต่คราวนี้ 2,000 คันอาจจะน้อยไป จึงทำเป็นโครงการจัดหา 6,000 คัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะหาผู้โดยสารจากที่ไหน ขสมก. คงจะบรรลัยวอดในคราวนี้เป็นแน่แท้! เพราะเมื่อถึงเวลานั้นรถไฟฟ้าใต้ดินและระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ก็จะเต็มพรืดไปหมด รวมความว่าเจ๊งแน่!
โครงการที่จัดทำกันใหม่จำนวน 6,000 คันนั้นก็ใช้สเป็กที่ล็อกไว้แต่เดิม คือบริษัทผู้ผลิตรายเดิม สเป็กต่างๆ ตามเดิมทั้งหมด แต่โยกออกมาจาก ปตท. เพราะเริ่มไม่แน่ใจเนื่องจาก ปตท. กำลังถูกตรวจสอบอย่างหนักหน่วง
แล้วให้ ขสมก. เป็นผู้จัดหาโดยตรงตามที่ล็อกสเป็กไว้ แต่ทำให้แยบยล เอาปัจจัยเวลามาเป็นตัวหลอกลวง นั่นคือแทนที่จะซื้อก็ทำเป็นเช่าเป็นเวลา 10 ปี
รถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวี 6,000 คันที่ล็อกสเป็กจากผู้ผลิตรายเดิม แบบเดิมนั้น ขสมก. จะต้องเช่าเป็นเวลา 10 ปี ด้วยงบประมาณถึง 110,000 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อพรรคฝ่ายค้านเปิดโปงว่ามีเงินใต้โต๊ะ 6,000 ล้านบาท จึงถูกนายสมัคร สุนทรเวช โต้แย้งว่าค่าเช่ารถวันละ 5,000 กว่าบาทต่อคัน จะจ่ายเงินใต้โต๊ะ 6,000 ล้านบาทได้อย่างไร แต่ปกปิดไว้ไม่พูดถึงงบประมาณในการเช่าถึง 110,000 ล้านบาทแต่ประการใด
รถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวีแบบที่จะจัดหาจากผู้ผลิตรายเดียวกันนี้ ใคร ๆ ในโลกสามารถซื้อหาได้ในราคาคันละ 3,800,000 บาท ดังนั้นเมื่อโครงการกำหนดจำนวน 6,000 คัน ก็สามารถใช้เงินซื้อได้ในราคาเพียง 22,800 ล้านบาท เท่านั้น
สมมติว่าเมื่อครบ 5 ปีแล้ว ซากรถก็ยังพอใช้ได้ ดังที่มีคนให้ความเห็นว่ายังสามารถเอาไปแจกจ่ายให้โรงเรียนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ได้ แล้วซื้อมาใหม่อีก 6,000 คัน ก็จะใช้เงินอีก 22,800 ล้านบาท และจะใช้ไปได้อีกอย่างน้อย 5 ปี
รวมความว่าซื้อรถครั้งละ 6,000 คัน จำนวน 2 ครั้ง สำหรับใช้ครั้งละ 5 ปี ก็ใช้เงินในการซื้อเพียง 45,600 ล้านบาทเท่านั้น ขอให้จำตัวเลขนี้ไว้ให้ดีๆ
แล้วทำไมไม่ซื้อ? ทำไมจึงต้องไปทำเป็นเช่า 10 ปี ในวงเงินงบประมาณถึง 110,000 ล้านบาท? เกินไปจากการซื้อสองคราวจำนวนถึง 12,000 คัน ไปถึง 64,400 ล้านบาท
สมมติว่ามีการกู้เงินมาซื้อรถดังกล่าวก็จะเสียดอกเบี้ยไม่เกิน 2,400 ล้านบาท ดังนั้นถึงจะใช้วิธีกู้เงินมาซื้อรถก็ยังดีกว่าที่จะไปเช่า เพราะใช้เงินน้อยกว่าถึง 62,000 ล้านบาท
ดังนั้นโครงการรถก๊าซเอ็นจีวีคราวนี้จึงเป็นการโกงบ้านผลาญเมืองอย่างแน่นอน และเป็นมหกรรมครั้งบันลือชาติอีกครั้งหนึ่ง คือเพียงโครงการเดียวนี้ก็โกงชาติถึง 62,000 ล้านบาท
สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันต่อไปก็คือถ้าโครงการนี้โกงกันสำเร็จเสร็จสรรพแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น? ก็พอประมวลได้ดังต่อไปนี้
ประการแรก ก็เป็นดังที่รัฐบาลได้ประกาศเอาไว้ว่าจะขึ้นราคารถเมล์อีก 8 บาทต่อเที่ยว ดังนั้นประชาชนจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น 16 บาทต่อวันสำหรับกรณีไปกลับ ถ้าใช้รถมากเที่ยวกว่านี้ก็ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีก
ประการที่สอง เมื่อดำเนินโครงการนี้แล้ว รัฐบาลบอกว่าจะปลดระวางรถเมล์ร้อนจำนวน 3,000 คัน เท่ากับโครงการรถเมล์ร้อนฟรีจำนวน 800 คันต่อวันนั้นจะไม่มีรถฟรีให้ประชาชนใช้ตามที่ได้ประกาศไว้ เพราะถูกโละไปหมดแล้ว คนยากคนจนแทนที่จะได้นั่งรถฟรีตามที่รัฐบาลได้โฆษณาชวนเชื่อไว้ กลับจะต้องจ่ายค่ารถเมล์แพงขึ้นถึงครั้งละ 8 บาท และจะเพิ่มขึ้นวันละเท่าใดก็ต้องคิดกันเอาเองตามจำนวนที่ต้องใช้รถเมล์นั้น
ประการที่สาม เพราะการจัดหารถที่แพงลิ่วเช่นนี้ จะทำให้ต้นทุนของ ขสมก. เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงต้องลดรายจ่ายลงไปและที่ง่ายที่สุดก็คือการลดพนักงาน ดังนั้นจึงมีโครงการหลอกลวงให้พนักงาน ขสมก. ลาออกก่อนเกษียณร่วมหมื่นอัตรา เพื่อจะเอาค่าเงินเดือนของพนักงานที่ลาออกไปนั้นไปชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นนั่นเอง และฟันธงไปได้เลยว่าหลังจากนี้แล้วก็จะมีการบีบบังคับให้พนักงานลาออกกันต่อไปอีก
ประการที่สี่ ขณะนี้ปริมาณของรถบัสมิได้ขาดแคลน แต่เกินพออยู่แล้ว จึงต้องโละรถเมล์ร้อนออกไปถึง 3,000 คัน ดังนั้นการเพิ่มรถเข้ามาเป็น 6,000 คัน เพียงเพื่อหวังประโยชน์ตนและพวกพ้อง ก็จะไม่มีผู้โดยสารเพียงพอที่จะรองรับต้นทุน ขสมก. ก็จะขาดทุนจนเจ๊ง ดังที่มีผู้ประมาณการไว้แล้วว่า ขสมก. จะต้องขาดทุนปีละนับหมื่นล้าน
ประการที่ห้า ในระยะ 10 ปีจากนี้ไป ระบบขนส่งมวลชนแบบรางเพิ่มขึ้นมากมาย จึงสับสนและขัดแย้งในทางนโยบายกันเองว่ารัฐบาลจะเน้นรถบัสหรือรถไฟรางคู่กันแน่ เพราะรัฐต้องลงทุนมหาศาลและซ้ำซ้อนกันอยู่ และมีลักษณะล้างบ้านผลาญเมืองอย่างชัดเจน
บ้านเมืองปกครองด้วยพวกโจรก็ต้องระวังตัวกันทุกฝีก้าวทุกวันเวลา มิฉะนั้นโจรมันก็จะปล้นจนเกลี้ยง ดังที่เรียกว่าปล้นบ้านผลาญเมืองนั่นแล.
หมายความว่าถึงแม้จะถูกเปิดโปงอย่างไร รัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติก็ยังคงดึงดันที่จะทำโครงการนี้ต่อไป และเร่งรัดให้สภาพัฒน์ รีบส่งเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 8 สิงหาคม 2551
จะเป็นการฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนฝุ่นตลบทางการเมืองเป็นม่านบังเพื่อปล้นชาติปล้นแผ่นดินต่อไปก็ว่าได้
เหตุผลที่โครงการนี้ต้องถอนไปจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกก็เพราะพรรคฝ่ายค้านเปิดโปงว่าโครงการนี้มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะกันถึง 6,000 ล้านบาท และแบ่งกันเป็น 3 ส่วนในหมู่แกนนำของรัฐบาล
การเปิดโปงดังกล่าวเป็นข่าวฮือฮาอย่างกว้างขวาง ทำให้เกิดการตื่นตระหนกขึ้นในรัฐบาล แล้วต้องเตะเรื่องออกไปจากการพิจารณา แต่แล้วก็นำเข้ามาใหม่อีก!
คราวนี้ถูกพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเปิดโปงบนเวทีปราศรัยว่าความจริงไม่ได้โกงชาติกันแค่ 6,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่โกงกันถึง 62,000 ล้านบาท
แล้วระบุอีกว่ามีการตั้งกลุ่มจัดทำเอกสารสำคัญของโครงการเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในคืนวันอาทิตย์ ทำกันตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน แล้วไปเสร็จเอาตอนตี 4 โดยมีการกำชับกันอย่างแน่นหนาว่าอย่าให้ข่าวหลุดออกไปถึงสื่อมวลชนหรือกลุ่มพันธมิตรฯ
ปรากฏว่ารุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ พอตกกลางคืน พวกแกนนำพันธมิตรฯ ก็นำความออกไปเปิดโปงถึงการซุ่มทำเอกสารสำคัญดังกล่าว โดยอ้างอิงว่าได้รับสำเนาจากข้าราชการที่รักชาติรักบ้านเมืองส่งมาให้
รุ่งขึ้นเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี ก็เกิดอาการตื่นตระหนกตกใจเพราะข้อมูลที่พวกพันธมิตรฯ นำมาเปิดเผยนั้น มันสะเทือนใจและมันตรงกับความจริง จนทำให้คนที่เกี่ยวข้องต้องสะทกสะท้าน
มิหนำซ้ำ พวกรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยเมื่อได้รู้จำนวนผลประโยชน์มากมายมหาศาล โดยที่ตัวเองไม่ได้รับแบ่งสันปันส่วนเลยก็ไม่พอใจ จึงพากันตั้งข้อสงสัยและซักถามกันเป็นการใหญ่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี แต่การชี้แจงก็ไม่ใสกระจ่าง
ในที่สุดจะดึงดันไปก็ไม่ไหว จึงต้องเตะลูกออกนอกสนามไปชั่วคราว ด้วยการมีมติให้ส่งเรื่องไปให้สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณา แล้วอาศัยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิเศษคอยติดตามกำกับเร่งรัดเรื่องนี้ และเร่งรัดกันให้นำเข้าพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 สิงหาคม ศกนี้
คราวนี้คงจะตกลงแบ่งสันปันส่วนกันไปเรียบร้อยแล้ว และคงมีการฟอกความสกปรกให้ดูเนียนขึ้นแล้ว จึงจะมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง
ก็ต้องบอกกล่าวให้คนไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตทั้งหลายทั้งปวง และองค์กรตรวจสอบทั้งหลายในสภาผู้แทนราษฎรก็ดี ในวุฒิสภาก็ดี ผู้ตรวจการแผ่นดินแห่งรัฐสภาก็ดี องค์กรประชาชนก็ดี สหภาพ ขสมก. ก็ดี ตลอดจนประชาชนผู้รักชาติทั้งหลายได้ช่วยกันดูแลโครงการนี้อย่าให้มีการโกงบ้านผลาญเมืองได้เป็นอันขาด
และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ต้องทำความเข้าใจกันว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการใหม่ แต่เป็นโครงการเก่าตั้งแต่ปลายยุครัฐบาลทักษิณ
คราวนั้นโครงการกำหนดจัดหารถบัส ขสมก. ใช้ก๊าซเอ็นจีวีเพียง 2,000 คันเท่านั้น ไม่มากไปกว่านี้เพราะมีจำนวนรถมากอยู่แล้ว และยังมีเมกะโปรเจกต์เรื่องรถไฟใต้ดินอีกตั้ง 9 สาย ขอให้จำหมายไว้ให้แม่นว่าโครงการนี้แต่เดิมทีกำหนดเอาเพียง 2,000 คันเท่านั้น
แต่ใช้กลเม็ดเด็ดพรายในการจัดหาสุดลึกล้ำนัก เรียกว่ายากจะจับได้ไล่ทัน เพราะจะทำโครงการเป็นว่า ปตท. จะจัดหารถบัสดังกล่าวมายกให้ฟรีแก่ ขสมก. ดูผิวเผินแล้ว ขสมก. ก็จะได้รถฟรี
แล้วมันเชื่อมโยงอะไรกับ ปตท. เล่า? มันมีข้อตกลงต่อไปว่า ขสมก. จะต้องซื้อก๊าซเอ็นจีวีจาก ปตท. มาใช้กับรถจำนวน 2,000 คันนี้ตลอดไป ในราคาตลาดบวกราคาพิเศษเพิ่มขึ้นอีกยูนิตละ 12 บาท ซึ่งเมื่อรวมคำนวณแล้วตลอดระยะเวลาที่ใช้รถ ขสมก. จะต้องจ่ายเงินส่วนเกินนี้ถึงคันละ 12 ล้านบาท
นั่นเท่ากับว่า ขสมก. จะต้องจ่ายค่ารถในรูปของค่าก๊าซส่วนเกินถึง 12 ล้านบาทต่อคัน ในขณะที่ถ้าหากจะซื้อรถกันโดยตรงก็จะซื้อได้ในราคาคันละ 3,800,000 บาทเท่านั้น
ปตท. ลงทุนจัดหารถคันละ 3,800,000 บาท แต่ได้รับเงินจาก ขสมก. ถึง 12 ล้านบาท เป็นกำไรถึง 8,200,000 บาทต่อคัน แล้วจะมีการจัดสรรผลประโยชน์กันในรูปแบบที่ลึกลับซับซ้อน
ดังนั้นในคราวนั้น ขสมก. อาจต้องใช้เงินถึง 24,000 ล้านบาท ในการจัดหารถบัสจำนวน 2,000 คัน โดยรถนั้นรู้กันว่าจัดหามาจากผู้ผลิตในมณฑลฮกเกี้ยนของประเทศจีน ซึ่งได้ล็อกสเป็กกันไว้แล้วส่งรถตัวอย่างมาให้ใช้กันบ้างแล้ว
เดชะบุญโครงการโกงชาติคราวนั้นยังทำไม่ทันเสร็จก็เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เสียก่อน เรื่องมันจึงระงับไป แต่พอรัฐบาลหุ่นเชิดเข้ามาก็มีการรื้อฟื้นโครงการนี้ขึ้นมาใหม่
แต่คราวนี้ 2,000 คันอาจจะน้อยไป จึงทำเป็นโครงการจัดหา 6,000 คัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะหาผู้โดยสารจากที่ไหน ขสมก. คงจะบรรลัยวอดในคราวนี้เป็นแน่แท้! เพราะเมื่อถึงเวลานั้นรถไฟฟ้าใต้ดินและระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ก็จะเต็มพรืดไปหมด รวมความว่าเจ๊งแน่!
โครงการที่จัดทำกันใหม่จำนวน 6,000 คันนั้นก็ใช้สเป็กที่ล็อกไว้แต่เดิม คือบริษัทผู้ผลิตรายเดิม สเป็กต่างๆ ตามเดิมทั้งหมด แต่โยกออกมาจาก ปตท. เพราะเริ่มไม่แน่ใจเนื่องจาก ปตท. กำลังถูกตรวจสอบอย่างหนักหน่วง
แล้วให้ ขสมก. เป็นผู้จัดหาโดยตรงตามที่ล็อกสเป็กไว้ แต่ทำให้แยบยล เอาปัจจัยเวลามาเป็นตัวหลอกลวง นั่นคือแทนที่จะซื้อก็ทำเป็นเช่าเป็นเวลา 10 ปี
รถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวี 6,000 คันที่ล็อกสเป็กจากผู้ผลิตรายเดิม แบบเดิมนั้น ขสมก. จะต้องเช่าเป็นเวลา 10 ปี ด้วยงบประมาณถึง 110,000 ล้านบาท
ดังนั้นเมื่อพรรคฝ่ายค้านเปิดโปงว่ามีเงินใต้โต๊ะ 6,000 ล้านบาท จึงถูกนายสมัคร สุนทรเวช โต้แย้งว่าค่าเช่ารถวันละ 5,000 กว่าบาทต่อคัน จะจ่ายเงินใต้โต๊ะ 6,000 ล้านบาทได้อย่างไร แต่ปกปิดไว้ไม่พูดถึงงบประมาณในการเช่าถึง 110,000 ล้านบาทแต่ประการใด
รถบัสใช้ก๊าซเอ็นจีวีแบบที่จะจัดหาจากผู้ผลิตรายเดียวกันนี้ ใคร ๆ ในโลกสามารถซื้อหาได้ในราคาคันละ 3,800,000 บาท ดังนั้นเมื่อโครงการกำหนดจำนวน 6,000 คัน ก็สามารถใช้เงินซื้อได้ในราคาเพียง 22,800 ล้านบาท เท่านั้น
สมมติว่าเมื่อครบ 5 ปีแล้ว ซากรถก็ยังพอใช้ได้ ดังที่มีคนให้ความเห็นว่ายังสามารถเอาไปแจกจ่ายให้โรงเรียนหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็ได้ แล้วซื้อมาใหม่อีก 6,000 คัน ก็จะใช้เงินอีก 22,800 ล้านบาท และจะใช้ไปได้อีกอย่างน้อย 5 ปี
รวมความว่าซื้อรถครั้งละ 6,000 คัน จำนวน 2 ครั้ง สำหรับใช้ครั้งละ 5 ปี ก็ใช้เงินในการซื้อเพียง 45,600 ล้านบาทเท่านั้น ขอให้จำตัวเลขนี้ไว้ให้ดีๆ
แล้วทำไมไม่ซื้อ? ทำไมจึงต้องไปทำเป็นเช่า 10 ปี ในวงเงินงบประมาณถึง 110,000 ล้านบาท? เกินไปจากการซื้อสองคราวจำนวนถึง 12,000 คัน ไปถึง 64,400 ล้านบาท
สมมติว่ามีการกู้เงินมาซื้อรถดังกล่าวก็จะเสียดอกเบี้ยไม่เกิน 2,400 ล้านบาท ดังนั้นถึงจะใช้วิธีกู้เงินมาซื้อรถก็ยังดีกว่าที่จะไปเช่า เพราะใช้เงินน้อยกว่าถึง 62,000 ล้านบาท
ดังนั้นโครงการรถก๊าซเอ็นจีวีคราวนี้จึงเป็นการโกงบ้านผลาญเมืองอย่างแน่นอน และเป็นมหกรรมครั้งบันลือชาติอีกครั้งหนึ่ง คือเพียงโครงการเดียวนี้ก็โกงชาติถึง 62,000 ล้านบาท
สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันต่อไปก็คือถ้าโครงการนี้โกงกันสำเร็จเสร็จสรรพแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น? ก็พอประมวลได้ดังต่อไปนี้
ประการแรก ก็เป็นดังที่รัฐบาลได้ประกาศเอาไว้ว่าจะขึ้นราคารถเมล์อีก 8 บาทต่อเที่ยว ดังนั้นประชาชนจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้น 16 บาทต่อวันสำหรับกรณีไปกลับ ถ้าใช้รถมากเที่ยวกว่านี้ก็ต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นมากกว่านี้อีก
ประการที่สอง เมื่อดำเนินโครงการนี้แล้ว รัฐบาลบอกว่าจะปลดระวางรถเมล์ร้อนจำนวน 3,000 คัน เท่ากับโครงการรถเมล์ร้อนฟรีจำนวน 800 คันต่อวันนั้นจะไม่มีรถฟรีให้ประชาชนใช้ตามที่ได้ประกาศไว้ เพราะถูกโละไปหมดแล้ว คนยากคนจนแทนที่จะได้นั่งรถฟรีตามที่รัฐบาลได้โฆษณาชวนเชื่อไว้ กลับจะต้องจ่ายค่ารถเมล์แพงขึ้นถึงครั้งละ 8 บาท และจะเพิ่มขึ้นวันละเท่าใดก็ต้องคิดกันเอาเองตามจำนวนที่ต้องใช้รถเมล์นั้น
ประการที่สาม เพราะการจัดหารถที่แพงลิ่วเช่นนี้ จะทำให้ต้นทุนของ ขสมก. เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงต้องลดรายจ่ายลงไปและที่ง่ายที่สุดก็คือการลดพนักงาน ดังนั้นจึงมีโครงการหลอกลวงให้พนักงาน ขสมก. ลาออกก่อนเกษียณร่วมหมื่นอัตรา เพื่อจะเอาค่าเงินเดือนของพนักงานที่ลาออกไปนั้นไปชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นนั่นเอง และฟันธงไปได้เลยว่าหลังจากนี้แล้วก็จะมีการบีบบังคับให้พนักงานลาออกกันต่อไปอีก
ประการที่สี่ ขณะนี้ปริมาณของรถบัสมิได้ขาดแคลน แต่เกินพออยู่แล้ว จึงต้องโละรถเมล์ร้อนออกไปถึง 3,000 คัน ดังนั้นการเพิ่มรถเข้ามาเป็น 6,000 คัน เพียงเพื่อหวังประโยชน์ตนและพวกพ้อง ก็จะไม่มีผู้โดยสารเพียงพอที่จะรองรับต้นทุน ขสมก. ก็จะขาดทุนจนเจ๊ง ดังที่มีผู้ประมาณการไว้แล้วว่า ขสมก. จะต้องขาดทุนปีละนับหมื่นล้าน
ประการที่ห้า ในระยะ 10 ปีจากนี้ไป ระบบขนส่งมวลชนแบบรางเพิ่มขึ้นมากมาย จึงสับสนและขัดแย้งในทางนโยบายกันเองว่ารัฐบาลจะเน้นรถบัสหรือรถไฟรางคู่กันแน่ เพราะรัฐต้องลงทุนมหาศาลและซ้ำซ้อนกันอยู่ และมีลักษณะล้างบ้านผลาญเมืองอย่างชัดเจน
บ้านเมืองปกครองด้วยพวกโจรก็ต้องระวังตัวกันทุกฝีก้าวทุกวันเวลา มิฉะนั้นโจรมันก็จะปล้นจนเกลี้ยง ดังที่เรียกว่าปล้นบ้านผลาญเมืองนั่นแล.